No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 384 (เล่ม 6)

เรื่องพระฉัพพัคคีย์สวดปาติโมกข์
[๑๕๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สวดปาติโมกข์แก่บริษัทเท่า
ที่มีอยู่ คือเฉพาะบริษัทของตน ๆ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์แก่บริษัทเท่าที่มีอยู่ คือเฉพาะบริษัทของตน ๆ รูปใด
สวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตอุโบสถกรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้พร้อม
เพรียงกัน.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
บัญญัติอุโบสถกรรมแก่ภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ดังนี้ แล้วมีความดำริ
ต่อไปว่าความพร้อมเพรียงมีเพียงเท่าไรหนอแล มีเพียงอาวาสหนึ่ง หรือทั่ว
ทั้งแผ่นดินแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตความพร้อมเพรียง
เพียงชั่วอาวาสเดียวเท่านั้น.
เรื่องพระมหากัปปินเถระดำริจะไม่ทำอุโบสถ
[๑๕๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะพักอยู่ ณ มัททกุจ-
ฉิมฤคทายวัน เขตพระนครราชคฤห์ คราวหนึ่ง ท่านไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่
ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เราควรไปทำอุโบสถ หรือไม่ควร
ไป ควรไปทำสังฆกรรม หรือไม่ควรไป โดยที่แท้ เราเป็นผู้หมดจดแล้ว
ด้วยความหมดจดอย่างยิ่ง ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตก
แห่งจิตของท่านพระมหากัปปินะด้วยพระทัยของพระองค์ แล้วได้ทรงหายพระ-

384
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 385 (เล่ม 6)

องค์ไปในคิชฌกูฏบรรพมาปรากฏอยู่ตรงหน้าท่านพระมหากัปปินะ ณ มัททกุจ-
ฉิมฤคทายวัน เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู่ หรือคู่แขนที่เหยียด
ฉะนั้น แล้วพระองค์ประทับนั่งเหนือพุทธอาสนะที่เขาจัดถวาย ฝ่ายท่านพระ
มหากัปปินะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดำนี้กะท่านพระกัปปินะผู้นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่งว่า ดูก่อนกัปปินะ เธอไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตก
แห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เราควรไปทำอุโบสถ หรือไม่ควรไป ควรไปทำ
สังฆกรรม หรือไม่ควรไป โดยที่แท้ เราเป็นผู้หมดจดแล้วด้วยความหมดจด
อย่างยิ่ง ดังนี้มิใช่หรือ.
ท่านพระมหากัปปินะทูลรับว่า เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ทั้งหลาย ถ้าพวกเธอไม่
สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา ซึ่งอุโบสถ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าจัก
สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ซึ่งอุโบสถ ดูก่อนพราหมณ์ เธอจงไปทำ
อุโบสถ จะไม่ไปไม่ได้ จงไปทำสังฆกรรม จะไม่ไปไม่ได้.
ท่านพระมหากัปปินะรับสนองพระพุทธพจน์ว่า อย่างนั้น พระพุทธ-
เจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ท่านพระมหากัปปินะเห็น-
แจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วได้ทรงหายพระองค์ไปในที่
ตรงหน้าท่านพระมหากัปปินะ ณ มัททกุจฉิมฤดูทายวัน มาปรากฏ ณ คิชฌกูฏ-
บรรพต โดยรวดเร็ว เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่
เหยียดฉะนั้น.

385
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 386 (เล่ม 6)

