No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 358 (เล่ม 7)

ขัณฑสีมา อุปจารสีมา สมานสังวาสสีมา อวิปปวาสสีมา ลาภสีมา
คามสีมา นิคมสีมา นครสีมา อัพภันตรสีมา อุทกุกเขปสีมา ชนปทสีมา รัฐสีมา
รัชสีมา ทีปสีมา จักกวาฬสีมา.
บรรดาสีมาเหล่านั้น ขัณฑสีมา ได้กล่าวแล้วในสีมากถา. อุปจารสีมา
เป็นแดนที่กำหนดด้วยเครื่องล้อมแห่งวัดที่ล้อม ด้วยที่ควรแก่การล้อมแห่งวัด
ที่ไม่ได้ล้อม.
อีกอย่างหนึ่ง จากสถานที่ภิกษุประชุมกันเป็นนิตย์ หรือจากโรงฉัน
อันตั้งอยู่ริมเขตวัด หรือจากอาวาสที่อยู่ประจำ ภายใน ๒ ชั่วเลฑฑุบาต ของ
บุรุษผู้มีแรงปานกลางเข้ามา พึงทราบว่าเป็นอุปจารสีมา. ก็อุปจารสีมานั้น
เมื่ออาวาสขยายกว้างออกไป ย่อมขยายออก เมื่ออาวาสร่นแคบเข้า ย่อม
แคบเข้า.
แต่ในมหาปัจจรีแก้ว่า อุปจารสีมานั้น เมื่อภิกษุเพิ่มขึ้น ย่อมกว้าง
ออก เนื่องด้วยลาภ, ถ้าภิกษุทั้งหลายนั่งเต็ม ๑๐๐ โยชน์ติดเนื่องเป็นหมู่เดียว
กับพวกภิกษุผู้ประชุมในวัด. แม้ที่ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ย่อมเป็นอุปจารสีมาด้วย,
ลาภย่อมถึงแก่ภิกษุทั่วกัน. แม้สมานสังวาลสีมาและอวิปปวาสสีมาทั้ง ๒ มีนัย
ดังกล่าวแล้วนั่น และ.
ชนชื่อว่า ลาภสีมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาได้ทรงอนุญาตไม่, พระ
ธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายก็ไม่ได้ตั้งไว้, ก็แต่ว่าพระราชาและมหาอมาตย์ของ
พระราชาให้สร้างวัดแล้ว กำหนดพื้นที่โดยรอบคาวุตหนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์บ้าง
โยชน์หนึ่งบ้าง ปักเสาจารึกชื่อว่า นี้เป็นลาภสีมาสำหรับวัดของเรา แล้วปัก
แดนไว้ว่า สิ่งใดเกิดขึ้นภายในเขตนี้, สิ่งนั้นทั้งหมด เราถวายแก่วัดของเรา
นี้ชื่อว่า ลาภสีมา. ถึงคามสีมา นิคมสีมา นครสีมา อัพภันตรสีมา และ
อุทกุกเขปสีมา ก็ได้กล่าวแล้วเหมือนกัน.

358
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 359 (เล่ม 7)

