No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 344 (เล่ม 6)

ผู้ใดจัดว่ามีร่างกายค่อม เพราะอกหรือหลัง หรือสีข้างโกง ผู้นั้นชื่อ
ว่าคนค่อม. แต่อวัยวะน้อยใหญ่บางส่วนของผู้ใด โกงไปนิดหน่อย จะให้ผู้นั้น
บวชสมควรอยู่ เพราะว่าพระมหาบุรุษเท่านั้น มีพระกายตรงดังกายพรหม
สัตว์ที่เหลือชื่อว่าผู้ไม่ค่อมย่อมไม่มี.
คนมีขาสั้นก็ดี มีบั้นเอวสั้นก็ดี สั้นทั้ง ๒ ก็ดี ชื่อว่าคนเตี้ย.
กายท่อนล่างตั้งแต่บั้นเอวลงมา แห่งคนขาสั้น เป็นของสั้น กายท่อน
บนสมบูรณ์.
กายท่อนบนตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไป แห่งคนบั้นเอวสั้น เป็นของสั้น กาย
ท่อนล่างบริบูรณ์.
กายทั้ง ๒ ท่อน แห่งคนสั้นทั้ง ๒ เป็นของสั้น. ร่างกายย่อมกลมรอบ
คล้ายหม้อมีกะพุ้งใหญ่เหมือนร่างกายแห่งภูตทั้งหลาย เพราะกายทั้ง ๒ ท่อน
เหล่าไรเล่าเป็นของสั้น จะให้ชนนั้นแม้ทั้ง ๓ ชนิดบวช ย่อมไม่ควร.
ที่คอแห่งผู้ใด มีพอกดังลูกฟัก ผู้นั้นชื่อว่าคนคอพอก. และคำนี้สักว่า
แสดง แต่เมื่อมีพอกที่ประเทศอันใดอันหนึ่ง ก็ไม่ควรให้บวช.
วินิจฉัยในคำว่า คลคณฺฑี นั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในคำนี้
ว่า น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ ปพฺพาเชตพฺโพ นั่นแล.
คำใดที่จะพึงกล่าวในคนมีรอยแผลเป็น คนถูกเฆี่ยนด้วยหวายและคน
ถูกเขียนไว้ คำนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในข้อทั้งหลายมีข้อว่า น ภิกฺขเว
ลกฺขณาหโต เป็นต้นนั่นแล.
คนมีเท้าเป็นตุ้ม ท่านเรียกว่าคนตีนปุก. เท้าของผู้ใดอูมเกิดเป็นตุ่ม
แข็ง ผู้นั้นไม่ควรให้บวช แต่เท้าของผู้ใด ยังไม่ทันจับแข็ง เป็นของที่อาจ
ผูกเครื่องรัดแช่ไว้ในหลุมน้ำ กลบด้วยทรายเบียกน้ำให้เต็มให้เหี่ยวยุบลงจน

344
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 345 (เล่ม 6)

