No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 394 (เล่ม 6)

เป็นอาทิ เป็นแม่น้ำที่จะพึงสัญจรไปได้ด้วยเรือเป็นต้น จะทำลำรางนั้น คือ
ที่กลายเป็นแม่น้ำแล้ว ให้เป็นนิมิตสมควรอยู่.
วินิจฉัยในอุทกนิมิตร:-
ในที่ซึ่งไม่มีน้ำ จะตักน้ำใส่ให้เต็มในเรือก็ดี ในหม้อก็ดี ในภาชนะ
มีอ่างเป็นต้นก็ดี แล้วกำหนดให้เป็นอุทกนิมิต ไม่ควร. น้ำที่ถึงแผ่นดินเท่านั้น
จึงใช้ได้. ก็น้ำถึงแผ่นดินนั่นแล เป็นน้ำไม่ไหล ขังอยู่ในที่ทั้งหลายมีบ่อ สระ
เกิดเอง และทะเลสาปเป็นต้น. ส่วนน้ำในแม่น้ำลึกและคลองไขน้ำเป็นต้นซึ่ง
ไหลใช้ไม่ได้. แต่ในอันธกอรรถกถาแก้ว่า น้ำที่ต้องโพงขึ้น ในชลาลัยทั้ง
หลายมีบ่อเป็นต้น ซึ่งลึก ไม่ควรทำเป็นนิมิต. คำนั้นท่านกล่าวไม่ชอบ เป็น
แต่เพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น. อันน้ำที่ขังอยู่ โดยที่สุด แม้ในแอ่งที่สุกร
ขุดไว้ก็ดี ในหลุมสำหรับเล่นของเด็กชาวบ้านก็ดี น้ำที่เขาขุดหลุมในแผ่นดิน
แล้วเอาหม้อตักมาใส่ให้เต็มในขณะนั้นก็ดี ถ้าขังอยู่จนถึงสวดกรรมวาจาจบได้
จะน้อยหรือมากก็ตามที ย่อมใช้ได้. และควรทำกองศิลาและกองทรายเป็นต้น
หรือเสาศิลาหรือเสาไม้ไว้ในที่นั้น เพื่อทำความหมายนิมิต ภิกษุจะทำเองหรือ
ใช้ผู้อื่นให้ทำกองศิลาเป็นต้นนั้นก็ควร. แต่ในลาภสีมา ไม่ควรทำ. ส่วน
สมานสังวาสกสีมา ย่อมไม่ทำความเบียดเบียนใคร ๆ ย่อมให้สำเร็จ เฉพาะ
วินัยกรรมของภิกษุทั้งหลายอย่างเดียว: เพราะฉะนั้น ในสมานสังวาสกสีมานี้
จึงควรทำเอง หรือให้ผู้อื่นทำกองศิลาเป็นต้นได้.
อรรถกถานิมิตวินิจฉัย จบ

394
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 395 (เล่ม 6)

สมมติสีมาและนิมิตแห่งสีมา
[๑๕๔] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบัญญัติว่า ความพร้อมเพรียงมีเพียงชั่วอาวาสเดียวเท่านั้นแล้วได้มีความ
ปริวิตกต่อไปว่า อาวาสหนึ่งกำหนดเพียงเท่าไร จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติสีมา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงสมมติสีมาอย่างนี้:-
วิธีสมมติสีมา
ชั้นต้นพึ่งทักนิมิต คือ ปัพพตนิมิต ปาสาณนิมิต วนนิมิต รุกขนิมิต
มัคคนิมิต วัมมิกนิมิต นทีนิมิต อุทกนิมิต ครั้นทักนิมิตแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด
ผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติสีมา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นิมิตระบุไว้ โดยรอบ
แล้วเพียงไร ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติสีมา
ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ด้วยนิมิตเหล่านั้น นี้เป็น
ญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นิมิตระบุไว้โดยรอบ
แล้วเพียงไร สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้ซึ่งสีมา ให้มีสังวาสเสมอกัน
มีอุโบสถเดียวกัน ด้วยนิมิตเหล่านั้น การสมมติสีมาให้มีสังวาส

395
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 396 (เล่ม 6)

เสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ด้วยนิมิตเหล่านั้น ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
สีมาอันสงฆ์สมมติให้มีสังวาสเสมอกัน มึอุโบสถเดียวกัน
แล้ว ด้วยนิมิตเหล่านั้น ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรง
ความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
เรื่องสมมติสีมาใหญ่เกินขนาด
[๑๕๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคดีย์คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอนุญาตการสมมติสีมาแล้ว จึงสมมติสีมาใหญ่เกินถึง ๔ โยชน์บ้าง ๕ โยชน์
บ้าง ๖ โยชน์บ้าง ภิกษุทั้งหลายจะมาทำอุโบสถ ย่อมมาถึงต่อเมื่อกำลังสวด
ปาติโมกข์บ้าง มาถึงต่อเมื่อสวดจบบ้าง แรมคืนอยู่ในระหว่างทางบ้าง จึงพา
กันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมมติสีมาใหญ่เกินถึง ๔ โยชน์
หรือ ๖ โยชน์ รูปใดสมมติ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติสีมามีประมาณ ๓ โยชน์
เป็นอย่างยิ่ง.
เรื่องสมมติสีมาคร่อมแม่น้ำ
[๑๕๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สมมติสีมาคร่อมแม่น้ำ ภิกษุ
ทั้งหลายจะมาทำอุโบสถ ถูกน้ำพัดไปก็มี บาตรถูกน้ำพัดไปก็มี จีวรถูกน้ำพัด
ไปก็มี จึงพากันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้สีพระภาคเจ้า
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมมติสีมาคร่อม
แม่น้ำ รูปใดสมมติ ต้องอาบัติทุกกฏ.

