หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 504 (เล่ม 6)

ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ในบริษัทที่อุภโตพยัญชนกนั่งอยู่ด้วย รูปใด
สวดต้องอาบัติทุกกฏ.
[๒๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงทำอุโบสถ ด้วยการให้ปาริสุทธิ
ค้างคราว เว้นแต่บริษัทยังไม่ลุกไป.
[๒๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ไม่พึงทำอุโบสถ ในกาลมิใช่
วันอุโบสถ เว้นแต่วันสังฆสามัคดี.
อุโบสถขันธกะ จบ ภาณวารที่ ๓ จบ
เรื่องในขันกะนี้มี ๘๖ เรื่อง
หัวข้อประจำขันธกะ
[๒๐๔] ๑. เรื่องพวกเดียรถีย์ ๒. เรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ๓. เรื่อง
ประชุมกันนั่งนิ่ง ๔. เรื่องประชุมกล่าวธรรม ๕. เรื่องประทับในที่สงัด
๖. เรื่องสวดปาติโมกข์ครั้งนั้นทุกวัน ๗. เรื่องทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์
ปักษ์ละครั้ง ๘. เรื่องสวดปาติโมกข์ในบริษัทเท่าที่มีอยู่ ๙. เรื่องสวดปาติ-
โมกข์แก่ภิกษุผู้พร้อมเพรียงกัน ๑๐. เรื่องทรงอนุญาตสามัคคี ๑๑. เรื่อง
มัททกุจฉิมฤคทายวัน ๑๒. เรื่องสมมติสีมา ๑๓. เรื่องสมมติสีมาใหญ่เกิน
ขนาด ๑๔. เรื่องสมมติทีปารสีมา ๑๕. เรื่องสวดปาติโมกข์ที่อนุบริเวณ
๑๖. เรื่องสมมติโรงอุโบสถ ๒ โรง ๑๗. เรื่องสมมติโรงอุโบสถเล็กเกินขนาด
๑๘. เรื่องพวกนวกะภิกษุ ๑๙. เรื่องพระนครราชคฤห์ ๒๐. เรื่องสมมติสีมา
ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร ๒๑. เรื่องสมมติสมานสังวาสสีมาก่อน
๒๒. เรื่องถอนสมานสังวาสสีมาทีหลัง ๒๓. เรื่องคามสีมาที่ไม่ได้สมมติ

504
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 505 (เล่ม 6)

