No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 118 (เล่ม 7)

อาการที่ทรงรับอาราธนาแล้ว ลุกจากที่นั่งกลับไป ครั้นตกแต่งของเคี้ยวของ
ฉันอันประณีตแล้ว ให้เจ้าหน้าที่ไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ถึงเวลาแล้ว ท่านพระโคดม ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสก ทรง
ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดำเนินไปทางสถานที่อังคาส ของสองมหาอำมาตย์
แห่งมคธรัฐครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์ ครั้งสองมหาอำมาตย์อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตน จนยังพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้เสวยเสร็จแล้วทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร ให้ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีjพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่สองหาอำมาตย์นั้น
ด้วยพระคาถาเหล่านั้น ว่าดังนี้:-
คาถาอนุโมทนา
[๗๓] บัณฑิตชาติอยู่ในประเทศใด
เลี้ยงดูท่านผู้มีศีล ผู้สำรวม ประพฤติพรหม-
จรรย์ในประเทศนั้น และได้อุทิศทักษิณาแก่
เหล่าเทพดาผู้สถิตในสถานที่นั้นเทพดาเหล่า
นั้นอันบัณฑิตชาติบูชาแล้ว ย่อมบูชาตอบ
อันบัณฑิตชาตินับถือแล้วย่อมนับถือตอบ
ซึ่งบัณฑิตชาตินั้น แต่นั้น ย่อมอนุเคราะห์
บัณฑิตชาตินั้น ดุจมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้
เกิดแต่อก ฉะนั้น คนที่เทพดาอนุเคราะห์
แล้ว ย่อมพบเห็นแต่สิ่งที่เจริญทุกเมื่อ.

118
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 119 (เล่ม 7)

[๗๔] ครั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่สองมหาอำมาตย์
ด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว ทรงลุกจากพระพุทธอาสน์เสด็จกลับ สองมหา-
อำมาตย์จึงตามส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์ด้วยความ
ประสงค์ว่า วันนี้ พระสมณโคดมจักเสด็จออกทางประตูด้านใด ประตูด้าน
นั้นจักมีนามว่า ประตูพระโคดม จักเสด็จข้ามแม่น้ำคงคาโดยท่าใด ท่านั้น
จักมีนามว่า ท่าพระโคดม ต่อมาประตูที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธ
ดำเนินผ่านไปนั้น ได้ปรากฏนามว่า ประตูพระโคดม
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปทางแม่น้ำคงคา
ก็เวลานั้น แม้น้ำคงคากำลังเปี่ยม น้ำเสมอตลิ่ง พอกาดื่มกินได้ คนทั้งหลาย
ใคร่จะไปจากฝั่งนี้สู่ฝั่งโน้น ต่างก็หาเรือ ต่างก็หาแพ ต่างก็ผูกแพลูกบวบ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นคนเหล่านั้นต่างก็พากันหาเรือ หาแพ
ผูกแพลูกบวบ ประสงค์จะข้ามจากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น จึงได้ทรงอันตรธาน ณ
ฝั่งนี้แห่งแม่น้ำคงคา ไปปรากฏ ณ ฝั่งโน้นพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ดุจบุรุษมีกำลัง
เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความข้อนี้แล้ว จึงทรงเปล่ง
พระอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-
ชนเหล่าใดจะข้ามแม่น้ำที่ห้วงลึก
ชนเทล่านั้นต้องสร้างสะพานแล้วสละสระ
น้อยเสีย จึงข้ามสถานอันลุ่มเต็มด้วยน้ำได้
ส่วนคนที่จะข้ามแม่น้ำน้อยนี้ ก็ผูกแพข้าม
ไปได้ แต่พวกคนมีปัญญา เว้นแพเสียก็ข้าม
ได้.