อรรถกถาวินิจฉัยในอุโบสถขันธกะ
ในบทว่า อญฺญติตฺถิยา นี้ มีวิเคราะห์ว่า ลัทธิ ท่านเรียกให้ชื่อว่า
ติดถะ แปลว่าท่า ท่าอื่น ชื่ออัญญติตถะ, ท่าอื่นของชนเหล่านั้น มีอยู่เหตุนั้น
ชนเหล่านั้น จึงชื่อว่า อัญญเดียรถีย์ มีคำอธิบายว่า ผู้มีลัทธิอื่นจากลัทธิใน
ศาสนานี้.
สองบทว่า ธมฺมํ ภาสนฺติ มีความว่า ย่อมชี้แจงถึงสิ่งที่ควรทำและ
ไม่ควรทำของเหล่าอัญญเดียรถีย์นั้น.
สองบทว่า เต ลภนฺติ คือ มนุษย์เหล่านั้นย่อมได้.
บทว่า มูคสูกรา คือ เหมือน สุกรตัวอ้วน.
ในข้อว่า อนชฺฌาปนฺโน วา โหติ อาปชฺชิตฺวา วา วุฏฺโต
นี้ พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า ภิกษุไม่ต้องอาบัติใด หรือต้องแล้ว แต่ออก
แล้ว อาบัติ นี้ชื่อว่า อาบัติไม่มี.
ข้อว่า สมฺปชานมุสาวาโท กึ โหติ มีความว่า สัมปชานมุสาวาท
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สัมปชานมุสาวาทย่อมมีแก่ภิกษุนั้น นี้ว่าโดยอาบัติ
เป็นอาบัติอะไร ? คือ เป็นอาบัติชนิดไหน ?
ข้อว่า ทุกฺกฏํ โหติ คือเป็นอาบัติทุกกฏ. ก็อาบัติทุกกฏนั้นแล ผู้
ศึกษาอย่าพึงเข้าใจว่า เป็นอาบัติตามลักษณะแห่งมุสาวาท แต่ควรทราบว่า
เป็นอาบัติมีการไม่ทำในวจีทวารเป็นสมุฏฐาน ตามพระวาจาของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า อันที่จริงพระอุบาลีเถระก็ได้กล่าวว่า.
ภิกษุไม่บอกด้วยวาจากับมนุษย์ไร ๆ (ผู้อยู่ใกล้) และไม่เอิ้น
บอกกะชนเหล่าอื่น (ผู้อยู่ห่าง) แต่ต้องอาบัติมีวาจาเป็นสมุฏฐาน

386
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 387 (เล่ม 6)

หาต้องอาบัติมีกายเป็นสมุฏฐานไม่ ปัญหาข้อนี้ผู้ฉลาดทั้งหลายคิด
กันนัก.
บทว่า อนฺตรายิโก คือ ทำอันตราย.
ข้อว่า กิสฺส ผาสุ โหติ มีความว่า ความสำราญย่อมมีเพื่อประ-
โยชน์อะไร ?
ข้อว่า ปฐมสฺส ฌานสฺส อธิคมาย มีความว่า ความสำราญย่อม
มี คือ ความสุขย่อมมี แก่ภิกษุนั้น เพื่อประโยชน์แก่ความบรรลุปฐมฌาน.
นัยในคุณวิเศษทั้งปวง มีทุติยฌานเป็นต้น ก็เหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงปาติโมกขุทเทสครั้งแรก ทั้งอุทเทสทั้งนิทเทส ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า เทวสิกํ ได้แก่ ทุก ๆ วัน.
หลายบทว่า จาตุทฺทเส วา ปณฺณรเส วา มีความว่า ในวัน
จาตุททสี ๒ ครั้ง ในปักษ์ที่ ๓ และที่ ๗ แห่งฤดูอันหนึ่ง. ในวันปัณณรสี ๖
ครั้ง ในปักษ์ที่เหลือ จากนั้น อันนี้เป็นอรรถอันหนึ่งก่อน. และอรรถนี้
กล่าวด้วยมุ่งเอาจิตตามปกติ. แต่เมื่อปัจจัยเห็นปานนั้นมี ก็สมควรจะสวดในวัน
จาตุททสี หรือวันปัณณรสี วันใดวันหนึ่ง ก็ได้ ตามพระบาลีว่า สกึ ปกฺขสฺส
จาตุทฺทเส วา ปณฺณรเส วา. ก็เนื้อความนี้ บัณฑิตพึงทราบ แม้โดย
พระบาลีว่า อุโบสถของภิกษุทั้งหลายผู้เจ้าถิ่นเป็นวันจาตุททสี, อุโบสถของภิกษุ
ทั้งหลายผู้อาคันตุกะเป็นวันปัณณรสี, ถ้าภิกษุผู้เจ้าถิ่นมากกว่าภิกษุผู้อาคันตุกะ
ต้องคล้อยตามภิกษุผู้เจ้าถิ่น.๑
๑. มหาวคฺค. ปฐม ๒๖๑

