หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 328 (เล่ม 7)

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบความอยากของพระราชา
จึงรับสั่งให้ถวายบิณฑบาตหน่อยหนึ่ง ซึ่งเทวดายังมิได้แทรกโอชาลง แก่
พระราชา. ท้าวเธอเสวยแล้วทูลถามว่า โภชนะนำมาจากอุตตกุรุทวีปหรือ
พระเจ้าข้า ร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มหาบพิตร ไม่ได้นำมาจากอุตตร-
กุรุทวีป, โดยที่แท้นี่เป็นโภชนะของคฤหบดีบุตร ชาวแคว้นของพระองค์
นั่นเอง ดังนี้แล้ว ทรงบอกสมบัติของโสณะ. พระราชาทรงฟังเนื้อความ
นั้นแล้ว มีพระประสงค์จะทอดพระเนตรโสณะ ได้ทรงกระทำความมาของ
โสณะพร้อมด้วยกุลบุตรแปดหมื่นคน ตามนัยที่กล่าแล้วในจัมมขันธกะ.
กุลบุตรเหล่านั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เป็นพระ-
โสดาบัน. ฝ่ายโสณะบวชแล้วทั้งอยู่ในพระอรหัต. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้ารับ
สั่งให้ถวายบิณฑบาตแก่พระราชาก็เพื่อประโยชน์นี้แล.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้วอย่างนั้น, ลำดับนั้น
แล หมอชีวกโกมารภัจจ์ ถือคู่ผ้าสิเวยยกะนั้นแล้ว ฯลฯ ได้กราบทูลเนื้อความ
นั้น.
วินิจฉัยในคำว่า อติกฺกนฺตวรา นี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วใน
มหาขันธกะนั้นและ.
ข้อว่า ภควา ภนฺเต ปํสุกูลิโก ภิกฺขุสงฺโฆ จ มีความว่า จริง
อยู่ ในระหว่างนี้ คือ ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า จน
ถึงเรื่องนี้เกิดขึ้น เป็นเวลา ๒๐ ปี, ภิกษุใด ๆ ไม่ยินดีคฤหบดีจีวร, ภิกษุทั้ง
ปวงได้เป็นผู้ถือผ้าบังสุกุลเท่านั้น: ด้วยเหตุนั้น หมอชีวกนี้ จึงกราบทูล
อย่างนั้น.

328
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 329 (เล่ม 7)

บทว่า คหปติจีวรํ ได้แก่ จีวรอันคหบดีทั้งหลายถวาย.
สองบทว่า ธมฺมิยา กถาย คือ ถ้อยคำอันประกอบพร้อมด้วย
อานิสงส์แห่งการถวายผ้า
บทว่า อิตริตเรนนาปิ คือ มีค่าน้อยก็ตาม มีค่ามากก็ตาม, ความว่า
อย่างใดอย่างหนึ่ง. ผ้าห่มที่ทำด้วยฝ้ายชนิดที่มีขน ชื่อผ้าปาวาร.
ในคำว่า อนุชานมิ ภิกฺขเว โกชวํ นี้ มีความว่า ผ้าโกเชาว์
คือ ผ้าลาด ตามปกติเท่านี้ จึงควร, ผ้าโกเชาว์ผืนใหญ่ ไม่ควร. ผ้าโกเชาว์
นั้น ทำด้วยขนสัตว์คล้ายผ้าปาวาร.
ว่าด้วยทรงอนุญาตจีวร ๖ ชนิด
พระเจ้ากาสีนั้น คือพระราชาแห่งชนชาวกาสี, ท้าวเธอเป็นน้องร่วม
พระบิดาเดียวกับพระเจ้าปเสนทิ.
วินิจฉัยในบทว่า อฑฺฒกาสิยํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
หนึ่งพันเรียกว่ากาสีหนึ่ง ผ้ากัมพลมีราคาพันหนึ่ง ชื่อมีค่ากาสีหนึ่ง,
แต่ผ้ากัมพลผืนนี้ มีราคา ๕๐, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีค่ากึ่งกาสี,
ด้วยเหตุนี้แล พระอุบาลีเถระจึงกล่าวว่า ควรแก่ราคากึ่งกาสี.
บทว่า อุจฺจาวจานิ คือ ดีและไม่ดี. ผ้าที่ทำเจือกันด้วยด้ายห้าชนิด
มีด้ายเปลือกไม้เป็นต้น ชื่อผ้าภังคะ บางอาจารย์กล่าวว่า ผ้าที่ทำด้วยปอเท่านั้น
ดังนี้บ้าง.
ข้อว่า เอกํเยว ภควตา จีวรํ อนุญฺญาตํ น เทฺว มีความว่า
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น กำหนดเนื้อความแห่งบทอันหนึ่งว่า ด้วยจีวรตามมี
ตามได้ อย่างนี้ว่า ด้วยจีวรเป็นของคหบดีหรือด้วยผ้าบังสุกุล.