119
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 120 (เล่ม 7)

ทรงแสดงจตุราริยสัจ
[๗๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าไปทาง
ตำบลบ้านโกฏิ ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ตำบลบ้านโกฏินั้น.
ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะพระภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราและพวกเธอเร่ร่อนท่องเที่ยวไป ตลอดกาลนานอย่างนี้ เพราะไม่
ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ อะไรบ้าง ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราและพวกเธอเร่ร่อนท่องเที่ยวไปตลอดกาลนานอย่างนี้ เพราะไม่ได้ตรัสรู้
ไม่ได้แทงตลอดทุกขอริยสัจ. . . ทุกขสมุทยอริยสัจ. . . ทุกขนิโรธอริยสัจ. . . ทุกข-
นิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ ทุกขมุทย-
อริยสัจ ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้น อันเราและ
พวกเธอได้ตรัสรู้แล้ว ได้แทงตลอดแล้ว ตัดตัณหาในภพได้ขาดแล้ว ตัณหา
ที่จะนำไปเกิดก็สิ้นแล้ว บัดนี้ ไม่มีการเกิดอีกต่อไป.
นิคมคาถา
[๗๖] เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตาม
เป็นจริง จึงต้องท่องเที่ยวไปในชาตินั้น ๆ
ตลอดเวลานาน อริยสัจเหล่านั้นนั่น เราและ
พวกเธอได้เห็นแล้ว ตัณหาที่จะนำไปเกิด
เราและพวกเธอได้ถอนขึ้นแล้ว รากแห่ง
ทุกข์ เราและพวกเธอได้ตัดขาดแล้ว บัดนี้
ไม่มีการเกิดอีก.

120
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 121 (เล่ม 7)

เรื่องเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี
[๗๗] นางอัมพปาลีหญิงงามเมืองได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้าเสด็จมาโดยลำดับถึงตำบลบ้านโกฏิแล้ว จึงให้จัดยวดยานที่งาม ๆ แล้วขึ้น
สู่ยวดยานที่งาม ๆ มียวดยานที่งาม ๆ ออกไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ไปด้วยยวดยานตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะไปได้ แล้วลง
จากยวดยานเดินด้วยเท้าเข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้นาง
เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นนางอัมพปาลีคณิกา
อันพระผู้มีพระภาค เจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระผู้มีพระภาค
เจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉันเพื่อ
เจริญบุญกุศลและปีติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนา
โดยดุษณีภาพ ครั้นนางทราบพระอาการที่ทรงรับอาราธนาแล้ว ลุกจากที่นั่ง
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณกลับไป.
พวกเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี ได้ทรงสดับข่าวว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จมาโดยลำดับ ถึงตำบลบ้านโกฏิแล้ว จึงพากันจัดยวดยานที่งาม ๆ
เสด็จขึ้นสู่ยวดยานที่งาม ๆ ออกไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า เจ้าลิจฉวีบางพวกเขียว คือ มีพระฉวีเขียว ทรงวัตถาลังการเขียว
บางพวกเหลือง คือ มีพระฉวีเหลือง ทรงวัตถาลังการเหลือง บางพวกแดง
คือ มี พระฉวีแดง ทรงวัตถาลังการแดง บางพวกขาว คือ มีพระฉวีขาว ทรง
วัตถาลังการขาว.

121
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 122 (เล่ม 7)

ขณะนั้น นางอัมพปาลีคณิกา ทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอก
กระทบแอก ล้อกระทบล้อ เพลากระทบเพลา ของเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ เจ้าลิจ-
ฉวีเหล่านั้นจึงได้ตรัสถามนางว่า แม่อัมพปาลี เหตุไฉนเธอจึงได้ทำให้งอนรถ
กระทบงอนรถ แอกกระแทกแอก ล้อกระแทกล้อ เพลากระทบเพลา ของ
เจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ ของพวกเราเล่า.
อัม. จริงอย่างนั้น พ่ะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข เพื่อเจริญบุญกุศลและปีติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้.
ลจ. แม่อัมพปาลี เธอจงให้ภัตตาหารมื้อนี้แก่พวกฉัน ด้วยราคาแสน
กษาปณ์เถิด.
อัม. แม้ว่าฝ่าพระบาท จะพึงประทาน พระนครเวสาลีพร้อมทั้ง
ชนบทแก่หม่อมฉัน ๆ ก็ถวายภัตตาหารมื้อนั้นไม่ได้ พ่ะยะค่ะ.
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น จึงได้ทรงดีดพระองคุลีตรัสว่า ท่านทั้งหลาย พวก
เราแพ้แม่อัมพปาลีแล้ว ท่านทั้งหลาย พวกเราแพ้แม่อัมพปาลีแล้ว จึงพากัน
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นกำลัง
เสด็จมาแต่ไกลครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
เหล่าใดไม่เคยเห็นเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์ ก็จงแลดูพวกเจ้าลิจฉวี พิจารณาดู
เทียบเตียงดู พวกเจ้าลิจฉวีกับพวกเทพเจ้าชั้นคาวดึงส์เถิด เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
จึงได้เสด็จไป ด้วยยวดยาน ตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะไปได้ แล้วเสด็จลงจาก
ยวดยานทรงดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่งอยู่ ณ ทีควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงชี้แจงให้เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ทรงเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถา เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง
สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว จึงได้กราบทูลอาราธนาพระ-