387
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 388 (เล่ม 6)

อรรถกถาสีมากถา
ข้อว่า พึงกำหนดนิมิตก่อน นั้น มีความว่า พระวินัยธรพึงทักว่า
ในทิศบูรพา อะไรเป็นนิมิต ? เมื่อผู้ใดผู้หนึ่ง ตอบว่าภูเขา เจ้าข้า พระวินัยธร
พึงระบุอีกว่า ภูเขานั้น เป็นนิมิต. พึงกำหนดนิมิตก่อนอย่างนี้. แต่จะกำหนด
อย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจะทำภูเขานั่นเป็นนิมิต จักทำภูเขานั่นเป็นนิมิต ทำภู
เขานั่นเป็นนิมิตแล้ว ภูเขานั่นจงเป็นนิมิต เป็นนิมิตแล้ว จักเป็นนิมิติ๑ ดังนี้
ใช้ไม่ได้. แม้ในนิมิตทั้งหลายมีศิลาเป็นต้น มีนัยเหมือนกันก็พระวินัยธรทัก
นิมิตไปโดยลำดับอย่างนี้ว่า ในทิศน้อยแห่งทิศบูรพา ในทิศทักษิณ ในทิศน้อย
แห่งทิศทักษิณ ในทิศปัศจิมในทิศน้อยแห่งทิศปัศจิม ในทิศอุดร ในทิศน้อย
แห่งทิศอุดร อะไรเป็นนิมิต ? เมื่อผู้ใดผู้หนึ่ง ตอบว่า น้ำ เจ้าข้า เมื่อตน
ระบุว่า น้ำนั่นเป็นนิมิต แล้วอย่าหยุดในทิศนี้ พึงทักซ้ำอีกว่าในทิศบูรพา
อะไรเป็นนิมิต ? เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งตอบว่า ภูเขาเจ้าข้า พึงระบุว่า ภูเขานั่น
เป็นนิมิต. พึงกำหนดนิมิตที่ได้กำหนดไว้ที่แรกอย่างนี้แล้ว จึงค่อยหยุด. จริง
อยู่ ด้วยการกำหนดอย่างนี้นิมิตกับนิมิตจึงจัดว่าเชื่อมถึงกัน. ครั้นกำหนดนิมิต
อย่างนี้แล้ว ลำดับนั้น พึงสมมติสีมาด้วยกรรมวาจาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
เป็นลำดับไป. ในที่สุดแห่งกรรมวาจาพื้นที่ภายในนิมิตทั้งหลายย่อมเป็นสีมา
ตัวนิมิตทั้งหลายเป็นภายนอกสีมา. นิมิตทั้งหลายในสีมานั้น แม้กำหนดครั้ง
เดียว ก็เป็นอันกำหนดไว้ดีแล้วแท้. แต่ในอันธกอรรถกถา แก้ว่า เมื่อจะผูก
มณฑลสีมา ต้องกำหนดนิมิต ๓ ครั้ง. และอุปสัมบันก็ได้ อนุปสัมบันก็ไค้
จงตอบอย่างนี้ว่า ภูเขา เจ้าข้า ฯ ล ฯ น้ำเจ้าข้า ควรทั้งนั้น.
๑. โหหิติ ภวิสฺสติ ทั้ง ๒ คำนี้ คล้าย ๆ กับว่าใช้คำใดก็ได้ ท่านใช้ตามภาษาของท่าน
โดย
สะดวก ครั้นมาแปลเป็นภาษาไทยเข้าก็ลำบาก นอกจากจะแปลขอไปทีพอได้ความหรือมิ
ฉะนั้น
ก็ยกคำบาลีนั้นมาให้เห็นในคำแปลว่า . . . นิมิตฺตํ โหหิติ นิมิตฺตํ ภวิสฺสติ เพราะต่างก็
เป็น
กิริยาในความว่ามีว่าเป็น รูปอนาคตด้วยกัน.