๒๔. เรี่องอุทกุกเขปในแม่น้ำ ๒๕. เรื่องอุทกุกเขปในสมุทร ๒๖. เรื่อง
อุทกุกเขปในชาตสระ ๒๗. เรื่องสีมาคาบเกี่ยว ๒๘. เรื่องสมมติสีมาทับสีมา
๒๙. เรื่องวันอุโบสถมีเท่าไร ๓๐. เรื่องอาการที่ทำอุโบสถมีเท่าไร ๓๑. เรื่อง
ปาติโมกขุทเทสมีเท่าไร ๓๒. เรื่องคนชาวดงมาพลุกพล่าน ๓๓. เรื่องไม่มี
อันตราย ๓๔. เรื่องแสดงธรรม ๓๕. เรื่องถามวินัย ๓๖. เรื่องกล่าวคุก-
คาม ๓๗. เรื่องวิสัชนาวินัย ๓๘. เรื่องกล่าวคุกคามอีกเรื่องหนึ่ง ๓๙. เรื่อง
โจทด้วยอาบัติ ๔๐. เรื่องทำโอกาส ๔๑. เรื่องค้านกรรมที่ไม่เป็นธรรม
๔๒. เรื่องภิกษุ ๔-๕ รูปทำความเห็นแย้ง ๔๓. เรื่องแกล้งสวดปาติโมกข์ไม่
ให้ได้ยิน ๔๔. เรื่องทรงอนุญาตให้พยายามสวด ๔๕. เรื่องสวดปาติโมกข์
ในบริษัทที่มีคฤหัสถ์ปนอยู่ด้วย ๔๖. เรื่องไม่ได้รับ อาราธนาสวดปาติโมกข์
๔๗. เรื่องภิกษุไม่รู้ในโจทนาวัตถุนคร ๔๘. เรื่องภิกษุมากรูปด้วยกันไม่รู้
จักอุโบสถเป็นต้น ๔๙. เรื่องส่งไปพอจะกลับนาทันในวันนั้น ๕๐. เรื่องไม่
ยอมไป ๕๑. เรื่องดิถีที่เท่าไรแห่งปักษ์ ๕๒. เรื่องภิกษุมีเท่าไร ๕๓. เรื่อง
ไปบิณฑบาตบ้านไกลทรงอนุญาตให้บอก ๕๔. เรื่องระลึกไม่ได้ ๕๕. เรื่อง
โรงอุโบสถรก ๕๖. เรื่องอาสนะและประทีป ๕๗. เรื่องภิกษุไปสู่ทิศ
๕๘. เรื่องภิกษุรูปอื่นเป็นพหูสูต ๕๙. เรื่องส่งภิกษุไปพอจะกลับมาทันใน
วันนั้น ๖๐. เรื่องจำพรรษา ๖๑. เรื่องทำอุโบสถ ๖๒. เรื่องให้ปาริสุทธิ
๖๓. เรื่องทำกรรม ๖๔. เรื่องพวกญาติ ๖๕. เรื่องภิกษุชื่อคัคคะ. ๖๖. เรื่อง
ภิกษุ ๕ รูป ๓ รูป ๒ รูป และรูปเดียว ๖๗. เรื่องต้องอาบัติ ๖๘. เรื่อง
แสดงสภาคาบัติ ๖๙ . เรื่องภิกษุรูป ๑ ระลึกอาบัติได้ ๗๐. เรื่องสงฆ์ทั้งหมด
ต้องสภาคาบัติและสงสัย ๗๑. เรื่องไม่รู้ชื่อและโคตรอาบัติ ๗๒. เรื่องภิกษุ
พหูสูต ๗๓. เรื่องภิกษุมามากกว่า มาเท่ากัน และมาน้อยกว่า ๗๔. เรื่อง

505
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 506 (เล่ม 6)

บริษัทยังไม่ทันลุกไปและบางพวกลุกไปแล้ว ๗๕. เรื่องบริษัทลุกไปหมดแล้ว
๗๖. เรื่องภิกษุรู้ ๗๗. เรื่องภิกษุสงสัย ๗๘. เรื่องภิกษุฝืนใจทำด้วยเข้าใจ
ว่าควร ๗๙. เรื่องภิกษุรู้ ได้เห็นและได้ยิน ๘๐. เรื่องภิกษุอาคันตุกะกับ
ภิกษุเจ้าถิ่น ๘๑. เรื่องวันจาตุททสี วันปัณณรสี ๘๒. เรื่องวันปาฏิบทกับ
วันปัณณรสี ๘๓. เรื่องลิงค์ ๘๔. เรื่องสังวาส ๘๕. เรื่องให้ปาริสุทธิค้าง
คราว ๘๖. เรื่องทำอุโบสถในกาลมิใช่วันอุโบสถ นอกจากวันสังฆสามัคคี
อุทานที่จำแนกแล้วเหล่านี้ เป็นหัวข้อบอกเรื่อง.
หัวข้อประจำขันธกะ จบ
อรรถกถาในวัคคาสมัคคสัญญิโนปัณณรสกาทิกถา
วินิจฉัยในวัคคาสมัคคสัญญิโนปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้:-
ข้อว่า เต ชานนฺติ มีความว่า พวกภิกษุผู้เจ้าถิ่น สถิตอยู่บนภูเขา
หรือบนบก เห็นภิกษุเหล่าอื่นล่วงล้ำสีมาเข้ามาแล้ว หรือกำลังล่วงล้ำเข้ามา
แค่พวกเธอผู้มีความสำคัญว่า พร้อมเพรียงเพราะไม่รู้ หรือเพราะสำคัญว่า จัก
เป็นผู้มากันแล้ว เวมติกปัณณรสกะ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
วินิจฉัยในกุกกุจจปกตปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้.
บุคคลผู้ถูกความอยากครอบงำแล้ว ท่านกล่าวว่า ผู้อันความอยากตรึง
ไว้แล้ว ฉันใด ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น แม้ทำความสันนิษฐานในชั้นต้นแล้ว
ยังถูกความรังเกียจกล่าวคือ ความเป็นผู้มีความสำคัญในการไม่ควรว่าเป็นการ
ควร ครอบงำ โนขณะกระทำพึงทราบว่า ผู้อันความรังเกียจตรึงไว้แล้ว ฉัน
นั้น.