ชนปทสีมา นั้น ชนบทเป็นอันมาก มีภายในแคว้นกาสีและโกศล
เป็นต้น, ในชนบทเหล่านั้น แดนกำหนดแห่งชนบทอันหนึ่ง ๆ ชื่อชนปทสีมา.
แดนกำหนดแห่งแคว้นกาสีและโกศลเป็นต้น ชื่อรัชสีมา.๑
สถานเป็นที่เป็นไปแห่งอาณาของพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่ง ๆ อย่างนี้
คือ พหิโภค โจลโภค เกรฏฺฐโภค ชื่อรัช สีมา.
เกาะใหญ่ และเกาะเล็ก ซึ่งกำหนดด้วยสมุทรเป็นที่สุด ชื่อทีปสีมา
แดนที่กำหนดด้วยภูเขาจักรวาลเท่านั้น ชื่อจักกวาฬสีมา.
ในสีมาเหล่านั้น ที่กล่าวแล้วด้วยประการอย่างนี้ เมื่อทายกเห็นสงฆ์
ประชุมกันในขัณฑสีมา ด้วยกรรมบางอย่าง จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์
ในสีมานี้เท่านั้น ดังนี้. ภิกษุมีจำนวนเท่าใดอยู่ภายในขัณฑสีมา ภิกษุเหล่า
นั้น พึงแบ่งกัน. เพราะว่าจีวรนั้นย่อมถึงแก่ภิกษุเหล่านั้นเท่านั้น, ไม่ถึงแก่
ภิกษุเหล่าอื่น แม้ผู้ตั้งอยู่ที่สีมันตริก หรือที่อุปจารสีมา. แค่ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้
ตั้งอยู่บนต้นไม้หรือบนภูเขา ซึ่งขึ้นอยู่ในขัณฑสีมา หรือผู้อยู่ท่ามกลางแผ่นี้
ดินภายใต้ขัณฑสีมา เป็นแท้.
อนึ่ง จีวรที่ทายกถวายว่า ถวายแก่สงฆ์ในอุปจารสีมานี้ ย่อมถึงแม้แก่
ภิกษุทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในขัณฑสีมาและสีมันตริก.
ส่วนจีวรที่ทายกถวายว่า ถวายแก่สมานสังวาสสีมา ย่อมไม่ถึงแก่ภิกษุ
ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในขัณฑสีมาและสีมันตริก.
จีวรที่ทายกถวายในอวิปปวาสสีมา และลาภสีมา ย่อมถึงแก่ภิกษุทั่ง
หลายผู้อยู่ร่วมในสีมาเหล่านั้น.
๑. สทฺธมฺมปฺปชโชติกา ปฐม ๑๖ ว่า รฏฐนฺติ ชนปเทกเทสํ ฯ ชนปโทติ กาสีโกสลาทิชน
ปโท ?
ถือเอาความว่า รัฐ เล็กกว่าชนบท ชนบทคือประเทศ. แต่ตามที่แก้ในที่นี้ กลับตรงกันข้าม
จึง
ขอฝากนักศึกษาไว้ด้วย.

359
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 360 (เล่ม 7)

ส่วนจีวรที่ทายกถวายในคามสีมาเป็นต้น ย่อมถึงแม้แก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ใน
พัทธสีมา ภายในแห่งสีมาเหล่านั้น.
จีวรที่ถวายในอัพภันตรสีมา และอุทกุกเขปสีมา ย่อมถึงแก่ภิกษุผู้อยู่
ภายในสีมาเหล่านั้นเท่านั้น.
ในชนปทสีมา รัฐสีมา รัชสีมา ทีปสีมา และจักกวาฬสีมา มีวินิจฉัย
เช่นดังกล่าวแล้วในคามสีมาเป็นต้นนั่นแล.
ก็ถ้าว่าทายกอยู่ในชมพูทวีป กล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายสงฆ์ในตามพ-
ปัณณิทวีป ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ไปจากตามพปัณณิทวีป ย่อมได้เพื่อรับแทนภิกษุ
ทั้งปวง. แม้หากว่า ภิกษุผู้ชอบพอกันรูปหนึ่งในชมพูทวีปนั้นเอง จะรับส่วน
แทนภิกษุทั้งหลายที่ชอบพอกันไซร้, ไม่พึงห้ามเธอ. ในการถวายของทายก
ผู้ถวายของพาดพิงถึงสีมา พึงทราบวินิจฉัยอย่างนี้ก่อน.
ฝ่ายทายกใด ไม่เข้าใจที่จะพูดว่า ในสีมาโน้น รู้แต่เพียงคำว่า สีมา
อย่างเดียวเท่านั้น มาวัดกล่าวว่า ถวายแก่สีมา หรือว่า ถวายสงฆ์ผู้ตั้งอยู่ใน
สีมา ดังนี้.
พึงถามทายกนั้นว่า ขึ้นชื่อว่าสีมา มีหลายอย่าง, ท่านพูดหมายเอา
สีมาอย่างไหน ?
ถ้าเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้จักว่า สีมาชนิดโน้น ๆ สงฆ์ผู้ตั้งอยู่ในสีมา
จงแบ่งกันถือเอาเถิด ดังนี้.
สงฆ์ในสีมาไหน จะพึงแบ่งกัน ?
ได้ยินว่า พระมหาสิวัตเถระกล่าวว่า สงฆ์ในอวิปปวาสสีมาพึงแบ่ง
กัน.

