No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 354 (เล่ม 6)

ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ทำอุปสัมปทา-
เปกขะ ๒ รูป ในอนุสาวนาเดียวกัน.
อุปสมบทคราวละ ๓ คน
สมัยต่อมา พระเถระหลายรูปต่างมีอุปสัมปทาเปกขะหลายคนด้วยกัน
พวกเธอต่างแก่งแย่งกันว่า เราจักอุปสมบทก่อน เราจักอุปสมบทก่อน พระ-
เถระทั้งหลายจึงตัดสินว่า เอาเถอะ พวกเราจะทำอุปสัมปทาเปกขะทุกคนใน
อนุสาวนาเดียวกัน ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้ พระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้ทำอุปสัมปทาเปกขะ ในอนุสาวนาเดียวกันคราวละ ๒ รูป ๓ รูป
แต่การสวดนั้นแล ต้องอุปัชฌาย์รูปเดียวกัน จะมีอุปัชฌาย์ต่างกันไม่ได้เป็น
อันขาด.
นับอายุ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์
พระกุมารกัสสปะเป็นตัวอย่าง
[๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้ง
อยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท ต่อมาท่านได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบัญญัติไว้ว่า บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ก็เรามี
อายุครบ ๒๐ ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบทจะเป็นอันอุปสมบทหรือไม่หนอ
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกเกิดขึ้นแล้ว

354
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 355 (เล่ม 6)

ในครรภ์ของมารดา คือวิญญาณดวงแรกปรากฏแล้ว ชื่อว่า ความเกิดของสัตว์
มีเพราะอาศัยจิตนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมี
อายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์.
สวดถามอันตรายิกธรรม ๑๓ ข้อ
[๑๔๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกกุลบุตรที่อุปสมบทแล้วปรากฏเป็น
โรคเรื้อนก็มี เป็นผีก็มี เป็นโรคกลากก็มี เป็นโรคมองคร่อก็มี เป็นโรค
ลมบ้าหมูก็มี ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุ
ผู้ให้อุปสมบท ถามอันตรายยิกธรรม ๑๓ ข้อ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงถามอุปสัมปทาเปกขะอย่างนี้:-
อันตรายิกธรรม
อาพาธเห็นปานนี้ของเจ้ามีหรือ คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรค
มองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มี
หนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้ว
หรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่อ
อะไร.
สอนซ้อมก่อนถามอันตรายิกธรรม
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายถามอันตรายิกธรรมกะพวกอุปสัมปทา
เปกขะ ที่ยังมิได้สอนซ้อม พวกอุปสัมปทาเปกขะย่อมสะทกสะท้าน เก้อเขิน
ไม่อาจจะตอบได้ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

355
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 356 (เล่ม 6)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้สอนซ้อมก่อน แล้วจึงถามอันตรายิกธรรมทีหลัง.
ภิกษุทั้งหลายสอนซ้อมในท่านกลางสงฆ์นั้นนั่นแหละ พวกอุปสัมปทา-
เปกขะย่อมสะทกสะท้าน เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้เหมือนอย่างเดิม ภิกษุทั้ง
หลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
อนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สอนซ้อม ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงถามอันตรายิกธรรมในท่ามกลางสงฆ์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงสอนซ้อมอุปสัมปทาเปกขะอย่างนี้:-
คำบอกบาตรจีวร
พึงให้อุปสัมปทาเปกขะถืออุปัชฌาย์ก่อน ครั้นแล้วพึงบอกบาตรจีวร
ว่านี้บาตรของเจ้า นี้ผ้าทาบของเจ้า นี้ผ้าห่มของเจ้า นี้ผ้านุ่งของเจ้า เจ้าจงไปยืน
ณ โอกาสโน้น.
ภิกษุทั้งหลายที่เขลาไม่ฉลาดย่อมสอนซ้อม เหล่าอุปสัมปทาเปกขะที่
ถูกสอนซ้อมไม่ดีย่อมสะทกสะท้าน เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้ ภิกษุทั้งหลาย
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เขลา ไม่ฉลาด ไม่พึงสอนซ้อม
รูปใดสอนซ้อมต้องอาบัติทุกกฏ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้
ฉลาด ผู้สามารถสอนซ้อม.
บรรดาภิกษุผู้ที่ยังไม่ได้รับสมมติ ย่อมสอนซ้อม ภิกษุทั้งหลายจึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุที่ยังไม่ได้รับสมมติ ไม่พึงสอนซ้อม รูปใดสอนซ้อมต้องอาบัติ
ทุกกฏ.