506
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 507 (เล่ม 6)

ในเภทปุเรกขารปัณณรสกะ ท่านปรับถุลลัจจัย เพราะเหตุที่อกุศลจิต
แรงกล้า.
ใน อาวาสิเกนะ อาคันตุกเปยยาละ พึงทราบคำเป็นต้นว่า เต น
ชานนุติ อตฺถญฺเญ อาคนฺตุกา เหมือนคำที่ได้กล่าวแล้วใน อาวาสิเกนะ
อาวาสิกเปยยาละ อันมีมาก่อนว่า เต น ชานนฺติ อตฺถญฺเญ อาวาสิกา
เป็นอาทิ.
ส่วนใน อาคันตุเกนะ อาวาสิกเปยยาละ พึงเติมคำว่า อาคนฺตุกา
ภิกฺขู สนฺนิปตนฺติ เหมือนคำที่มาใน ปุริมเปยยาละ ว่า อาวาสิกา ภิกฺขู
สนฺนิปตนฺติ แต่ใน อาคันตุเกนะ อาคันตุกเปยยาละ พึงประกอบด้วย
อำนาจภิกษุอาคันตุกะ ในบททั้ง ๒ ฉะนี้แล.
วินิจฉัย ในข้อว่า อาวาสิกานํ ภิกฺขูนํ จาตุทฺทโส โหติ,
อาคนฺตุกานํ ปณฺณรโส นี้ พึงทราบดังนี้:-
อุโบสถของอาคันตุกะเหล่าใด เป็นวัน ๑๕ ค่ำ พึงทราบว่า อาคัน-
ตุกะเหล่านั้น มาแล้วจากนอกแว่นแคว้น หรือได้ทำอุโบสถที่ล่วงไปแล้วเป็น-
วัน ๑๔ ค่ำ.
ข้อว่า อาวาสิกานํ อนุวตฺติตพฺพํ มีความว่า เมื่อพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่น
ทำบุพกิจอยู่ว่า อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส อุโบสถวันนี้ ๑๔ ค่ำ พวกภิกษุ
อาคันตุกะพึงคล้อยตาม คือ ไม่พึงคัดค้าน.
ข้อว่า นากามา ทาตพฺพา มีความว่า สามัคคี อันพวกภิกษุผู้
เจ้าถิ่น ไม่พึงให้แก่พวกภิกษุอาคันตุกะ ด้วยความไม่เต็มใจ.
บทว่า อาวาสิกาการํ ได้แก่ อาการ อธิบายว่า อาจาระของภิกษุ
ผู้เจ้าถิ่น. ในบททั้งปวงก็นัยนี้.