360
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 361 (เล่ม 7)

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะท่านว่า ธรรมดาอวิปปวาสสีมา
ประมาณตั้ง ๓ โยชน์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุผู้ดังอยู่ใน ๓ โยชน์จักรับลาภได้.
ผู้ตั้งอยู่ใน ๓ โยชน์ จักพึงบำเพ็ญอาคันตุกวัตรเข้าสู่อาราม, ผู้เตรียมจะไปจัก
เดินทาง ๓ โยชน์ จึงจักบอกมอบเสนาสนะ, สำหรับผู้ปฏิบัตินิสัย ๆ จักระงับ
ต่อเมื่อล่วง ๓ โยชน์ไป, ผู้อยู่ปริวาส จักพึงก้าวล่วง ๓ โยชน์แล้ว รับอรุณ.
ภิกษุณีตั้งอยู่ในระยะ ๓ โยชน์ จักพึงบอกเล่าการที่จะเข้าสู่อาราม กิจนี้ทั้ง
หมดสมควรทำด้วยอำนาจแดนกำหนดแห่งอุปจารสีมาเท่านั้น, เพราะเหตุนั้น
สงฆ์ตั้งอยู่ในอุปจารสีมาเท่านั้นพึงแบ่งกัน.
ถวายตามกติกา
บทว่า กติกาย ได้แก่ กติกา มีลาภเสมอกัน. ด้วยเหตุนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อาวาสมากหลายมีลาภเสมอกัน
ในหลายอาวาสมีลาภเสมอกันนั้น พึงดังกติกาอย่างนี้:-
ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในวิหารหนึ่ง ระบุชื่อวัดที่ตนมีประสงค์จะ
สงเคราะห์ ปรารถนาจะทำให้เป็นแดนมีลาภเสมอกัน กล่าวเหตุอย่างใดอย่าง
หนึ่งว่า วัดโน้น เป็นวัดเก่า หรือว่า วัดโน้น เป็นที่พระพุทธเจ้าเคยอยู่
หรือว่า วัคโน้น มีลาภน้อย แล้วประกาศ ๓ ครั้งว่า การที่ทำวัดนั้นกับวัด
แม้นี้ ให้เป็นแดนมีลาภอันเดียวกัน พอใจสงฆ์ ดังนี้.
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษุแม้นั่งแล้วในวัดนั้น เธอย่อมเป็นเหมือน
นั่งแล้วในวัดนี้, อันสงฆ์แม้ในวัดนั้น พึงทำอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุ
เพียงเท่านี้ ภิกษุแม้นั่งแล้วในวัดนี้, เธอย่อมเป็นเหมือนผู้นั่งแล้วในวัดนั้น.
เมื่อแบ่งลาภกันอยู่ในวัดหนึ่ง, อันภิกษุผู้ตั้งอยู่ในอีกวัดหนึ่ง สมควรได้รับส่วน
แบ่งด้วย. วัดแม้มาก ก็พึงกระทำให้เป็นที่มีลาภอันเดียวกันกับวัดอันหนึ่ง
โดยอุบาอย่างนั้น.

361
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 362 (เล่ม 7)