122
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 123 (เล่ม 7)

ผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์พรอันด้วยภิกษุสงฆ์ทรงพระกรุณาโปรดรับภัต-
ตาหารของพวกข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศล และปีติปราโมทย์ ในวัน
พรุ่งนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนลิจฉวีทั้งหลาย อาตมารับนิมนต์
ฉันภัตตาหารของนางอัมพปาลีคณิกา เพื่อเจริญบุญกุศล และปีติปราโมทย์
ในวันพรุ่งนี้แล้ว.
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้นทรงดีดองคุลีแล้วตรัสในทันใดนั้นว่า ท่านทั้งหลาย
พวกเราแพ้นางอัมพปาลีคณิกาแล้ว ท่านทั้งหลาย พวกเราแพ้นางอัมพปาลี-
คณิกาแล้ว และได้ทรงเพลิดเพลินยินดีตามภาษิตของพระผู้มีพระ ๆ ภาคเจ้า
เสด็จลุกจากที่ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำประทักษิณ แล้ว
เสด็จกลับ.
นางอัมพปาลี ถวายอัมพปาลีวัน
ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ตำบลบ้านโกฏิตาม
พระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางเมืองนาทิกา ทราบว่า
พระองค์ประทับอยู่ที่พระตำหนักตึก เขตเมืองนาทิกานั้น.
ส่วนนางอัมพปาลีคณิกา สั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต ใน
สวนของตนโดยผ่านราตรีนั้น แล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่าถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
ขณะนั้นเป็นเวลาเข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว
ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่สถานที่อังคาสของนางอัมพปาลีคณิกา
ครั้งถึงแล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
นางอัมพปาลีคณิกา จึงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนีย
โภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน ยังพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสวยเสร็จ

123
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 124 (เล่ม 7)

แล้ว จนทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร ให้ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง นางได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หม่อมฉันขอถวาย
สวนอัมพปาลีวันนี้ แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประนุข พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับเป็นสังฆารามแล้ว ครั้น แล้วพระองค์ทรงชี้แจงให้
นางอัมพปาลีเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา เสด็จลุกจาก
พระพุทธอาสน์แล้ว เสด็จพระพุทธดำเนินไป ทางป่ามหาวัน ทราบว่า พระองค์
ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวันเขตพระนครเวสาลีนั้น.
เรื่องเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี จบ
ลิจฉวีภาณวาร จบ
เรื่องสีหะเสนาบดี
ทรงดำริเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
[๗๘] ก็โดยสมัยนั่นแล เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จัก นั่ง
ประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรงต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรม
คุณ พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย และเวลานั้น สีหะเสนาบดีสาวกของนิครนถ์
นั่งอยู่ในที่ประชุมนั้นด้วย จึงคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นจักเป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ต้องสงสัยเลย คงเป็นความจริง เจ้าลิจฉวี
บรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักเหล่านี้จึงได้นั่งประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรง
ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณโดยอเนก
ปริยาย ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

124
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 125 (เล่ม 7)