396
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 397 (เล่ม 6)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติสีมาคร่อมแม่น้ำที่มีเรือจอด
ประจำหรือมีสะพานถาวร.
เรื่องสมมติโรงอุโบสถ
[๑๕๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายสวดปาติโมกข์ตามบริเวณ
วิหารโดยมิได้กำหนดที่ พระอาคันตุกะทั้งหลายไม่รู้ว่า วันนี้พระสงฆ์จักทำ
อุโบสถที่ไหน จึงพากันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์
ตามบริเวณวิหารโดยมิได้กำหนดที่ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติวิหาร เรือนมุงแถบเดียว
เรือนชั้น เรือนโล้น หรือถ้า ที่สงฆ์จำนงให้เป็นโรงอุโบสถแล้วทำอุโบสถ.
เรื่องสมมติโรงอุโบสถ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงสมมติโรงอุโบสถอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรม
วาจาว่า ดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติโรงอุโบสถ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติวิหารมีชื่อนี้ ให้เป็นโรงอุโบสถ นี้เป็น
ญัตติ.

397
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 398 (เล่ม 6)

ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติอยู่บัดนิ้ ซึ่ง
วิหารมีชื่อนี้ ให้เป็นโรงอุโบสถ การสมมติวิหารมีชื่อนี้ให้เป็นโรง-
อุโบสถชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงพูด.
วิหารมีชื่อนี้อันสงฆ์สมมติให้เป็นโรงอุโบสถแล้ว ชอบแก่
สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
กรรมวาจาสมมติโรงอุโบสถ จบ
เรื่องสมมติโรงอุโบสถ ๒ แห่งในอาวาสเดียวกัน
[๑๕๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง สงฆ์สมมติโรงอุโบสถ
๒ แห่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงอุโบสถทั้ง ๒ ด้วยตั้งใจว่า สงฆ์จักทำ
อุโบสถที่นี้ สงฆ์จักทำอุโบสถ ณ ที่นี้ จึงพากันกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลายในอาวาสแห่งหนึ่ง สงฆ์ไม่พึงสมมติโรงอุโบสถ ๒ แห่ง รูปใดสมมติ
ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถอนโรงอุโบสถแห่งหนึ่งแล้วทำ
อุโบสถในโรงอุโบสถแห่งหนึ่ง.
วิธีถอนโรงอุโบสถ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงถอนโรงอุโบสถอย่างนี้.
ภิกษุแม้ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรม
วาจา ว่าดังนี้:-

398
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 399 (เล่ม 6)

กรรมวาจาถอนโรงอุโบสถ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงถอนโรงอุโบสถมีชื่อนี้ นั้นเป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์ถอนอยู่บัดนี้ ซึ่ง
โรงอุโบสถมีซึ่งนี้ การถอนโรงอุโบสถมีชื่อนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
โรงอุโบสถมีชื่อนี้อันสงฆ์ถอนแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้น
จึงนิ่งข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
สมมติโรงอุโบสถเล็กเกินขนาด
[๑๕๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง สงฆ์สมมติโรงอุโบสถ
เล็กเกินขนาด ถึงวันอุโบสถภิกษุสงฆ์ลงประชุมกันมาก ภิกษุทั้งหลายต้องนั่ง
ฟังปาติโมกข์ในพื้นที่ซึ่งมิได้สมมติ จึงภิกษุเหล่านั้นได้หารือกันว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า พึงสมมติโรงอุโบสถแล้ว จึงทำอุโบสถ ดังนี้
ก็พวกเรานั่งฟังปาติโมกข์ในพื้นที่ซึ่งมิได้สมมติ อุโบสถเป็นอันพวกเราทำแล้ว
หรือไม่เป็นอันทำหนอ จึงพากันกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระ
ผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั่งในพื้นที่
ซึ่งสมมติแล้วก็ตาม มิได้สมมติก็ตาม เพราะได้ฟังปาติโมกข์ ฉะนั้นอุโบสถ
ย่อมเป็นอันเธอได้ทำแล้วเหมือนกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล
สงฆ์จงสมมติพื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถให้ใหญ่เท่าที่จำนง.