ถวายในที่ซึ่งตกแต่งภิกษา
บทว่า ภิกขาปญฺญตฺติยา ได้แก่ ในสถานเป็นที่ตกแต่งทานบริจาค
ของตน. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ทานบริจาคที่ประจำ
อันตนทำแก่สงฆ์ในวัดใด.
พึงทราบเนื้อความแห่งคำนั้น ดังนี้:-
ภัตทานของสงฆ์ ซึ่งเป็นของทายกผู้ถวายจีวรนี้ เป็นไปในวัดใดก็ดี,
ทายกทำภิกษุทั้งหลายในวัดใด ให้เป็นภาระของตน นิมนต์ให้ฉันในเรือนทุก
เมื่อก็ดี, ในวัดใดเขาสร้างที่อยู่ไว้ก็ดี, ในวัดใดเขาถวายสลากภัตเป็นต้นเป็น
นิตย์ก็ดี, แต่วัดแม้ทั้งสิ้นอันทายกใดสร้าง, ในวัดนั้น ของทายกนั้น ไม่มีคำ
ที่จะพึงกล่าวเลย. ภัตบริจาคเหล่านี้ จัดเป็นภัตบริจาคประจำ, เพราะเหตุนั้น
ถ้าเขากล่าวว่าภัตบริจาคประจำของข้าพเจ้ากระทำอยู่ในวัดใด, ข้าพเจ้าถวายใน
วัดนั้น หรือว่า ท่านจงให้ในวัดนั้น แม้หากว่า มีภัตบริจาคประจำในที่หลาย
แห่ง, จีวรนั้นเป็นอันเขาถวายทั่วทุกแห่งทีเดียว.
ก็ถ้าว่า ในวัดหนึ่งมีภิกษุมากกว่า, ภิกษุเหล่านั้น พึงบอกว่า ในวัด
ที่มีภัตบริจาคเป็นประจำของพวกท่าน วัดหนึ่งมีภิกษุมาก วัดหนึ่งมีภิกษุน้อย.
ถ้าหากเขากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอาตามจำนวนภิกษุเถิด สมควรแบ่งถือ
เอาตามนั้น.
ก็ในคำว่า ท่านทั้งหลายจงถือเอาตามจำนวนภิกษุเถิด นี้ ผ้าและเภสัช
เป็นต้น แม้น้อย ย่อมแบ่งกันได้โดยง่าย, แต่ถ้าว่าเตียงหรือตั่งมีตัวเดียวเท่านั้น,
พึงถามเขาแล้ว พึงให้สำหรับวัดหรือเสนาสนะแม้ในวัดหนึ่งที่เขาสั่ง ถ้าเขา
กล่าวว่า ภิกษุโน้นจงถือเอา ดังนี้ควรอยู่.

362
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 363 (เล่ม 7)

หากว่าเขากล่าวว่า ท่านจงให้สำหรับวัดที่มีภัตบริจาคเป็นประจำของ
ข้าพเจ้า ดังนี้แล้ว ไม่ทันได้สั่งการไปเสีย, แม้สงฆ์จะสงการก็ควร.
ก็แล สงฆ์พึงสั่งการอย่างนี้:-
พึงสั่งว่า ท่านจงให้ในสถานเป็นที่อยู่ของพระสังฆเถระ. ถ้าในที่นั้น.
มีเสนาสนะบริบูรณ์ ในที่ใดเสนาสนะไม่เพียงพอ, พึงให้ในที่นั้น. ถ้าว่า
ภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า ในที่อยู่ของข้าพเจ้า ไม่มีของใช้สำหรับเสนาสนะพึงให้
ในที่นั้น.
ถวายแก่สงฆ์
ข้อว่า สงฺฆสฺส เทติ มีความว่า ทายกเข้าไปยังวัดกล่าวว่า ข้าพเจ้า
ถวายจีวรเหล่านั้นแก่สงฆ์.
ข้อว่า สมฺมุขีภูเตน มีความว่า สงฆ์ผู้ทั้งอยู่ในอุปจารสีมา พึงตีระฆัง
ให้ประกาศเวลาแล้วแจกกัน. ภิกษุผู้จะรับส่วนแทนภิกษุผู้ตั้งอยู่ในสีมาแต่มาไม่
ทัน ไม่ควรห้าม. วัดใหญ่, เมื่อถวายผ้าตั้งแต่เถรอาสน์ลงมา, พระมหาเถระ
ผู้เฉื่อยช้าย่อมมาภายหลัง, อย่าพึงกล่าวกะท่านว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถวาย
ถึงภิกษุมีพรรษา ๒๐ ลำดับของท่าน เลยไปเสียแล้ว, พึงเว้นลำดับไว้ถวาย
แก่พระมหาเถระเหล่านั้น เสร็จแล้วจึงถวายตามลำดับภายหลัง. ภิกษุทั้งหลาย
ได้ฟังข่าวว่า ได้ยินว่า ที่วัดโน้น จีวรเกิดขึ้นมาก จึงพากันมาจากวัดซึ่งตั้ง
อยู่ในระยะโยชน์หนึ่งบ้าง, พึงให้จำเดิมแต่ที่ซึ่งเธอทั้งหลายมาทันแล้ว ๆ เข้า
ลำดับ. เฉพาะที่เธอมาไม่ทันเข้าอุปจารสีมาแล้ว เมื่ออันเตวาสิกเป็นต้นจะ
รับแทน ก็ควรให้แท้. อันเตวาสิกเป็นต้น กล่าวว่า ท่านจงให้แก่ภิกษุผู้ตั้ง
อยู่ภายนอกอุปจารสีมาดังนี้ ไม่พึงให้.
ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ที่ประตูวัดของตน หรืออยู่ภายในวัด ของทนที
เดียว เป็นผู้เนื่องเป็นอันเดียวกับภิกษุทั้งหลายผู้เข้าอุปจารสีมาไซร้, สีมาชื่อว่า