เส้นเอ็นปรากฏ และแข้งเป็นเหมือนกระบอกน้ำมัน จะทำเท้าของผู้นั้นให้เป็น
เช่นนี้ แล้วให้เขาบวชควรอยู่.
ถ้าตุ้มนั้นเขื่องขึ้นอีก แม้เมื่อจะให้อุปสมบท พึงทำอย่างนั้น จึงให้
อุปสมบท.
คนน่าเกลียด ไม่น่าชอบใจ มีความเดือนร้อนเป็นนิตย์ มีโรคที่รักษา
ไม่หายด้วยโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาโรคริดสีดวงงอก ริดสีดวงลำไส้
โรคดี โรคเสมหะ โรคไอ โรคหืด เป็นต้น ชื่อว่า คนมีโรคเป็นผลแห่ง
บาป แม้บุคคลนี้ก็ไม่ควรให้บวช.
ผู้ใดย่อมประทุษร้ายบริษัท เพราะความที่คนมีรูปแปลก ผู้นั้น ชื่อ
ปริสทูสกะ คือเป็นคนสูงเกินไป มีนาภีประเทศแค่ศีรษะของชนเหล่าอื่นบ้าง.
เตี้ยเกินไปดังรูปแห่งภูต เตี้ยทั้ง ๒ ท่อนบ้าง. ดำเกินไป คล้ายตอไม้ที่นาถูก
ไฟไหม้บ้าง. ขาวเกินไป มีสีคล้ายบาตรทองแดงที่ขัดด้วยนมส้มและเปรียงเป็น
ต้นบ้าง. ผอมเกินไป มีเนื้อและเลือดน้อย ประหนึ่งร่างกายซึ่งมีแต่กระดูก เอ็น
และหนังบ้าง. อ้วนเกินไป มีเนื้อตั้งหาบ มีพุงพลุ้ยเช่นกับมหาภูตบ้าง. มี
ศีรษะใหญ่เกินไป เหมือนวางกระเช้าไว้บนศีรษะบ้าง. มีศีรษะหลิมเกินไป คือ
ประกอบด้วยศีรษะเล็กนักไม่สมตัวบ้าง. มีศีรษะเป็นลอน ๆ คือประกอบด้วย
ศีรษะเช่นกับทะลายแห่งผลตาลบ้าง. มีศีรษะเรียวแหลม คือประกอบด้วยศีรษะ
อันสอบขึ้นไปโดยลำดับบ้าง. มีศีรษะดังลำไผ่ คือเป็นกระบอก ประกอบด้วย
ศีรษะเช่นกับปล้องไม้ไผ่อย่างเขื่องบ้าง. มีศีรษะเป็นง่ามบ้าง. มีศีรษะเป็นเงื้อม
คือประกอบด้วยศีรษะอันงุ้มลงในข้างทั้ง ๔ ข้างใดข้างหนึ่งบ้าง. มีศีรษะเป็น
แผลบ้าง มีศีรษะเน่าบ้าง.

345
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 346 (เล่ม 6)

มีผมเป็นหย่อม ๆ คือมาตามพร้อมด้วยผมที่ขึ้นในที่นั้น ๆ เช่นกับ
ข้าวกล้าในกระทงนาที่สัตว์กัดกินบ้าง. มีศีรษะลุ่นไม่มีผมบ้าง. มีผมหยาบแข็ง
คือมาตามพร้อมด้วยผมเช่นกับแปรงตาลบ้าง. มีผมขาวด้วยผมอันหงอกแต่
กำเนิดบ้าง. มีผมเป็นปกติ คือมาตามพร้อมด้วยผมเหมือนเปลวเพลิงจับบ้าง.
มีผมบนศีรษะเวียน คือมาตามพร้อมด้วยผมขวัญทั้งหลายมีปลายชันขึ้นเบื้อง
บน เช่นกับขวัญในตัวโคบ้าง.
มีขนคิ้วเนื่องเป็นอันเดียวกับผมบนศีรษะ คือมาตามพร้อมด้วยหน้า
ผากดังหุ้มด้วยร่างแหบ้าง, มีคิ้วติดกันบ้าง, ไม่มีขนคิ้วบ้าง, มีคิ้วคล้ายลิงบ้าง.
มีตาใหญ่เกินไปบ้าง, มีตาเล็กเกินไปบ้าง, คือมาตามพร้อมด้วยตาทั้ง
๒ เช่นกับช่องในหนังกระบือที่เขาแทงด้วยปลายมีดบ้าง. มีตาส่อน คือมาตาม
พร้อมด้วยตาใหญ่ข้างหนึ่ง เล็กข้างหนึ่งบ้าง มีวงตาคำไม่เสมอ คือมาตาม.
พร้อมด้วยวงตาคำไม่เสมอกันอย่างนี้ คือข้างหนึ่งสูง ข้างหนึ่งต่ำบ้าง, คนตาเหล่
บ้าง, คนมีตาลึก คือมีลูกตาปรากฏเหมือนโป่งน้ำในบ่อน้ำอันลึกบ้าง, คนมี
ตาทะเล้นออก คือมีลูกตายื่นออกเหมือนตาแห่งปลาบ้าง.
มีหูเหมือนช้าง คือมาตามพร้อมด้วยใบหูอันใหญ่บ้าง, มีหูเหมือนหนู
หรือมีหูเหมือนค้างคาว คือมาตามพร้อมด้วยใบหูอันเล็กบ้าง. คนมีแต่ช่องหู
คือปราศจากใบหู มีแต่ช่องหูเท่านั้นบ้าง. คนมีหูเจาะกว้างบ้าง แต่ชนชาติโยนก
ไม่จัดเป็นคนประทุษร้ายบริษัท เพราะว่าการเจาะหูกว้างนั้น เป็นประเพณี
ของเขาโดยเฉพาะ๑. คนเป็นโรคริดสีดวงในหู คือมาตามพร้อมด้วยอันเน่า
เป็นนิจบ้าง, คนมีหูเป็นน้าหนวก คือมาตามพร้อมด้วยหูมีน้ำเหลืองไหลออก
ทุกเมื่อบ้าง, คนมีใบหูตรง คือมาตามพร้อมด้วยใบหูเช่นกับปลายกะพล้อ๒
สำหรับกรอกอาหารโคบ้าง.
๑. ตามนัยโยชนา แปลว่า จริงอยู่ หูเช่นนั้นเป็นสภาพโดยเฉพาะของชนชาติโยนกนั้น.
๒.โคภตฺตนาฬิกาย.