329
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 330 (เล่ม 7)

บทว่า นาคเมสุํ มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น ไม่รออยู่ จนกว่าพวก
เธอจะมาจากป่าช้า, คือหลีกไปเสียก่อน.
สามบทว่า นากามา ภาคํ ทาตุํ มีความว่า ไม่ปรารถนาจะให้ก็
อย่าให้, แต่ถ้าปรารถนาจะให้ไซร้, ควรให้.
บทว่า อาคเมสุํ คือ รออยู่ในที่ใกล้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ไม่อยากให้ ต้องให้
ส่วนแบ่งแก่ภิกษุทั้งหลายผู้คอย. ก็ถ้าว่า มนุษย์ทั้งหลายถวายว่า ท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ผู้มาที่นี่เท่านั้น จงถือเอา, หรือกระทำเครื่องหมายไว้ว่า ท่านผู้มี
อายุทั้งหลาย ผู้มาถึงแล้ว จงถือเอา ดังนี้แล้วไปเสีย, จีวรย่อมถึงแก่ภิกษุแม้
ทุกรูป ผู้มาถึงแล้ว. ถ้าเขาทิ้งไว้แล้วไปเสีย, ภิกษุผู้ถือเอาเท่านั้นเป็นเจ้าของ.
สองบทว่า สทิสา โอกฺกมึสุ มีความว่า เข้าไปทุกรูป, หรือเข้า
ไปโดยทิศเดียวกัน.
หลายบทว่า เต กติกํ กตฺวา มีความว่า ภิกษุเหล่านั้น ทำกติกา
กันไว้แต่ภายนอกว่า เราจักแบ่งผ้าบังสุกุลที่ได้แล้วถือเอาทั่วกิน
ว่าด้วยเจ้าหน้าที่รับจีวรเป็นต้น
วินิจฉัยในข้อว่า โย น ฉนฺทาคตึ คจฺฉติ เป็นอาทิ พึงทราบ
ดังนี้.
ในภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่รับจีวร ภิกษุผู้รับของปิยชนทั้งหลายมีญาติ
เป็นต้นของตน แม้มาทีหลัง ก่อนกว่า, หรือรับแสดงความพอใจในทายกบ้าง
คน. หรือน้อมมาเพื่อคน ด้วยความเป็นผู้มีโลภเป็นปกติ, ชื่อว่าถึงความลำเอียง
เพราะความชอบพอ. ภิกษุใดรับของทายกแม้มาก่อนกว่า ทีหลังด้วยอำนาจ
ความโกรธ, หรือรับทำอาการดูหมิ่นในคนจน. หรือทำลาภันตรายแก่สงฆ์

330
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 331 (เล่ม 7)