388
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 389 (เล่ม 6)

อรรถกถานิมิตวินิจฉัย
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในนิมิตทั้งหลาย มีปัพพตนิมิตเป็นต้น อย่างนี้:-
ภูเขามี ๓ ชนิด คือ ภูเขาดินล้วน ๑ ภูเขาศิลาล้วน ภูเขาศิลาปน
ดิน ๑. ภูเขานั้น ใช้ได้ทั้ง ๓ ชนิด. แต่กองทรายใช้ไม่ได้ และตั้งแต่ขนาด
เท่าช้างถึงภูเขาสิเนรุ ก็ใช้ไม่ได้. ถ้ามีภูเขา ๔ เทือก ใน ๔ ทิศ หรือมี ๓
เทือก ใน ๓ ทิศ แม้จะสมมติสีมาด้วยปัพพตนิมิตทั้งนั้น ทั้ง ๔ หรือ ๓ ก็
ควร. แค่จะสมมติด้วยนิมิตเพียง ๒ หรือเพียง ๑ ไม่ควร.๑ แม้ในปาสาณนิมิต
เป็นต้นนอกจากนี้ก็มีนัยเหมือนกัน. เพราะเหตุนั้น เมื่อจะทำภูเขาให้เป็นนิมิต
ควรถามว่า เนื่องเป็นอันเดียวกัน. หรือไม่เนื่องเป็นอันเดียวกัน ถ้าเนื่องเป็น
อันเดียวกัน. ไม่ควรใช้. ด้วยว่า แม้กำหนดภูเขานั้น เป็นนิมิต ๔ ทิศ
หรือทั้ง ๔ ทิศ ย่อมเป็นอันกำหนดแล้วเพียงนิมิตเดียวเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น
ภูเขาที่ตั้งโอบรอบวัดที่อยู่โดยสัณฐานดังกงจักร อย่างนั้น ควรกำหนดในทิศ
เดียว ในทิศอื่น ๆ พึงกันภูเขานั้นไว้ภายนอก กำหนดนิมิตชนิดอื่นภายใน
แต่ภูเขานั้นเข้ามา. หากว่าประสงค์จะทำภูเขาเสี้ยวหนึ่งหรือกึ่งหนึ่งไว้ภายใน
สีมา. อย่ากำหนดภูเขาประสงค์จะทำประเทศเท่าใดไว้ภายใน. พึงกำหนดนิมิต
ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีต้นไม้และจอมปลวกเป็นต้น ที่เกิด ณ ภูเขานั้นเองข้าง
นอกแห่งประเทศเท่านั้น. หากประสงค์จะกันเอาภูเขาทั้งหมด ประมาณโยชน์ ๑
หรือ ๒ โยชน์ไว้ภายใน. พึงกำหนดต้นไม้หรือจอมปลวกเป็นต้น ซึ่งเกิด ณ
ภาคฟันข้างนอกภูเขาเป็นนิมิต.
วินิจฉัยในปาสาณนิมิต:-
๑. เอกิสฺสาเอว ปน ทิสาย ฐิเตหิ ตโต พหูหิปิ สมฺมนฺนิตุํ น วฏฺฏติ. ทฺวีหิ ปน ทฺวีสุ
ทิสาสุ ฐิ เตหิปิ วฏฺฏตีติ วิมติวิโนทนี.

389
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 390 (เล่ม 6)