346
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 347 (เล่ม 6)

คนมีตาเหลืองเกินไปบ้าง แต่จะให้คนมีตาเหลืองดังน้ำผึ้งบวชสมควร
อยู่, คนไม่มีขนตาบ้าง, คนมีตามีน้ำตาไหลบ้าง, คนมีตาแหกบ้าง, คนมีตา
ประกอบด้วยโรคยังตาให้สุก คือคนตาแฉะ มีขี้ตากรังบ้าง.
คนมีจมูกใหญ่เกินไปบ้าง, มีจมูกเล็กเกินไปบ้าง, คนมีจมูกบี้บ้าง, คนมี
จมูกดดเบี้ยวไปข้างหนึ่งไม่ตั้งอยู่ตรงกลางบ้าง, คนมีจมูกยาว คือมาตามพร้อม
ด้วยจมูกดังสุกร ซึ่งอาจเลียด้วยลิ้นได้บ้าง, คนมีจมูกก็น้ำมูกไหลออกเป็นนิจ
บ้าง.
คนมีปากใหญ่ คือมีเค้าแห่งปากเท่านั้นใหญ่เหมือนปากแห่งกบปาก
กว้าง ส่วนหน้าเล็กนัก เช่นกับน้ำเต้าบ้าง คนมีปากอ้าบ้าง, คนมีปากคดบ้าง.
คนมีริมฝีปากใหญ่ คือมาตามพร้อมด้วยริมฝีปากเช่นกับเกลียวปากหม้อ
ข้าวบ้าง, คนมิริมฝีปากลั้น คือมาตามพร้อมด้วยริมฝีปากอันไม่สามารถจะปิด
ฟันมิด เช่นกับหนังหุ้มกลองบ้าง. คนมีริมฝีปากล่างหนาบ้าง, คนมีริมฝีปากบน
บางบ้าง, คนมีริมฝีปากล่างบางบ้าง, คนมีริมฝีปากบนหนาบ้าง, คนมีริมฝีปาก
แหว่งบ้าง.
คนมีปากมีน้ำลายไหลเสมอบ้าง, คนมีปากสุกแดงนักบ้าง, คนมีปาก
ดังสังข์ คือมาตามพร้อมด้วยริมฝีปากข้างนอกขาว ข้างในแดงจัดบ้าง, คนมี
ปากเหม็นดังซากศพบ้าง.
คนมีฟันใหญ่ คือมาตามพร้อมด้วยฟันเช่นกับสัตว์มี ๘ ซี่บ้าง, คน
มีฟันดังอสูร คือมีฟันล่างหรือฟันบนออกนอกปากบ้าง, ส่วนฟันของผู้ได้เป็น
ของอาจปิดด้วยริมผีปาก เมื่อพูดเท่านั้นจึงปรากฏ เมื่อไม่พูดไม่ปรากฏ จะ
ให้ผู้นั้นบวชสมควรอยู่. คนมีฟันเน่าบ้าง, คนไม่มีฟันบ้าง, แต่ในระหว่างฟัน
ขอผู้ใด มีฟันซี่เล็กดังฟันกระแต จะให้ผู้นั้นบวชสมควรอยู่.