363
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 364 (เล่ม 7)

ขยายออกด้วยอำนาจบริษัท, เพราะฉะนั้น ควรให้. แม้เมื่อให้จีวรแก่
สังฆนวกะแล้ว, ก็ควรถวายแก่พระเถระทั้งหลายผู้มาภายหลังเหมือนกัน.
อนึ่ง เมื่อส่วนที่สองได้ยกขึ้นสู่เถรอาสน์แล้ว ส่วนที่หนึ่ง ย่อมไม่ถึง
แก่ภิกษุทั้งหลายทีมาแล้ว, พึงให้ตามลำดับพรรษา ตั้งแต่ส่วนที่สองไป. ถ้า
ในวัดหนึ่ง มีภิกษุ ๑๐ รูป ทายกถวายผ้า ๑๐ ผืนว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์; ผ้า
เหล่านั้น พึงแจกกันรูปละผืน. ถ้าภิกษุเหล่านั้น ถือเอาไปทั้งหมดทีเดียว
ด้วยคิดว่า ผ้าเหล่านั้น ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ไซร้, เป็นอันให้ถึง (แก่ตน) ไม่
ดี; ทั้งเป็นอันถือเอาไม่ดี; ผ้าเหล่านั้น ย่อมเป็นของสงฆ์ในที่ซึ่งเธอไปถึง
เข้าแล้วนั่นแล.
อนึ่ง จะชักออกผืนหนึ่ง ถวายแก่สังฆเถระว่า ผืนนี้ถึงแก่ท่าน ดัง
นี้แล้ว ถือเอาผ้าที่เหลือออด้วยคิดว่า ผ้าเหล่านี้ ถึงแก่พวกเรา ดังนี้ ควรอยู่.
ทายกนำผ้ามาผืนเดียว ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ภิกษุทั้งหลายไม่แบ่ง
กัน ถือเอาด้วยคิดว่า ผ้านี้ถึงแก่พวกเรา; ผ้านั้นเป็นอันเธอทั้งหลายให้ถึงแก่
ตน ไม่ชอบ ทั้งเป็นอันถือเอาไม่ชอบ. ควรเอามีดหรือขมิ้นเป็นต้น ทำให้
เป็นรอย ให้ส่วนหนึ่งแก่พระสังฆเถระว่า ตอนนี้ถึงแก่ท่าน แล้วถือเอาส่วน
ที่เหลือว่า ตอนนี้ถึงแก่พวกเรา. จะทำการกำหนดปันกัน ด้วยลายดอกไม้ หรือ
ผลไม้ หรือเครือวัลย์แห่งผ้านั้นเอง ไม่ควร. ถ้าชักเส้นด้ายออกเส้นหนึ่ง
ถวายแก่พระเถระว่า ตอนนี้ ถึงแก่ท่าน แล้วถือเอาว่า ส่วนที่เหลือออถึงแก่พวก
เรา ควรอยู่. ผ้าที่ภิกษุตัดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่แบ่งกัน ควรแท้.
เมื่อจีวรทั้งหลายเกิดขึ้นแก่สงฆ์ในวัค ซึ่งมีภิกษุรูปเดียว หากภิกษุ
นั้น ถือเอาว่า จีวรทั้งหมดย่อมถึงแก่เรา ตามนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่น
เอง, เป็นอันเธอถือเอาชอบ, ส่วนลำดับไม่ดังอยู่. หากเธอยกขึ้นทีละผืน ๆ

364
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 365 (เล่ม 7)