399
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 400 (เล่ม 6)

วิธีสมมติพื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถ
ดูก่อนภิกษุทั้งพลาย ก็แล พึงสมมติพื้นที่ค้านหน้าโรงอุโบสถอย่างนี้
พึงทักนิมิตก่อน ครั้นทักนิมิตแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สารารถ พึง
ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติพื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นิมิตระบุไว้แล้ว โดย
รอบเพียงไร ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติ
พื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถ ด้วยนิมิตเหล่านั้น นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นิมิตระบุไว้แล้วโดยรอบ
เพียงไร สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้ ซึ่งพื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถ ด้วย
นิมิตเหล่านั้น การสมมติพื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถด้วยนิมิตเหล่านั้น
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด.
พื้นที่ด้านหน้าโรงอุโบสถอันสงฆ์สมมติแล้ว ด้วยนิมิตเหล่า
นั้น ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่าง
นี้.
พระเถระลงประชุมก่อน
[๑๖๐] ก็โดยสมัยนั่นแล ในวันอุโบสถ นวกะภิกษุทั้งหลายในอาวาส
แห่งหนึ่งประชุมกันก่อนแล้วหลีกไป ด้วยนึกว่าพระเถระทั้งหลายยังไม่มาก่อน
ต่อเวลาพลบค่ำจึงทำอุโบสถได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระ-

400
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 401 (เล่ม 6)

ภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน
วันอุโบสถ เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระทั้งหลายลงประชุมก่อน.
ภิกษุหลายวัดทำอุโบสถร่วมกัน
[๑๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล อาวาสในพระนครราชคฤห์หลายแห่ง มี
สีมาอันเดียวกัน ภิกษุทั้งหลายในอาวาสเหล่านั้น วิวาทกันว่า ขอสงฆ์จงทำ
อุโบสถในอาวาสของพวกเรา ขอสงฆ์จงทำอุโบสถในอาวาสของพวกเรา ภิกษุ
ทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอาวาสในพระนครราชคฤห์นี้ก็หลายแห่ง มี
สีมาอันเดียวกัน ภิกษุทั้งหลายในอาวาสเหล่านั้นวิวาทกันว่า ขอสงฆ์จงทำอุโบสถ
ในอาวาสของพวกเรา ขอสงฆ์จงทำอุโบสถในอาวาสของพวกเรา ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทุก ๆ รูปพึงประชุมทำอุโบสถแห่งเดียวกัน ก็หรือภิกษุ
ผู้เถระอยู่ในอาวาสใด พึงประชุมทำอุโบสถในอาวาสนั้น แต่สงฆ์เป็นวรรคไม่
พึงทำอุโบสถ รูปใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระมหากัสสปเถระเดินทางไปทำอุโบสถ
[๑๖๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมาจากอันธกวินทวิหาร
สู่พระนครราชคฤห์ เพื่อทำอุโบสถ ในระหว่างทางข้ามแม่น้ำ ได้ถูกน้ำพัด
ไปเล็กน้อย จีวรของท่านเปียก ภิกษุทั้งหลายได้ถามท่านพระมหากัสสปว่า
อาวุโส เพราะเหตุไร จีวรของท่านจึงเปียก ? ท่านตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผม
มาจากอันธกวินทวิหารสู่พระนครราชคฤห์ เพื่อทำอุโบสถ ณ ที่นี้ ได้ข้ามแม่น้ำ

401
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 402 (เล่ม 6)

ในระหว่างทาง ถูกน้ำพัดไปเล็กน้อย เพราะเหตุนั้น จีวรของผมจึงเปียก
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สีมานั้น ใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว
ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์จงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่
อยู่ปราศจากไตรจีวร.
วิธีสมมติติจีวราวิปปวาส
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงสมมติติจีวราวิปปวาสสีมาอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรม-
วาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติติจีวราวิปปวาส
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้
แล้วให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ถ้าความพร้อมพรั่งของ
สงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจาก
ไตรจีวร นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติ
ไว้แล้วให้มีสังวาสเสมอถัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้
ซึ่งสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร การสมมติสีมานี้
ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึง
เป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.

402
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 403 (เล่ม 6)

สีมานี้สงฆ์สมมติให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรแล้ว
ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต
การสมมติติจีวราวิปปวาสแล้ว จึงเก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน จีวรเหล่านั้นหาย
บ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง ภิกษุทั้งหลายมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้า-
หมอง.
ภิกษุทั้งหลายจึงถามกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เพราะเหตุไร พวก
ท่านจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมองเล่า ?
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกผมทราบว่า พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงอนุญาตการสมมติติจีวราวิปปวาสแล้ว จึงเก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน
ณ ตำบลนี้ จีวรเหล่านั้นหายเสียบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง เพราะ
เหตุนั้น พวกผมจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมอง.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติ
ไว้แล้วให้มีสังวาสเสมอกัน สงฆ์จงสมมติสีมานั้นให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจาก
ไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน.
วิธีสมมติติจีวราวิปปวาส
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงสมมติติจีวราวิปปวาสสีมาอย่างนี้.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรม-
วาจา ว่าดังนี้:-

403