347
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 348 (เล่ม 6)

คนมีคางใหญ่ คือมาตามพร้อมด้วยคางดังคางแห่งโคบ้าง, คนมีคาง
ยาวบ้าง. คนมีต่างเฟ็ด คือมาตามพร้อมด้วยคางอันสั้นนักดังหดหายเข้าในบ้าง,
คนมีคางหักบ้าง, คนมีคางคดบ้าง.
คนไม่มีหนวดและเครา คือมีหน้าคล้ายนางภิกษุณีบ้าง.
คนมีคอยยาว คือประกอบด้วยคอเช่นกับคอนกยางบ้าง คนมีคอสั้น
คือประกอบด้วยคอดังหดหายเข้าข้างในบ้าง, คนมีคอง้ำลงบ้าง.
คนมีจะงอยไหล่อันลู่บ้าง, คนไม่มีมือบ้าง คนมีมือข้างเดียวบ้าง. คน
มีมือสั้นเกินบ้าง, คนมีมือยาวเกินบ้าง, คนมีอกหักบ้าง. คนมีหลังหักบ้าง. คน
มีตัวเป็นคุดทะราดบ้าง, มีตัวเป็นลำลาบบ้าง. มีตัวเป็นหิดบ้าง, มีตัวเหมือนเหี้ย
คือมีผงร่วงจากตัว ดังเหี้ยบ้าง. ก็แลคำว่า มีตัวเป็นคุดทะราดเป็นต้นทั้งหมด
ข้าพเจ้าหมายเอาโรคที่ทำกายให้มีรูปแปลก กล่าวแล้วด้วยอำนาจแห่งปริสทูสก
ศัพท์อันมีความกว้าง.
ส่วนวินิจฉัยในคำนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในคำนี้ว่า น
ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ นั่นแล.
คนมีบั้นเอวหักบ้าง คนมีตะโพกใหญ่ คือประกอบด้วยเนื้อตะโพก
อันสูงเกินไป เช่นกับกระพุ้งแห่งเตาบ้าง, คนมีขาใหญ่บ้า, คนมีอัณฑะใหญ่
บ้าง. คนมีเข่าใหญ่บ้าง คนมีเข่าเบียดกันบ้าง, คนมีแข้งยาว คือมีแข้ง เช่นกับ
ไม้เท้าบ้าง. คนมีเท้าผิดกฏ คือไปตามขวาง บ้าง๑. คนมีเท้าบิดไปข้างหลังบ้าง. ๒
คนมีปลีน่องเป็นปั้นสูงบ้าง๓ . คนมีปลีน่องเป็นปั้นสูงนั้นมี ๒ ชนิด คือประกอบ
ด้วยปลีแข้งใหญ่งอกย้อยลงภายใต้ก็มี อวบขึ้นเบื้องบนก็มี คนมีแข้งใหญ่บ้าง
คนมีก้อนเนื้อที่แข้งหนาบ้าง คนมีเท้าใหญ่บ้าง, คนมีส้นใหญ่บ้าง, คนมีปลาย
เท้ากับส้นเท่ากัน คือมีแข้งตั้งขึ้นจากกลางเท้าบ้าง, คนมีเท้าเกบ้าง. คนมีเท้าเก
นั้นมี ๒ ชนิด คือมีเท้าบิดเข้าในก็มี บิดออกนอกก็มี. คนมีนิ้วหงิก คือ
๑. ๒ ๓. คนมีเท้ากางออกบ้าง กนมีเท้ากรอมเข้าบ้าง คนมีปลีแข้งโปบ้าง ก็ว่า.

348
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 349 (เล่ม 6)