อย่างนี้ว่า ที่เก็บในเรือนของท่านไม่มีหรือ, ท่านจงถือเอาของ ๆ ท่านไปเถิด.
ภิกษุนี้ชื่อว่าถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง. ฝ่ายภิกษุใดหลงลืมสติ ไม่
รู้ตัว ภิกษุนี้ ชื่อถึงความลำเอียงเพราะงมงาย ภิกษุผู้รับของอิสรชนทั้งหลาย แม้
มาทีหลัง ก่อนกว่า เพราะความกลัว, หรือหวาดหวั่นอยู่ว่า ตำแหน่งผู้รับ จีวรนี้
หนักนัก, ชื่อถึงความลำเอียงเพราะกลัว. ภิกษุผู้รู้อยู่ว่า จีวรนี้ด้วย นี้ด้วย
เรารับแล้ว. และส่วนนี้ เราไม่ได้รับ ชื่อรู้จักจีวรที่รับแล้ว และไม่ได้รับ เพราะ
เหตุนั้น ภิกษุใด ไม่ลำเอียงด้วยอำนาจแห่งฉันทาคติเป็นต้น, รับตามลำดับ
ผู้มา ไม่ทำให้แปลกกันในคนที่เป็นญาติ และมิใช่ญาติ คนมั่งมีและคนจน,
เป็นผู้ประกอบด้วยศีลาจารปฏิบัติ มีสติ มีปัญญา เป็นพหูสูต สามารถเพื่อ
กระทำอนุโมทนาด้วยบทและพยัญชนะอันเรียบร้อย ด้วยวาจาอันสละสลวย ยัง
ความเลื่อมใสให้เกิดแก่ทายกทั้งหลาย; ภิกษุเห็นปานนี้สงฆ์ควรสมมติ.
ก็วินิจฉัยในข้อว่า เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว สมฺมนฺนิตพฺโพ นี้
พึงทราบดังนี้:-
สมควรแท้ที่จะสมมติในท่ามกลางสงฆ์ทั้งปวง ภายในวัดก็ได้ ใน
ขัณฑสีมาก็ได้ ด้วยกรรมวาจาตามที่ตรัสนั้นก็ได้ ด้วยอปโลกน์ก็ได้ ก็อัน
ภิกษุซึ่งสงฆ์สมมติแล้ว อย่างนั้น ไม่พึงอยู่ในกุฎีที่อยู่หลังสุดท้ายหรือในที่ทำ
ความเพียร. ก็แต่ว่า ชนทั้งหลายผู้มาแล้ว จะพบได้ง่าย ในที่ใด พึงวางพูด
ไว้ข้างตัว นุ่งห่มเรียบร้อยนั่งในที่แห่งกุฎีอยู่ใกล้เช่นนั้น.
สองบทว่า ตตฺเถว อุชฺฌิตฺวา มีความว่า ภิกษุเจ้าหน้าที่รับจีวร
กล่าวว่า การรับเท่านั้น เป็นธุระของพวกข้าพเจ้า แล้วทั้งไว้ในที่ซึ่งตนรับ
นั้นเองแล้วไปเสีย.

331
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 332 (เล่ม 7)

บทว่า จีวรปฏิคฺคาหกํ ได้แก่ ภิกษุผู้รับจีวรซึ่งคหบดีทั้งหลาย
ถวายแก่สงฆ์.
บทว่า จีวรนิทาหกํ ได้แก่ ภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่เก็บจีวร.
ในคำว่า โย น ฉนฺทาคตึ เป็นอาทิ ในอธิการว่าด้วยสมมติ
เจ้าหน้าที่เก็บจีวรนี้ และในอธิการทั้งปวงนอกจากนี้ พึงทราบวินิจฉัยตามนัย
ที่กล่าวนั้นนั่นแล. ถึงวินิจฉัยในการสมมติ ก็พึงทราบโดยท่านองดังกล่าวแล้ว
เหมือนกัน.
วินิจฉัยในคำว่า วหารํ วา เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้:-
ที่อยู่อันใดพลุกพล่านด้วยชนทั้งหลาย มีคนวัดและสามเณร เป็นต้น
ในท่ามกลางวัด เป็นกุฎีที่อยู่ก็ตาม เป็นเพิงก็ตาม อยู่ในสถานเป็นที่ประชุม
ของชนทั้งปวง ที่อยู่อันนั้น ไม่พึงสมมติ. อนึ่งเสนาสนะปลายแดน ก็ไม่ควร
สมมติ. อันการที่ภิกษุทั้งหลายไปสู่ขัณฑสีมานั่งในขัณฑสีมา สมมติภัณฑาคาร
นี้ ย่อมไม่ควร ต้องสมมติในท่ามกลางวัดเท่านั้น.
วินิจฉัยในข้อว่า คุตฺตคุตฺตญฺจ ชาเนยฺย นี้ พึงทราบดังนี้:-
โทษไร ๆ ในสัมภาระทั้งหลายมีหลังคาเป็นต้น แห่งเรือนคลังใดไม่มี
ก่อน เรือนหลังนั้น ชื่อว่าคุ้มได้ ฝ่ายเรือนคลังใด มีหญ้าสำหรับมุง หรือ
กระเบื้องสำหรับมุง พังไป ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง หรือมีช่องในที่บางแห่ง มีฝา
เป็นต้น ที่มีฝนรั่วได้ หรือมีทางเข้าแห่งสัตว์ทั้งหลายมีหนูเป็นต้น หรือปลวก
ขึ้นได้ เรือนคลังนั้นทั้งหมดชื่อว่าคุ้มไม่ได้ พึงตรวจดูเรือนคลังนั้นแล้วซ่อม-
แชม. ในฤดูหนาวพึงปิดประตูและหน้าต่างให้ดี เพราะว่าจีวรย่อมตกหนาว ๑
เพราะความหนาว. ในฤดูร้อน ประตูและหน้าต่าง ควรเปิดเพื่อให้ลมเข้าใน
ระหว่าง ๆ. ด้วยว่า เมื่อทำอย่างนั้น ชื่อว่ารู้จักเรือนคลังที่คุ้มได้และคุ้มไม่ได้.
๑. สีที่ละลายออกหรือจางไปในเวลาซักหรือถูกแดดเป็นต้น สีตก เรียกว่า ตกหนาว.