แม้ก้อนเหล็ก ก็นับว่าศิลาได้เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ศิลาชนิดใด
ชนิดหนึ่ง ก็ควร. แต่เมื่อว่าโดยขนาด ขนาดเท่าช้างนับเป็นภูเขา, เพราะ
ฉะนั้น ศิลาขนาดเท่าช้างนั้น จึงไม่ควร. ส่วนศิลาขนาดเท่าโคเขื่อง และ
กระบือเขือง ๆ ใช้ได้. โดยกำหนดอย่างต่ำ ขนาดเท่าก้อนน้ำอ้อยหนัก ๓๒
ปะละ๑ ก็ใช้ได้ ย่อมกว่านั้นหรือแม้อิฐขนาดใหญ่ ก็ใช้ไม่ได้. แม้กองศิลา
ที่ไม่นับเข้าในนิมิตก็ใช้ไม่ได้ ไม่จำต้องกล่าวถึงกองดินกองทราย. ศิลาดาด
ซึ่งราบเสมอพื้นดิน คล้ายวงลานก็ดี ศิลาดาดที่ตั้งสูงพ้นพื้นดินคล้ายตอก็ดี
บรรดามี ศิลาแม้นั้น ถ้าได้ขนาด ใช้ได้. ศิลาดาดแม้ใหญ่เกินไป ย่อมนับว่า
เป็นศิลาด้วย. เพราะฉะนั้น ถ้าประสงค์จะกันประเทศอันหนึ่ง แต่ศิลาดาด
ขนาดใหญ่ไว้ภายในสีมา, อย่ากำหนดศิลาดาดนั้นเป็นนิมิต พึงกำหนดศิลาอื่น
เหนือศิลาดาดนั้น หากทำวัตที่อยู่บนศิลาดาด หรือศิลาดาดยื่นไปทางท่ามกลาง
วัดที่อยู่ ศิลาดาดเห็นปานนี้ ใช้ไม่ได้. เพราะถ้ากำหนดศิลาดาดนั้นเป็นนิมิต
วัดที่อยู่ย่อมอยู่บนนิมติ และธรรมดานิมิตต้องอยู่ภายนอกสีมา แม้วัคที่อยู่ก็ถึง
ภายนอกสีมา. ศิลาดาดตั้งโอบรอบวัดที่อยู่ควรกำหนดเป็นนิมิตในทิศเดียว
อย่ากำหนดในทิศอื่น.
วินิจฉัยในวนนิมิต:-
ดงหญ้า หรือป่าไม้มีตาลและมะพร้าวเป็นต้นที่มีเปลือกแข็ง ใช้ไม่ได้
แต่หมู่ไม้มีแก่นข้างในเป็นต้นว่าไม้สากะและไม้สาละ หรือหมู่ไม้ปนไม้มีแก่น
ก็ใช้ได้ ก็ป่าไม้นั้นแล โดยกำหนดอย่างต่ำ แม้เพียง ๔-๕ ต้น ก็ใช้ได้
หย่อนกว่านั้น ใช้ไม่ได้ มากกว่านั้นแม้ตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ก็ใช้ได้. ถ้าทำวัด
ที่อยู่ไว้กลางป่า ไม่ควรกำหนดป่าเป็นนิมิต. แม้ประสงค์จะกันเอาป่าส่วน
๑.หนักประมาณ ๕ ชั่ง.

390
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 391 (เล่ม 6)