ถือเอาว่า ผ้านี้ถึงแก่เรา. ลำดับย่อมตั้งอยู่. บรรดาลำดับที่ไม่ตั้งอยู่ และตั้งอยู่
ทั้งสองนี้ เมื่อลำดับไม่ตั้งอยู่ครั้นจีวรอื่นเกิดขึ้นอีก ถ้าภิกษุรูปหนึ่งมา, เธอ
ทั้งสองพึงตัดตรงกลางถือเอา. เมื่อลำดับตั้งอยู่ ครั้นจีวรอื่นเกิดขึ้นอีก ถ้าภิกษุ
อ่อนกว่ามา, ลำดับย่อมถึงภายหลัง, ถ้าภิกษุผู้แก่กว่ามา, ลำดับย่อมถึงก่อน.
ถ้าไม่มีภิกษุอื่น, พึงให้ถึงแก่ในถือเอาอีก.
แต่จีวรที่เขาถวายพาดพิงถึงสงฆ์ ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งว่า
ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ก็ดี ว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ก็ดี ไม่ควรแก่
ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล, เพราะเหตุที่เธอกล่าวคำว่า ข้าพเจ้างดคหบดีจีวรเสีย,
สมาทานองค์ของผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร แต่ไม่ควรแก่ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล
เพราะเหตุที่จีวรนั้น เป็นอกัปปิยะหามิได้, แม้ภิกษุสงฆ์อปโลกน์ให้แล้วก็
ไม่ควรรับ. ก็และภิกษุให้จีวรใดซึ่งเป็นของตน, จีวรนั้นชื่อของที่ภิกษุให้
ควรอยู่ แต่ว่าจีวรนั้นไม่เป็นผ้าบังสุกุล. แม้เนื้อเป็นเช่นนั้น, ธุดงค์ย่อม
ไม่เสีย.
อนึ่ง เมื่อทายกถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย, ข้าพเจ้าถวาย
แก่พระเถระทั้งหลาย ดังนี้ ย่อมควรแม้แก่ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล. แม้จีวรที่ทายก
ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายผ้านี้ แก่สงฆ์ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จงทำถุงใส่รองเท้า
ถึงบาตร ผ้ารัดเข่าและสายสะพายเป็นต้นด้วยผ้านี้ ดังนี้ ย่อมควร. ผ้าที่ทายก
ถวายเพื่อประโยชน์แก่ถุงบาตรเป็นต้น มีมาก, เป็นของเพียงพอแม้เพื่อประ
โยชน์แก่จีวรจะกระทำจีวรจากผ้านั้นห่ม ก็ควร. ก็หากว่าสงฆ์ตัดผ้าที่เหลือ
จากแจกกันแล้ว แจกให้เพื่อประโยชน์แก่ถุงรองเท้าเป็นต้น, จะถือเอาจากผ้า
นั้นไม่ควร. แต่ผ้านั้นพวกเจ้าของจัดการเองนั้นแลควรอยู่ นอกนั้นไม่ควร.

365
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 366 (เล่ม 7)

แม้เมื่อทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายเพื่อประโยชน์แก่ผ้าผูกกระบอก
กรองเป็นต้น แก่สงฆ์ผู้ถือผ้าบังสุกุล ดังนี้ สมควรถือเอา. ขึ้นชื่อว่าบริขาร
แม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล ก็พึงปรารถนา ในผ้าที่เขาถวายเพื่อให้เป็นผ้าผูกกระ-
บอกกรองเป็นต้นเหล่านั้น ผ้าใดเป็นของเหลือเพื่อ จะน้อมผ้านั้นเข้าในจีวร
บ้าง ก็ควร. ทายกถวายด้วยแก่สงฆ์ ด้วยนั้น แม้ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล ก็ควร
รับ.
วินิจฉัยในผ้าที่ทายกเข้าไปสู่วัดแล้วถวายว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรเหล่านี้
แก่สงฆ์ เท่านี้ก่อน. ก็ถ้าว่า ทายกเห็นภิกษุทั้งหลายผู้เดินทางไปภายนอก
อุปจารสีมาแล้ว บอกแก่พระสังฆเถระ หรือพระสังฆนวกะว่า ข้าพเจ้าถวาย
สงฆ์ แม้ถ้าบริษัทตั้งแผ่ไปโยชน์หนึ่ง เนื่องเป็นอัน เดียวกัน ย่อมถึงแก่ภิกษุ
ทั่วกัน; ฝ่ายภิกษุเหล่าใดไม่ทันบริษัทเพียง ๑๐ ศอก ไม่ถึงแก่ภิกษุเหล่านั้น .
ถวายแก่สงฆ์สองฝ่าย
วินิจฉัยในมาติกาว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่าย นี้ พึงทราบดังนี้:-
เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่าย ก็ดี ถวายแก่สงฆ์โดยส่วน ๒
ก็ดี ถวายแก่สงฆ์ ๒ พวก ก็ดี กล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุณีสงฆ์
ด้วย ก็ดี ผ้านั้นเป็นอันเขาถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายแท้.
ข้อว่า อุปฑฺฒํ ทาตพฺพํ มีความว่า พึงทำเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน
ให้ส่วนหนึ่ง. เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายด้วยแก่ท่านด้วย ถ้ามีภิกษุ
๑๐ รูป ภิกษุณี ๑๐ รูป พึงทำให้เป็น ๒๑ ส่วน; ให้แก่บุคคลส่วนหนึ่ง ให้
แก่สงฆ์ ๑๐ ส่วน ให้แก่ภิกษุณีสงฆ์ ๑๐ ส่วน; ส่วนเฉพาะบุคคลอันภิกษุใด
ได้แล้ว ภิกษุนั้น ย่อมได้เพื่อถือเอาตามลำดับพรรษาของตนจากสงฆ์อีก.
เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่เธออันเขารวมเข้าด้วยศัพท์ว่า อุภโตสงฆ์. แม้