332
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 333 (เล่ม 7)

ก็เจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ นี้ มีเจ้าหน้าที่รับจีวรเป็นต้น ต้องรู้จักวัตรของ
ตน.
บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ นั้น ผ้าทุกชนิดที่ชนทั้งหลายถวายว่า กาลจีวร
ก็ดี ว่า อกาลจีวร ก็ดี ว่า อัจเจกจีวร ก็ดี ว่า วัสสิกสาฏิกา ก็ดี ว่า ผ้านิสีทนะ
ก็ดี ว่า ผ้าปูลาด ก็ดี ว่า ผ้าเช็ดหน้า ก็ดี อันเจ้าหน้าที่รับจีวรไม่ควรรับปน
รวมเป็นกองเดียวกัน; พึงรับจัดไว้เป็นแผนก ๆ แล้วบอกอย่างนั้นแล มอบ
แก่เจ้าหน้าที่เก็บจีวร เจ้าหน้าที่เก็บจีวรเล่า เมื่อจะมอบแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษา
เรือนคลัง พึงบอกมอบหมายว่า นี่กาลจีวร ฯลฯ นี่ผ้าเช็ดหน้า. ฝ่ายเจ้าหน้าที่
ผู้รักษาเรือนคลัง ทำเครื่องหมายเก็บไว้เป็นแผนก ๆ อย่างนั้นเหมือนกัน.
ภายหลังเมื่อสงฆ์สั่งว่า จงนำกาลจีวรมา พึงถวายเฉพาะกาลจีวร ; ฯลฯ เมื่อ
สงฆ์สั่งว่า จงนำผ้าเช็ดหน้ามา พึงถวายเฉพาะผ้าเช็ดหน้าเท่านั้น. เจ้าหน้าที่
รับจีวร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว เจ้าหน้าที่เก็บจีวร ทรงอนุญาต
แล้ว เจ้าหน้าที่ผู้รักษาเรือนคลัง ก็ทรงอนุญาตแล้ว เพื่อความเป็นผู้มักมาก
หามิได้ เพื่อความไม่สันโดษหามิได้ โดยที่แท้ ทรงอนุญาตแล้ว เพื่อ
อนุเคราะห์สงฆ์ ด้วยประการฉะนี้.
ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลาย จะพึงถือเอาจีวรที่ทายกนำมาแล้ว ๆ แบ่งกัน
ไซร้ เธอทั้งหลาย จะไม่ทราบจีวรที่ทายกนำมาแล้ว ไม่พึงทราบจีวรที่ทายก
ยังมิได้นำมา ไม่พึงทราบจีวรที่ตนไห้แล้ว ไม่พึงทราบจีวรที่ตนยังไม่ได้ให้
ไม่พึงทราบจีวรที่ภิกษุได้แล้ว ไม่พึงทราบจีวรที่ภิกษุยังไม่ได้; จะพึงถวาย
จีวรที่ทายกนำมาแล้ว ๆ ในเถรอาสน์ หรือจะพึงตัดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ถือ
เอา; เมื่อเป็นเช่นนี้ การใช้สอยจีวรไม่เหมาะ ย่อมมีได้; ทั้งไม่เป็นอันได้
ทำความสงเคราะห์ทั่วถึงกัน. ก็แต่ว่า ภิกษุทั้งหลายเก็บจีวรไว้ในเรือนคลัง