507
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 508 (เล่ม 6)

สภาพเป็นเครื่องจับอาจารสัณาน ของภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า
ภิกษุเหล่านี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรหรือไม่ ? ชื่อว่า อาการ.
ธรรมชาติซึ่งส่อ๑ ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้น ผู้เร้นอยู่ในที่นั้น ๆ อธิบาย
ว่า ซึ่งให้รู้ได้ แม้มองไม่เห็น. ชื่อว่า ลิงค์.
ธรรมชาติเป็นที่เห็นแล้วรู้ซึ่งภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า มี ชื่อว่า นิมิต.
สภาพเป็นเครื่องใช้ ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า เป็นผู้มีบริขารเช่นนี้
อธิบายว่า เป็นเหตุได้ข้ออ้างเช่นนั้น ชื่อว่า อุทเทส.
คำว่าอาการนั้นเป็นต้นทั้งหมด เป็นชื่อของเสนาสนบริขารต่าง ๆ มี
เตียงและตั่งที่จัดตั้งไว้เป็นอันดีเป็นต้น และเป็นชื่อของเสียงฝีเท้าเป็นต้น ก็แล
คำว่า อาการเป็นต้นนั้น พึงประกอบตามที่ควรประกอบ แม้ในอาการของภิกษุ
อาคันตุกะเป็นต้น ก็นัยนี้แล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญาตกํ ได้แก่ เป็นของ ๆ ภิกกํ
เหล่าอื่น.
สามบทว่า ปาทานํ โธตํ อุทกนิสฺเสกํ ได้แก่ สถานที่รดน้ำแห่ง
เท้าทั้งหลายที่ล้างแล้ว. เอกพจน์ในบทว่า โธตํ พึงทราบในอรรถแห่งพหูพจน์.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า ปาทานํ โธตอุทกนิสฺเสกํ. ความว่า สถาน
เป็นที่รดน้ำสำหรับล้างเท้าทั้งหลาย.
วินิจฉัยในนานาสังวาสกาทิวัตถุ พึงทราบดังนั้น:-
บทว่า สมานสํวาสกทิฎฺฐึ ได้แก่ ความเห็นว่า ภิกษุผู้เจ้าถิ่น
เหล่านั้น มีสังวาสเสมอกัน.
บทว่า น ปุจฺฉนฺติ ได้แก่ ไม่ถามถึงลัทธิของภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้น
คือ ไม่ถามก่อน ทำวัตรและวัตรอาศัย คือวัตรใหญ่น้อยแล้ว ทำอุโบสถร่วมกัน.
๑. ฎีกาและโยชนา แก้ คมยติ ว่า โพเธติ โดยนัยนี้ก็แปลว่า ธรรมชาติซึ่งให้รู้. . .

508
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 509 (เล่ม 6)