366
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 367 (เล่ม 7)

ในผ้าที่เขาบอกถวายว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายด้วย แก่เจดีย์ด้วย ก็มีนัยเหมือน
กัน. แต่ในคำถวายนี้ ไม่มีส่วนที่จะถึงแก่เจดีย์จากสงฆ์ มีแต่ส่วนที่เท่ากับส่วน
ที่ถึงแก่บุคคลผู้หนึ่งเท่านั้น.
อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่สงฆ์ ๒ ฝ่ายด้วย แก่ท่านด้วย
แก่เจดีย์ด้วย พึงทำให้เป็น ๒๒ ส่วน ให้ภิกษุ ๑๐ ส่วน ให้แก่ภิกษุณี ๑๐ ส่วน.
ให้แก่บุคคลส่วนหนึ่ง ให้แก่เจดีย์ส่วนหนึ่ง; ในบุคคลและเจดีย์นั้น บุคคล
ย่อมได้เพื่อถือเอาอีกตามลำดับพรรษาของตน จากสงฆ์ด้วย, สำหรับเจดีย์พึงได้
ส่วนเดียวเท่านั้น.
อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุณีทั้งหลาย
ด้วย อย่าแบ่งกลางให้ พึงนับภิกษุและภิกษุณีแล้วให้.
อนึ่ง เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุณีทั้งหลายด้วย
แก่ท่านด้วย บุคคลไม่ได้ส่วนอีกแผนกหนึ่ง; ย่อมได้เฉพาะส่วนเดียว จาก
ลำดับที่ถึงเท่านั้น เพราะเหตุไร ? เพราะเหตุที่บุคคลอันเขารวมเข้าด้วยศัพท์
ว่าภิกษุสงฆ์ แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุสงฆ์ด้วย แก่ภิกษุทั้งหลายด้วย
แก่ท่านด้วย แก่เจดีย์ด้วย เจดีย์ได้ส่วนเท่าบุคคลผู้หนึ่ง บุคคลไม่ได้ส่วนอีก
แผนกหนึ่ง เพราะฉะนั้น พึง ให้แก่เจดีย์ส่วนหนึ่ง ที่เหลือพึงนับภิกษุและ
ภิกษุณีแจกกัน. แม้เมื่อเขากล่าวว่า ถวายแก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย อย่า
แบ่งกลางให้ พึงแบ่งตามจำนวนบุคคลเท่านั้น เมื่อเขากล่าวอย่างนี้ว่า ถวาย
แก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย แก่ท่านด้วย ดังนี้ก็ดี, กล่าวอย่างนี้ว่า ถวาย
แก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย แก่เจดีย์ด้วย ดังนี้ก็ดี, กล่าวอย่างนี้ว่า ถวาย
แก่ภิกษุด้วย แก่ภิกษุณีด้วย แก่ท่านด้วย แก่เจดีย์ด้วย ดังนี้ก็ดี, เจดีย์ได้
ส่วนเดียว บุคคลไม่มีส่วนอีกแผนกหนึ่ง พึงนับภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายเท่า
นั้น แจกกัน. เหมือนอย่างว่า ข้าพเจ้ายก ภิกษุสงฆ์ไห้เป็นต้น อธิบายความ

367