333
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 334 (เล่ม 7)

แล้ว ในคราวมีจีวรมาก จักให้จีวรแก่ภิกษุรูปละไตรบ้าง รูปละ ๒ ผืน ๆ บ้าง
รูปละผืน ๆ บ้าง เธอทั้งหลายจักทราบจีวรที่ภิกษุได้แล้วและยังไม่ได้ ครั้น
ทราบความที่จีวรซึ่งภิกษุยังไม่ได้ จักสำคัญเพื่อทำความสงเคราะห์กันฉะนี้.
ว่าด้วยบุคคลที่ไม่ควรไห้ย้าย
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ภณฺฑาคาริโก วุฏฺฐาเปตพฺโพ นี้
พึงทราบดังนี้:-
พึงรู้จักภิกษุที่ไม่ควรให้ย้ายแม้อื่นอีก จริงอยู่ ไม่ควรให้ย้ายภิกษุ ๔
พวก คือ ภิกษุผู้แก่กว่า ๑ ภิกษุเจ้าหน้าที่รักษาเรือนคลัง ๑ ภิกษุผู้อาพาธ ๑
ภิกษุได้เสนาสนะจากสงฆ์ ๑ ในภิกษุ พวกนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า อันภิกษุผู้
อ่อนกว่า ไม่พึงให้ย้าย เพราะท่านเป็นผู้แก่กว่าตน, ภิกษุเจ้าหน้าที่รักษา
เรือนคลัง ไม่พึงให้ย้าย เพราะเรือนคลังอันสงฆ์สมมติมอบไห้ ภิกษุผู้อาพาธ
ไม่พึงให้ย้าย เพราะค่าที่เธอเป็นผู้อาพาธ, แต่ว่า สงฆ์มอบที่อยู่อันสำราญกระทำ
ให้เป็นสถานที่ไม่ต้องให้ย้าย แก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูต มีอุปการะมาก ด้วยอุทเทส
และปริปุจฉาเป็นต้น ผู้ช่วยภาระ เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้เป็นพหูสู นั้น ไม่
พึงให้ย้าย เพราะค่าที่เธอเป็นผู้มีอุปการะ และเพราะค่าที่เสนาสนะเป็นของ
อันเธอได้จากสงฆ์ ฉะนี้แล.
ว่าด้วยเจ้าหน้าที่แจกจีวร
สองบทว่า อุสฺสนฺนํ โหติ มีความว่า จีวรมีมากต้องจัดกองไว้คือ
เรือนคลังไม่จุพอ.
บทว่า สมฺมุขีภูเตน คือ ยืนอยู่ภายในอุปจารสีมา.
บทว่า ภาเชตุํ มีความว่า เพื่อให้ประกาศเวลา แจกกันตามลำดับ.

334
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 335 (เล่ม 7)