บทว่า นาภิวิตรนฺติ ได้แก่ ไม่สามารถจะย่ำยี คือ ปราบปรามข้อที่
เป็นนานาสังวาสกันได้ อธิบายว่า ให้ภิกษุผู้เข้าถิ่นเหล่านั้นสละทิฏฐินั้นไม่ได้.
ข้อว่า สภิกฺขุกา อาวาสา มีความว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ทำอุโบสถ
มีอยู่ในอาวาสใด ภิกษุไม่อาจ ออกจากอาวาสนั้นไปสู่อาวาสใดในวันนั้นเที่ยว
อาวาสนั้น ยังไม่ได้ทำอุโบสถ ไม่ควรไป.
สองบทว่า อญฺญตฺร สงฺเฆน ได้แก่ เว้นจากภิกษุทั้งหลายซึ่ง
ครบจำนวนเป็นสงฆ์.
สองบทว่า อญฺญตฺร อนฺตรายา ได้แก่ เว้นอันตราย ๑๐ อย่าง
ที่กล่าวแล้วในหนหลังเสีย. แต่ว่า เมื่อมีอันตราย ก็ควรจะไปกับสงฆ์. มีตน
เป็นที่ ๔ หรือมีตนเป็นที่ ๕ โดยกำหนดอย่างต่ำที่สุด.
ประเทศแห่งใดแห่งหนึ่ง มีศาลานวกรรมเป็นต้น ชื่ออนาวาส. เหมือน
อย่างว่า อาวาสเป็นต้นภิกษุไม่ควรไป ฉันใด ถ้าภิกษุทั้งหลายทำอุโบสถกัน
ในวัด สีมาก็ดี แม่น้ำก็ดี อันภิกษุไม่ควรไปเพื่ออธิษฐานอุโบสถ ก็ฉะนั้น
แต่ถ้ามีภิกษุบางรูปอยู่ที่สีมาและแม่น้ำนี้ไซร้ จะไปสู่สำนักภิกษุนั้น ควรอยู่.
จะไปเสียจากอาวาส แม้ที่เลิกอุโบสถเสียแล้ว ควรอยู่. ภิกษุผู้ใดไปแล้วอย่าง
นั้น ย่อมได้แม้เพื่ออธิษฐาน อันภิกษุแม้ผู้อยู่ป่า ในวันอุโบสถ เที่ยวบิณฑ-
บาตในบ้านแล้ว ต้องกลับไปวัดของตนเท่านั้น. ถ้าเข้าไปสู่วัดอื่น ต้องทำ
อุโบสถในวัดนั้นก่อน จึงค่อยไป ไม่ทำก่อนแล้วไปเสีย ไม่ควร.
ข้อว่า ยํ ชญฺญา สกฺโกมิ อชฺเชว คนฺตุํ มีความว่า ภิกษุพึง
ทราบซึ่งอาวาสใดว่า เราสามารถไปที่นั่นได้ในวันนี้ทีเดียว อาวาสเห็นปานนั้น
ควรไป. จริงอยู่ ภิกษุนี้แม้ทำอุโบสถกับภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้น จักเป็นผู้
ไม่ทำอันตรายแก่อุโบสถเลยทีเดียว ฉะนี้แล.

509
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 510 (เล่ม 6)

การเข้าสู่หัตถบาสเท่านั้น เป็นประมาณ ในข้อว่า ภิกฺขุนิยา นิสินฺน-
ปริสาย เป็นอาทิ.
ข้อว่า อญฺญตฺร อวุฏฺฐิตาย ปริสาย มีความว่า จริงอยู่ ขึ้นชื่อ
ว่า การให้ปาริวาสิยปาริสุทธิ ปาริสุทธิที่แรมวัน นี้ย่อมไม่ควร จำเดิมแค่
การที่บริษัทลุกออกไป แต่เมื่อบริษัทยังไม่ลุกออกไป ย่อมควร เพราะเหตุ
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เว้นแค่บริษัทยังไม่ลุกออกไป. ลักษณะ
แห่งปาริวาสิยปาริสุทธินั้น พึงถือเอาจากวรรณนาแห่งปาริวาสิยฉันททานสิก-
ขาบทในภิกขุนีวิภังค์.๑
วันที่ไม่ใช่วันอุโบสถนั้น ได้แก่วันอื่น นอกจากวันอุโบสถ ๒ วัน
นี้ คือ วันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ ๑ วันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ๑
ข้อว่า อญฺญตฺร สงฺฆสามคฺคียา มีความว่า เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว
สังฆสามัคดีอันใด อันสงฆ์กลับทำได้อีก เหมือนสังฆสามัคคีของภิกษุชาว
โกสัมพี เว้นสังฆสามัคดีเห็นปานนั้น เสีย. ก็แลโนกาลนั้น สงฆ์พึงทำอุโบสถ
สวดว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ อชฺชุโปสโถ สามคฺคี.
อนึ่ง ภิกษุเหล่าใด เมื่อมีภิกษุผู้ทำการทะเลาะวิวาทกันเล็กน้อยไม่สู้
สำคัญ จึงงดอุโบสถไว้แล้ว กลับเป็นผู้พร้อมเพรียงกันอีก อันภิกษุเหล่านั้น
ต้องทำอุโบสถแท้ ฉะนี้แล.
อรรถกถาในวัคคสมัคคสัญญิโนปัณณรสกาทิกถา จบ
อุโบสถกขันธกวรรณนา จบ
๑. สมนฺต. ทุติย.