356
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 357 (เล่ม 6)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุที่ได้รับสมมติแล้วสอนซ้อม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงสมมติ ดังต่อไปนี้:-
วิธีสมมติภิกษุเป็นผู้สอนซ้อม
ตนเองพึงสมมติตนก็ได้ หรือภิกษุรูปอื่น พึงสมมติภิกษุอื่นก็ได้.
อย่างไรเล่า ตนเองพึงสมมติตนเอง คือ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ
พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของ
ท่านผู้มีชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงสอนซ้อมผู้มี
ชื่อนี้.
อย่างนี้ ชื่อว่าตนเองสมมติตนเอง.
อย่างไรเล่า ภิกษุรูปอื่น พึงสมมติภิกษุรูปอื่น คือ ภิกษุผู้ฉลาด
ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของ
ท่านผู้มีชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ท่านผู้มีชื่อนี้พึงสอนซ้อม
ผู้มีชื่อนี้.
อย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุรูปอื่นสมมติภิกษุรูปอื่น.
ภิกษุผู้ใดรับสมมติแล้วนั้น พึงเข้าไปหาอุปสัมปทาเปกขะ แล้วกล่าว
อย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำซ้อมอันตรายิกธรรม
แน่ะผู้มีชื่อนี้ เจ้าฟังนะ นี้เป็นกาลสัตย์ กาลจริงของเจ้า เมื่อท่าน
ถามในท่ามกลางสงฆ์ ถึงสิ่งอันเกิดแล้ว มีอยู่ พึงบอกว่ามี ไม่มี พึงบอกว่าไม่มี

357
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 358 (เล่ม 6)

เจ้าอย่าสะทกสะท้านแล้วแล เจ้าอย่าได้เป็นผู้เก้อแล้วแล ภิกษุทั้งหลายจักถาม
เจ้าอย่างนี้ อาพาธเห็นปานนี้ของเจ้ามีหรือ คือ โรคเรื้อน ผี โรคกลาก โรค
มองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มี
หนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้ว
หรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร.
ภิกษุผู้สอนซ้อมกับอุปสัมปทาเปกขะเดินมาด้วยกัน แต่ทั้งสองไม่พึง
เดินมาพร้อมกัน คือ ภิกษุผู้สอนซ้อมต้องมาก่อน แล้วประกาศให้สงฆ์ทราบ
ด้วยญัตติกรรมมาจา ว่าดังนี้:-
คำเรียกอุปสมปทาเปกขะเข้ามา
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของ
ท่านผู้มีชื่อนี้ ข้าพเจ้าสอนซ้อมเขาแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
ขอผู้มีชื่อนี้พึงมา.
พึงเรียกอุปสัมปทาเปกขะว่า เจ้าจงมา.
พึงให้อุปสัมปทาเปกขะนั้นห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย
ให้นั่งกระโหย่ง ให้ประคองอัญชลีแล้ว พึงให้ขออุปสมบทดังนี้:-
คำขออุปสมบท
ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด
เจ้าข้า.
ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เป็นครั้งที่ ๒ เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดยก
ข้าพเจ้าขึ้นเถิด เจ้าข้า.

358
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 359 (เล่ม 6)

ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เป็นครั้งที่ ๓ เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดยก
ข้าพเจ้าขึ้นเถิด เจ้าข้า.
คำ สมมติตนเพื่อถามอันตรายิกธรรม
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา
ว่าดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ
ของท่านผู้มีชื่อนี้ ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าจะพึงถามอัน-
ตรายิกธรรมต่อผู้มีชื่อนี้ ดังนี้:-
คำ ถามอันตรยิธรรม
แน่ะ ผู้มีชื่อนี้ เจ้าฟังนะ นี้เป็นกาลสัตย์กาลจริงของเจ้า เราจะถาม
สิ่งที่เกิดแล้ว มีอยู่ พึงบอกว่ามี ไม่มี พึงบอกว่าไม่มี อาพาธเห็นปานนี้ของ
เจ้ามีหรือ คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็น
มนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ
มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบ
แล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร.
กรรมวาจาอุปสมบท
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรม
วาจา ว่าดังนี้:-
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมป-
ทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย

359
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 360 (เล่ม 6)

บาตรจีวรของเขาครบแล้ว ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มี
ชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง
อุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัม-
ปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้ง
หลายบาตรจีวรของเขาครบแล้ว ผู้มีชื่อนี้ ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มี
ท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้
เป็นอุปัชฌายะ การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่าน
ผู้นั้นพึงพูด.
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่ ๒ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จง
ฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริ-
สุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย บาตรจีวรของเขาครบแล้ว ผู้
มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ สงฆ์อุป-
สมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ถามอุปสมบทผู้มีชื่อนี้
มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้
นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่ ๓ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จง
ฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้บริ-
สุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย บาตรจีวรของเขาครบแล้วผู้มี
ชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ สงฆ์อุป-
สมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้