สองบทว่า โกลาหลํ อกาสิ คือ ได้ทำเสียงดังอย่างนี้ว่า ท่านจง
ให้แก่อาจารย์ของเรา ท่านจงให้แก่อุปัชฌาย์ของเรา.
วินิจฉัยในองค์ของเจ้าหน้าที่แจกจีวร พึงทราบดังนี้:-
เมื่อให้จีวรที่มีราคามาก แม้ยังไม่ถึง (ลำดับ) แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ชอบ
พอกัน ชื่อถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ. ไม่ให้จีวรมีราคามาก แม้ถึง
แก่ภิกษุผู้แก่กว่าเหล่าอื่น แต่กลับเอาจีวรมีราคาน้อยให้ชื่อถึงความลำเอียง
เพราะความเกลียดชัง. ภิกษุผู้งมงายด้วยความเขลา ไม่รู้จักธรรมเนียมการให้
จีวร ชื่อถึงความลำเอียงเพราะงมงาย เพราะกลัวแม้แต่ภิกษุอ่อนผู้มีปากกล้า
จึงให้จีวรมีราคามากที่ยังไม่ทันถึง (ลำดับ) ชื่อถึงความลำเอียงเพราะกลัว.
ภิกษุใดไม่ถึงความลำเอียงอย่างนั้น คือ เป็นผู้เที่ยงตรง เป็นผู้พอดี วางเป็น
กลางต่อภิกษุทั้งปวง ภิกษุเห็นปานนี้สงฆ์ควรสมมติ.
บทว่า ภาชิตาภาชิตํ มีความว่า ภิกษุผู้ทราบอยู่ว่า ผ้าแจกไป
แล้ว เท่านี้ ยังมิได้แจกเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ทราบผ้าที่แจกแล้ว
และยังมิได้แจก.
บทว่า อุจฺจินิตฺวา มีความว่า คัดเลือกผ้าทั้งหลายอย่างนี้ ว่านี่เนื้อ
หยาบ นี่เนื้อละเอียด นี่เนื้อแน่น นี่เนื้อบาง นี่ใช้แล้ว นี่ยังไม่ได้ใช้ นี่ยาว
เท่านี้ นี่กว้างเท่านี้.
บทว่า ตุลยิตฺวา มีความว่า ทำการกำหนดราคาอย่างนี้ว่า ผืนนี้ดี
ราคาเท่านี้ ผืนนี้ราคาเท่านี้.
สองบทว่า วณฺณาวณฺณํ กตฺวา มีความว่า ถ้าเฉพาะผืนหนึ่ง ๆ
ซึ่งมีราคาผืนละ ๑๐ กหาปณะ ๆ พอทั่วกัน อย่างนั้น นั่นเป็นการดี; ถ้าไม่พอ
ผืนใด ดีราคา ๙ หรือ ๘ กหาปณะ ผืนนั้นควบกับผืนอื่น ซึ่งมีราคา ๑

335
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 336 (เล่ม 7)

กหาปณะ และมีราคา ๒ กหาปณะจัดส่วนเท่า ๆ กัน โดยอุบายนี้แล.
ข้อว่า ภิกฺขู คเณตฺวา วคฺคํ พนฺธิตฺวา มีความว่า หากว่าเมื่อแจก
ทีละรูป ๆ วันไม่พอ เราอนุญาตให้นับภิกษุพวกละ ๑๐ รูป ๆ จัดส่วนจีวรเป็น
หมวด ๆ หมวดละ ๑๐ ส่วน ๆ ทำเป็นมัดอันเดียวกันตั้งเป็นส่วนจีวรอันหนึ่ง
เมื่อส่วนจีวรได้จัดตั้งไว้อย่างนี้แล้วพึงให้จับสลาก แม้ภิกษุเหล่านั้น ก็พึงจับ
สลากแจกกันอีก.
วินิจฉัยในข้อว่า สามเณรานํ อุฑฺฒปฏิวึสํ นี้ พึงทราบดังนี้:-
สามเณรเหล่าใด เป็นอิสระแก่ตน ไม่ทำการงานที่ควรทำของภิกษุ
สงฆ์ ขวนขวายในอุทเทสและปริปุจฉา ทำวัตรปฏิบัติแก่อาจารย์และอุปัชฌาย์
เท่านั้น ไม่ทำแก่ภิกษุเหล่าอื่น เฉพาะสามเณรเหล่านั้น พึงให้กึ่งส่วน ฝ่าย
สามเณรเหล่าใด ทำกิจที่ควรทำของภิกษุสงฆ์เท่านั้น ทั้งปุเรภัตและปัจฉาภัต
พึงให้ส่วนเท่ากัน แก่สามเณรเหล่านั้น. แต่คำนี้กล่าวเฉพาะด้วยอกาลจีวร
ซึ่งเกิดขึ้นหลังสมัย ได้เก็บไว้ในเรือนคลัง ส่วนกาลจีวรต้องให้เท่า ๆ กันแท้.
ผ้าจำนำพรรษา ซึ่งเกิดในที่นั้น ภิกษุและสามเณรพึงทำผาติกรรม
แก่สงฆ์มีผูกไม้กวาดเป็นต้น แล้วถือเอา. จริงอยู่ การทำหัตถกรรมมีผูก
ไม้กวาดเป็นต้น เป็นวัตรของภิกษุสามเณรทั้งปวง ในการถือเอาผ้าจำนำพรรษา
นี้ ทั้งใน (อกาล) จีวรที่เก็บไว้ในเรือนคลัง (ตามปกติ). ถ้าว่า สามเณรทั้ง
หลาย มากระทำการร้องขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกผมต้มข้าวต้ม พวกผมหุง
ข้าวสวย พวกผมปิ้งของควรเคี้ยว พวกผมถางหญ้า พวกผมหาไม้สีฟันมา
พวกผมทำสะเก็ดน้ำย้อมให้ควรถวาย ก็อะไรเล่า ที่ชื่อว่าพวกผมไม่ได้ทำ
พึงให้ส่วนเท่ากันแก่สามเณรเหล่านั้นเทียว. การให้ส่วนเท่ากัน เมื่อพวก