พระองค์นั้น แล้วจึงได้เข้าไปหานิครนถ์นาฏบุตรถึงสำนัก ครั้นแล้วไหว้นิครนถ์
นาฏบุตร นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งและได้แจ้งความประสงค์นี้ แก่นิครนถ์
นาฏบุตรว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอยากจะไปเฝ้าพระสมณโคดม.
อกิริยวาทกถา
นิครนถ์นาฏบุตรพูดค้านว่า ท่านสีหะ ก็ท่านเป็นคนกล่าวการทำ ไฉน
จึงจักไปเฝ้าพระสมณโคดมผู้เป็นคนกล่าวการไม่ทำเล่า เพราะพระสมณโคดม
เป็นผู้กล่าวการไม่ทำ ทรงแสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และทรงแนะนำสาวกตาน
แนวนั้น.
ขณะนั้น ความตระเตรียมในอันจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าของสีหะ
เสนาบดีได้เลิกล้มไป.
แม้ครั้งที่ ๒.
แม้ครั้งที่ ๓ เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักได้นั่งประชุม
พร้อมกัน ณ ท้องพระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ
พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย ท่านสีหะเสนาบดีก็ได้คิดเป็นครั้งที่ ๓ ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่
ต้องสงสัยเลยคงเป็นความจริง เจ้าลิจฉวีบรรดาที่มีชื่อเสียง มีคนรู้จักเหล่านี้
จึงได้มานั่งประชุมพร้อมกัน ณ ท้องพระโรง ต่างพากันตรัสสรรเสริญพระพุทธ-
คุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดยอเนกปริยาย ก็พวกนิครนถ์ เราจะ
บอกหรือไม่บอกจักทำอะไรแก่เรา ผิฉะนั้น เราจะไม่บอกพวกนิครนถ์ ไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเลยทีเดียว จึงเวลาบ่าย
สีหะเสนาบดีออกจากพระนครเวสาลีพร้อมด้วยรถ ๕๐๐ คัน ไปเฝ้าพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ไปด้วยยวดยานตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะผ่านไปได้ แล้วลงจาก

125
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 126 (เล่ม 7)

ยวดยานเดินเข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง สีหะเสนาบดีนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบ
ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า.
พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทราบมาว่า พระสมณโคดมกล่าวการ
ไม่ทำ ทรงแสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และทรงแนะนำสาวกตามแนวนั้น บุคคล
จำพวกที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ ทรงแสดงธรรมเพื่อ
การไม่ทำและทรงแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้นั้น ได้กล่าวตามที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสแล้ว ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคำอันไม่เป็นจริง กล่าว
อ้างเหตุสมควรแก่เหตุ เพราะถ้อยคำที่สมควรพูดบางอย่างที่มีเหตุผล จะไม่มา
ถึงฐานะที่วิญญูชนจะพึงติเตียนบ้างหรือ เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะ
กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าเลย พระพุทธเจ้าข้า.
พระพุทธดำรัสตอบ
[๗๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขา
กล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ แสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และ
แนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม กล่าวการ
ทำแสดงธรรมเพื่อการทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เรากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวความ
ชาดสูญ แสดงธรรมเพื่อความขาดสูญ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก.
มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมช่างรังเกียจ
แสดงธรรมเพื่อความรังเกียจ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.

126
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 127 (เล่ม 7)

มีจริงอยู่ สีหะ เหตุที่เขตกล่าวหาเราว่า พระสมณโคเมช่างกำจัด
แสดงธรรมเพื่อความกำจัด และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
มีจริงอยู่ สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคตมช่างเผาผลาญ
แสดงธรรมเพื่อความเผาผลาญ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่า
กล่าวถูก.
มีจริงอยู่ สีหะ เหตุที่เขากล่าหาเราว่า พระสมณโคดมไม่ผุดเกิด
แสดงธรรมเพื่อความไม่ผุดเกิด และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่า
กล่าวถูก.
มีอยู่จริง สีหะ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม กล่าวเป็น
ผู้เบาใจ แสดงธรรมเพื่อความเบาใจ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้
ชื่อว่ากล่าวถูก.
ดูก่อนสีหะ ก็เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ
แสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก
นั้นเป็นอย่างไร ดูก่อนสีหะ เพราะเรากล่าวการไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต เรากล่าวการไม่ทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขา
กล่าวหาเราว่าพระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ แสดงธรรมเพื่อการไม่ทำ และ
แนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก.
ดูก่อนสีหะ อนึ่ง เหตุที่กล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการทำ
แสดงธรรมเพื่อการทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกนั้น
เป็นอย่างไร ดูก่อนสีหะ เพราะเรากล่าวการทำกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
เรากล่าวการทำสิ่งที่เป็นกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระ
สมณโคดมกล่าวการทำ แสดงธรรมเพื่อการทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น
ดังนี้ชื่อว่ากล่าวถูก.

127