360
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 361 (เล่ม 6)

มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้
นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
ผู้มีชื่อนี้สงฆ์อุปสมบทแล้ว มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ
ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
อุปสมบทกรรม จบ
พระพุทธานุญาตนิสสัย ๔
[๑๔๓] ทันใดนั้นแหละ พึงวัดเงา พึงบอกประมาณแห่งฤดู พึงบอก
ส่วนแห่งวัน พึงบอกสังคีติ พึงบอกนิสสัย ๔ ว่าดังนี้:-
๑. บรรพชาอาศัยโภชนะ คือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เธอ
พึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต อติเรกลาภ คือภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะ
สงฆ์ การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ
ภัตถวายในวันปาฏิบท.
๒. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอด
ชีวิต อดิเรกลาภ คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าแกมกัน.
๓. บรรพชาอาศัยโคนต้นไม้เป็นเสนาสนะ เธอพึงอุตสาหะในข้อนั้น
จนตลอดชีวิต อดิเรกลาภ คือวิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น ถ้ำ.
๔. บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นยา เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้น จนตลอด
ชีวิต อดิเรกลาภ คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้าผึ้ง น้ำอ้อย.
นิสสัย ๔ จบ

361
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 362 (เล่ม 6)

อกรณียกิจ ๔
[๑๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุรูป ๑ แล้ว
ทิ้งไว้แต่ลำพังแล้ว หลีกไป เธอเดินมาทีหลังแต่รูปเดียว ได้พบภรรยาเก่าเข้า ณ
ระหว่างทาง นางได้ถามว่า เวลานี้ท่านบวชแล้วหรือ ?
ภิกษุนั้นตอบว่า จ้ะ ฉันบวชแล้ว.
นางจึงพูดชวนว่า เมถุนธรรมพวกบรรพชิตหาได้ยาก นิมนต์ท่าน
มาเสพเมถุนธรรม.
ภิกษุนั้นได้เสพเมถุนธรรมในนางแล้ว ได้ไปถึงทีหลังช้าไป ภิกษุ
ทั้งหลายถามว่า อาวุโส ท่านมัวทำอะไรชักช้าเช่นนี้ เธอได้แจ้งเรื่องนั้นแก่
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระพุทธานุญาตให้บอกอกรณียกิจ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้อุปสมบทแล้วให้ภิกษุอยู่เป็นเพื่อน และให้
บอกอกรณียกิจ ๔ ดังต่อไปนี้:-
๑. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ใน
สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสาย
ศากยบุตร เปรียบเหมือนบุรุษถูกตัดศีรษะแล้ว ไม่อาจจะมีสรีระคุมกัน
นั้นเป็นอยู่ ภิกษุก็เหมือนกัน เสพเมถุนธรรมแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็น
เชื้อสายศากยบุตร การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
๒. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็น
ส่วนขโมย โดยที่สุดหมายเอาถึงเส้นหญ้า ภิกษุใดถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้

362
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 363 (เล่ม 6)

เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาท ๑ ก็ดี ควรแก่ราคาบาท ๑ ก็ดี เกินบาท ๑
ก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายศากยบุตร เปรียบเหมือนใบไม้เหลือง
หล่นจากขั้วแล้ว ไม่อาจจะเป็นของเขียวสด ภิกษุก็เหมืนกัน ถือเอาของอัน
เขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาท ๑ ก็ดี ควรแก่ราคาบาท ๑ ก็ดี
เกินบาท ๑ ก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายศากยบุตร การนั้น เธอไม่
พึงทำตลอดชีวิต.
๓. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต โดยที่
สุดหมายเอาถึงมดดำมดแดง ภิกษุใดแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต โดยที่สุด
หมายเอาถึงยังครรภ์ให้ตก ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายศากยบุตร
เปรียบเหมือนศิลาหนาแตก ๒ เสี่ยงแล้ว เป็นของกลับต่อกันไม่ได้ ภิกษุก็
เหมือนกัน แกล้างพรากกายมนุษย์จากชีวิตแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อ
สายศากยบุตร การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
๔. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม โดยที่สุด
ว่าเรายินดี ยิ่งในเรือนว่างเปล่า ภิกษุใดมีความปรารถนาลามก อันความ
ปรารถนาลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่
จริง คือฌานก็ดีวิโมกข์ก็ดี สมาธิก็ดี สมาบัติก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ไม่เป็น
สมณะ ไม่เป็นเชื้อสาย พระศากยบุตร เปรียบเหมือนต้นตาลมียอดด้วนแล้ว
ไม่อาจจะงอกอีก ภิกษุก็เหมือนกัน มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนา
ลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง
ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายศากยบุตร การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
อกรณียกิจ ๔ จบ

363