เจ้าวัฑฒลิจฉวีรับคำของพระเมตติยะและพระภุมมชกะ แล้วเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า
พระพุทธเจ้าข้า กรรมนี้ไม่แนบเนียน ไม่สมควร ทิศที่ไม่มีภัย ไม่มีจัญไร
ไม่มีอันตราย บัดนี้กลับมามีภัย มีจัญไร มีอันตราย ณ สถานที่ไม่มีลม บัดนี้
กลับมีลมแรงขึ้น ประชาบดีของหม่อมฉันถูกพระทัพพมัลลบุตรประทุษร้าย
คล้ายน้ำถูกไฟเผา พระพุทธเจ้าข้า.
[๑๑๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ใน
เพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่าน
พระทัพพมัลลบุตรว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรม
ตามที่เจ้าวัฑฒลิจฉวีนี้ กล่าวหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์
ย่อมทรงทราบว่า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
แม้ครั้งที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้า . . .
แม้ครั้งที่สาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตร
ว่า ดูก่อนทัพพะ เธอยังระลึกได้หรือว่า เป็นผู้ทำกรรมตามที่เจ้าวัฑฒลิจฉวี
นี้กล่าวหา ท่านพระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า พระองค์ย่อมทรงทราบว่า
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูก่อนทัพพะ บัณฑิตย่อมไม่กล่าวแก้คำกล่าวหาอย่างนี้ ถ้าเธอทำ
จงบอกว่าทำ ถ้าไม่ได้ทำ จงบอกว่าไม่ได้ทำ.
ท. ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว แม้โดยความฝัน ก็ยังไม่รู้จักเสพ
เมถุนธรรม จะกล่าวไยถึงเมื่อตื่นอย่เล่า พระพุทธเจ้า.
[๑๑๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น สงฆ์จงคว่ำบาตรเจ้าวัฑฒลิจฉวี คือ อย่าให้คบ
กับสงฆ์.