510
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 511 (เล่ม 6)

วัสสูปนายิกขันธกะ
เรื่องภิกษุหลายรูป
[๒๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระ
เวพุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรงบัญญัติการจำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน คนทั้งหลาย
จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึง
ได้เทียวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอัน
เขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่าง ๑ ซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็ก ๆ จำนวนมากให้
ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเป็นผู้กล่าวธรรมอัน
ต่ำทราม ยังพัก ยังอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน อนึ่ง ฝูงนกเหล่านี้เล่า ก็ยัง
ทำรังบนยอดไม้ และพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน ส่วนพระสมณะเชื้อสาย
ศากยบุตรเหล่านั้น เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบ
ย่าติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียน อินทรีย์อย่าง ๑ ซึ่งชีวะ ยังสัตว์เล็ก ๆ
จำนวนมากให้ถึงความวอดวาย ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนา จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูล
นั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง-
หลาย เราอนุญาต ให้จำพรรษา.

511
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 512 (เล่ม 6)

การจำพรรษา ๒ อย่าง
[๒๐๖] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า พวกเราพึงจำพรรษาเมื่อไร
หนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในฤดูฝน.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายติดกันว่า วันเข้าพรรษามีกี่วันหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
วันเข้าพรรษานี้มี ๒ คือ ปุริมิกา วันเข้าพรรษาต้น ๑ ปัจฉิมิกา วันเข้า
พรรษาหลัง เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววัน ๑ พึง
เข้าพรรษาต้น ๑ เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้วเดือน ๑
พึงเข้าพรรษาหลัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วันเข้าพรรษามี ๒ วันเท่านี้แล.
พระฉัพพัคคีย์เที่ยวจาริทุกเวลา
[๒๐๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพักคีย์จำพรรษาแล้ว ยังเที่ยวจาริก
ในระหว่างพรรษา คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาเช่นนั้นแหละ
ว่าไฉน พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร จึงได้เที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว
ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่าง
หนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็ก ๆ มีจำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกอัญญ
เดียรถีย์เหล่านี้เป็นผู้กล่าวธรรมอันค่ำทราม ยังพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน
อนึ่ง ฝูงนกเหล่านั้นเล่า ก็ยังทำรังบนยอดไม้แล้วพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน
ส่วนพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหล่านั้น เที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน
และฤดูฝนเหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ
ยังสัตว์เล็ก ๆ ซึ่งมีจำนวนมากให้ถึงความวอดวาย ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวก
นั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา บรรดาที่เป็นผู้มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน

512
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 513 (เล่ม 6)

โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จำพรรษาแล้ว จึงได้เที่ยวจาริกในระหว่าง
พรรษาเล่า จึงภิกษุเหล่านั้น กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมมีกถาในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับส่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจำพรรษา ไม่อยู่ให้ตลอด ๓ เดือนต้น หรือ ๓ เดือนหลัง
ไม่พึงหลีกไปสู่จาริก รูปใดหลีกไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระฉัพพัคคีย์ไม่จำพรรษา
[๒๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ประสงค์จะจำพรรษา
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับ
สั่งห้ามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจะไม่จำพรรษาไม่ได้ รูปใดไม่จำพรรษา
ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ ไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวัน เข้าพรรษา
แกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับส่งห้ามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่
ประสงค์จะจำพรรษาในวันเช้าพรรษา ไม่พึงแกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย รูปใด
ล่วงเลยไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
เลื่อนกาลฝน
[๒๐๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราช
มีพระราชประสงค์จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไป จึงทรงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้ง
หลายว่า ถ้ากระไร ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงจำพรรษาในชุณหปักษ์อันจะมา
ถึง ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
รับสั่งว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน.

513