หนึ่งไว้ภายในสีมา อย่ากำหนดป่าเป็นนิมิต พึงกำหนดต้นไม้หรือศิลาเป็นต้น
ในป่านั้น เป็นนิมิต. ป่าที่ตั้งล้อมวัดที่อยู่ พึงกำหนดเป็นนิมิตในทิศเดียว
อย่ากำหนดในทิศอื่น.
วินิจฉัยในรุกขนิมิตร:-
ต้นไม้มีเปลือกแข็ง เช่นต้นตาลต้นมะพร้าวเป็นต้นใช้ไม่ได้. ต้นไม้
มีแก่นข้างใน ยังเป็นอยู่ โดยที่สุด สูงเพียง ๘ นิ้ว. วัดโดยรอบแม้ลำต้น
เท่าเล่ม๑เข็ม ก็ใช้ได้. ย่อมกว่านั้น ใช้ไม่ได้ โตกว่านั้นขึ้นไป แม้ต้นไทรที่
ขึ้นงามไพศาลตั้ง ๑๒ โยชน์ ก็ควร. ต้นไม้ที่เขาเพาะพืชให้งอกงามในภาชนะ
ทั้งหลาย มีกระบอกและกระถางเป็นต้น แม้ได้ขนาด ก็ใช้ไม่ได้ แต่เอาออก
จากกระบอกและกระถางเป็นต้นนั้นปลูกลงในพื้นดิน แม้ในขณะนั้น แล้วทำ
ซุ้มรดน้ำกำหนดเป็นนิมิต ก็ควร. การแตกรากและกิ่งใหม่ไม่ใช่เหตุ แต่การ
แตกรากและกิ่งนั้น ย่อมเหมาะสำหรับต้นไม้ที่เขาตัดลำต้นเพาะ อันพระวินัยธร
เมื่อกำหนดจะระบุว่า ต้นไม้ หรือว่า ต้นสากะ หรือว่า ต้นสาละ ดังนี้ ก็
ใช้ได้. แต่กำหนดต้นไม้ที่เนื่องเป็นอันเดียวกัน เช่นต้นไทรที่ขึ้นงามไพศาล
เป็นนิมิตในทิศหนึ่งแล้ว จะกำหนดในทิศอื่นอีก ไม่ควร.
วินิจฉัยในบรรดานิมิต:-
ทางทั้งหลาย มีทางป่า ทางนา ทางแม่น้ำ ทางเหมืองเป็นต้นใช้ไม่
ได้. ทางเดินเท้า หรือทางเกวียน ซึ่งผ่านไป ๒ - ๓ ระยะบ้าน จึงใช้ได้.
ส่วนทางเดินเท้าใด แยกออกจากทางเกวียนแล้วกลับลงสู่ทางเกวียนนั่นเองอีก
๑. ในวินัยมุขเล่ม ๓ หน้า ๑๖ ว่าลำต้นเท่าลำเข็ม. ในฎีกาสารตฺถทีปนี ภาค ๔ หน้า ๒๑๓
ว่า
สูจิทณฺฑกปฺปมาโณติ สีหลทีเป เลขนทณฺฑปฺปมาโณติ วทนฺติ. โส จ กนิฏฺฐงฺคุลิปริมาโณ
ติ
ทฏฺฐพฺพํ: โดยนัยฏีกานี้ ก็คือด้ามเหล็กจาร. ศัพท์ว่า สจิตณฺฑ นี้ยังมีใช้ในเสนาสน
กฺขนฺธกวณฺณนา
หน้า ๓๘๗,๓๘๘ อีกว่า อฏฺฐงฺคุลิสูจิทณฺทมตฺโตปิเวฬุ . . .. อฏฺฐงฺคุลสูจิทณฺฑมตฺโตปิ ทารุ
ภณฺฑ-
โก . . . ซึ่งหมายความว่า ด้ามเหล็กจารทั้งนั้น.

391
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 392 (เล่ม 6)

ก็ดี ทางเดินเท้าและทางเกวียนเหล่าใด ใช้ไม่ได้ก็ดี ทางเหล่านั้น ใช้ไม่ได้.
ทางทั้งหลายที่พ่อค้าเดินเท้า และพ่อค้าเกวียน ยังใช้เดินอยู่เสมอ จึงใช้ได้.
ถ้าทาง ๒ แพร่งแยกจากกันไปแล้ว ภายหลังบรรจบเป็นทางเดียวกัน เช่นทูบ
เกวียนไซร้ ทางนั้นพึงกำหนดตรงที่แยกเป็น ๒ แพร่ง หรือที่บรรจบเป็น
นิมิตครั้งเดียวแล้ว อย่ากำหนดอีก. เพราะนิมิตนั้น เป็นนิมิตเนื่องเป็นอัน
เดียวกัน ถ้าทาง ๔ แพร่งอ้อมรอบวัดอยู่แล้วแยกไปในทิศทั้ง ๔ กำหนดทาง
หนึ่งตรงท่ามกลางแล้ว จะกำหนดอีกทางหนึ่ง ไม่ควร. เพราะนิมิตรนั้น
เป็นนิมิตรเนื่องเป็นอันเดียวกัน. แต่จะกำหนดทางที่ผ่านทะแยงมุมไปเป็นนิมิต
ในค้านอื่น ควรอยู่. ส่วนทางที่ลัดผ่านท่ามกลางวัดที่อยู่ไป ไม่ควรกำหนด.
เมื่อกำหนดแล้ว วัดที่อยู่ย่อมอยู่บนนิมิต. ถ้าภิกษุทั้งหลายจะทำทางล้อค้าน
ในแห่งทางเกวียนเป็นนิมิต ทางย่อมอยู่ภายนอกสีมา, ถ้าจะทำทางล้อด้านนอก
เป็นนิมิต ทางล้อด้านนอกเที่ยว ย่อมอยู่ภายนอกสีมา. ทางที่เหลือนับเข้าภาย
ในสีมา. อันพระวินัยธรผู้จะกำหนดทางเป็นนิจ สมควรกำหนดโดยชื่ออย่าง
ใดอย่างหนึ่งในชื่อว่า มคฺโค, ปนฺโถ ปโถ, ปชฺโช เป็นอาทิ. ทางที่ไปได้
รอบวัดที่อยู่ โดยสัณฐานดังดู กำหนดเป็นนิมิตในทิศหนึ่งแล้ว จะกำหนด
ในทิศอื่นไม่ควร.
วินิจฉัยในวัมมิกนิมิต
จอมปลวก โดยกำหนดอย่างเล็กที่สุด แม้เกิดในวันนั้น สูง ๘ นิ้ว
ขนาดเท่าเขาโค ก็ใช้ได้. ย่อมกว่านั้น ใช้ไม่ได้ เขื่องกว่านั้นขึ้นไป แม้เท่า
กับภูเขาหิมพานต์ ใช้ได้. แต่กำหนดจอมปลวกที่ติดกันเป็นพืดเดียวทั้งล้อม
รอบวัดอยู่ เป็นนิมิตในทิศหนึ่งแล้ว จะกำหนดในทิศอื่นอีก ไม่ควร.