336
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 337 (เล่ม 7)

สามเณรทำการร้องขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาสามเณรผู้กระทำผิด
และสามเณรผู้มีความกระทำไม่ปรากฏ. แต่ในกุรุนทีแก้ว่า หากว่า สามเณร
ทั้งหลายวิงวอนว่า ท่านผู้เจริญ พวกผมไม่ทำงานของสงฆ์ เพราะเหตุอะไร
พวกผมจักทำ พึงให้ส่วนเท่ากัน.
บทว่า อุตฺตริตุกาโม มีความว่า ผู้ประสงค์จะข้ามแม่น้ำหรือทาง
กันดาร คือ ผู้ได้พวกแล้วประสงค์จะหลีกไปสู่ทิศ.
คำว่า สกํ ภาคํ ทาตุํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเนื้อความ
นี้ว่า เมื่อขนจีวรออกจากเรือนคลังจัดกองไว้แล้ว ตีระฆังแล้ว ภิกษุสงฆ์ประ-
ชุมกันแล้ว. ภิกษุผู้ได้พวกแล้วประสงค์จะไป อย่าต้องพลัดพรากจากพวก.
เพราะฉะนั้น เมื่อจีวรยังมิได้ขนออกก็ดี ระฆังยังมิได้ก็ดี สงฆ์ยังมิได้ประชุม
กันก็ดี ไม่ควรให้. แต่เมื่อจีวรขนออกแล้ว ตีระฆังแล้ว ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน
แล้ว ภิกษุผู้เป็นเจ้าหน้าที่แจกจีวร พึงคะเนดูว่า ส่วนของภิกษุนี้พึงมีเท่านี้
แล้วให้จีวรตามความคาดคะเน; เพราะว่าไม่อาจให้เท่า ๆ กัน เหมือนชั่งด้วย
ตราชั่งได้ เพราะฉะนั้น จะหย่อนไปหรือเกินไปก็ตามที จีวรที่ให้แล้ว โดย
คาดคะเนโดยนัยอย่างนี้ เป็นอันให้ด้วยดีแท้; หย่อนไปก็ไม่ต้องแถมให้อีก
เกินไปก็ไม้ต้องเอาคืนฉะนี้แล.
ข้อว่า อติเรกภาเคน มีความว่า ภิกษุมี ๑๐ รูป ทั้งผู้ก็มี ๑๐ ผืน
เหมือนกัน ในผ้าเหล่านั้น ผืนหนึ่งตีราคา ๑๒ กหาปณะ ผืนที่เหลือตีราคา
ผืนละ ๑๐ กหาปณะ; เมื่อได้จับสลากในผ้าทั้งปวงด้วยอำนาจ ตีราคาผืนละ ๑๐
กหาปณะเท่ากัน สลากในผ้ามีราคา ๑๒ กหาปณะ ให้ตกแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้น
เป็นผู้ประสงค์จะไปทั้งส่วนที่เกินนั้น ด้วยกล่าวว่า จีวรของเราย่อมพอเพียง
ด้วยส่วนเท่านี้ ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ผู้มีอายุ ส่วนที่เกิน ต้องเป็นของสงฆ์;

337