392
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 393 (เล่ม 6)

วินิจฉัยในนทีนิมิต:-
ในสมัยแห่งพระราชาผู้ทรงธรรม เมื่อฝนตกติด ๆ กันอย่างนี้คือ ทุก
กึ่งเดือน ทุก ๑๐ วัน ทุก ๕ วัน พอฝนหายแล้ว กระแสแห่งแม่น้ำใด ขาดแห้ง
แร่น้ำนี้ ไม่นับเป็นแม่น้ำ. แต่ในคราวฝนเช่นนี้ กระแสแห่งแม่น้ำใดไหลไม่
ขาด ตลอดฤดูฝน ๔ เดือน ลึกพอจะเปียกอันตรวาสกของนางภิกษุณี ผู้นุ่งห่ม
ได้ปริมณฑล ๓ ลุยข้าม ณ เอกเทศแห่งใดแห่งหนึ่ง, แม่น้ำนี้นับว่าเป็นแม่น้ำ,
ชนิดนี้แล ก็แม่น้ำใด โอบรอบวัดที่อยู่ โดยสัณฐานดังทูบเกวียนก็ดี โดยสัณ
ฐานดังคูก็ดี คล้ายทาง, กำหนด แม่น้ำนั้นเป็นนิมิตในทิศหนึ่งแล้ว จะกำหนด
ในทิศอื่น ไม่ควร. แม้ในแม่น้ำ ๔ สาย ซึ่งผ่านตัดกันและกันไป ใน ๔ ทิศ
แห่งวัดที่อยู่ ก็มีนัยเหมือนกัน. แต่จะกำหนดแม่น้ำทั้ง ๔ สาย ซึ่งไม่เชื่อม
ต่อกันเป็นนิมิต ใช้ได้ ถ้าชนทั้งหลายปักหลักเรียงกันเหมือนทำรั้วกั้นกระแส
นำด้วยเถาวัลย์และใบไม้เป็นต้น และนำล้นท่วมทำบนไหลไปได้ จะทำให้เป็น
นิมิต ควรอยู่ เมื่อเขาทำทำนบไม่ให้นำไหล แม่น้ำที่ไม่ไหล ไม่ควรทำให้
เป็นนิมิต. ในที่ซึ่งน้ำไหล เพราะขาดน้ำ ในคราวฝนแล้ง หรือ
ในฤดูร้อนใช้ได้. ชนทั้งหลายชักลำรางไขน้ำมาแต่แม่น้ำใหญ่ ลำรางนั้นเป็น
เช่นกับแม่น้ำเขิน ไหลอยู่เป็นกิจ ให้สำเร็จข้าวกล้า ๓ คราว ถึงน้ำไหลไป
ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ควรทำเป็นนิมิต. ส่วนลำรางอันใดในชั้นเดิม แม้ขาดขุดชัก
มาจากแม่น้ำใหญ่ ในกาลอื่นเซาะพังกลายเป็นแม่น้ำ ไหลไปได้เอง ตามทาง
ที่เขาขุดชักมานั้นแหละ โดยการต่อไป เกลื่อนกลาดไปด้วยสัตว์น้ำ มีจรเข้

393