ประกอบด้วย นิ้วเช่นกับแง่งขิงบ้าง. คนมีเล็บดำ คือประกอบด้วยเล็บเน่ามีสีดำ
บ้าง, คนแม้ทั้งหมดนี้เป็นคนประทุษร้ายบริษัท คนประทุษร้ายบริษัทเห็นปาน
นี้ ไม่ควรให้บวช.
บทว่า กาโณ มีความว่า คนตาบอดตาใส หรือคนจักษุประสาท
อันต่อมเลือดเป็นต้นขจัดเสียก็ตามที ผู้ใดมองไม่เห็นด้วยตาทั้ง ๒ หรือข้างเดียว
ผู้นั้นไม่ควรให้บวช.
แต่ในมหาปัจจรีอรรถกถาแก้ว่า คนตาบอดข้างเดียวเรียกว่า กาณะ,
คนตาบอด ๒ ข้าง สงเคราะห์ด้วยอันธะ คนมืด.
ในมหาอรรถกถาแก้ว่า คนบอดแต่กำเนิด เรียกว่า อันธะ เพราะเหตุ
นั้น คำแม้ทั้ง ๒ ย่อมถูกโดยปริยาย.
คนมือง่อยก็ดี คนเท้าง่อยก็ดี คนนิ้วง่อยก็ดี ชื่อว่าคนง่อย. บรรดา
อวัยวะทั้งหลายมีมือเป็นต้น เหล่านั้น ส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้ใดงอปรากฏ ผู้นั้น
ชื่อคนง่อย.
คนเข่าพับก็ดี, คนแข็งหักก็ดี. คนมีอุ้งเท้าคด เพราะมีเท้าหักตรง
กลาง คือเดินด้วยท่ามกลางแห่งหลังเท้าก็ดี คนมีปลายเท้าพับ เพราะมีเท้าหัก
ปลาย คือเดินด้วยหลังเท้าท่อนปลายก็ดี คนเดินเขย่งเฉพาะด้วยปลายเท้าก็ดี.
คนเดินเขย่งด้วยส้นเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยส่วนนอกแห่งเท้าก็ดี คนเดินเขยก
ด้วยส่วนในแห่งเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยหลังเท้าทั้งหมด เพราะมีข้อเท้าทั้ง ๒
หักตอนบนก็ดี. ชื่อว่าคนกระจอก คนชนิดนี้แม้ทั้งหมด เป็นต้นกระจอกแท้
ไม่ควรให้บวช.
มือข้างหนึ่งก็ดี เท้าข้างหนึ่งก็ดี ตัวซีกหนึ่งก็ดี ของผู้ใดไม่นำความ
สุขมาให้ ผู้นั้นชื่อว่าผู้ชาไปแถบหนึ่ง.
คนเปลี้ย เรียกว่าคนมีอิริยาบถขาด.

349
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 350 (เล่ม 6)

คนทุรพลเพราะความเป็นผู้ชรา ไม่สามารถจะทำแม้ซึ่งกรรม มีย้อม
จีวรของตนเป็นต้น ชื่อว่าคนชราทุรพล. ส่วนผู้ใดเป็นคนแก่แต่ยังมีกำลัง อาจ
ประคับประคองตน ผู้นั้นควรให้บวช.
คนตาบอดแต่กำเนิด เรียกว่า คนบอด.
ความเปล่งวาจาของผู้ใด เป็นไปไม่ได้ ผู้นั้น ซึ่งว่า คนใบ้. แม้
ของผู้ใดเป็นใบได้ แต่ไม่สามารถจะกล่าวสรณคมน์ให้บริบูรณ์ จะให้พูดไม่
ชัด๑ แม้เช่นนั้นบวช ย่อมไม่ควร. ส่วนผู้ใดสามารถจะว่าเพียงสรณคมน์ให้
บริบูรณ์ได้ จะให้ผู้นั้นบวช ย่อมควร.
ผู้ใด ฟังไม่ได้ยินด้วยประการทั้งปวง ผู้นั้นชื่อคนหนวก. ส่วนผู้ใด
ฟังเสียงดังได้ยิน จะให้ผู้นั้นบวชย่อมควร. คนพิการมีคนทั้งบอดทั้งใบ้เป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจแห่งโทษสองชั้น.
ก็บรรพชาของชนเหล่าใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม แม้
อุปสมบท ของชนเหล่านั้น ก็เป็นอันทรงห้ามด้วย แต่ถ้าสงฆ์ให้คนประทุษ
ร้ายบริษัทเหล่านั้นอุปสมบท คนมีอวัยวะบกพร่องแม้ทั้งหมด มีคนมือขาดเป็น
ต้น ก็เป็นอันอุปสมบทด้วยดี แต่การกสงฆ์และอาจารย์กับอุปัชฌาย์ ไม่พ้น
อาบัติ.
จริงอยู่ ดังข้าพเจ้าจักอ้างบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ควรเรียก
เข้าหมู่ มีอยู่, ถ้าสงฆ์เรียกบุคคลนั้นเข้าหมู่ บางคนเรียกเข้าหมู่แล้วก็เป็นอัน
แล้วไป บางคนเป็นอันเรียกเข้าหมู่แล้วใช้ไม่ได้.
เนื้อความแห่งพระบาลีนั้น จักมีแจ้งในอาคตสถานนั้นแล ด้วย
ประการฉะนี้.
อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถุกถา จบ
๑. ผู้พูดติดอ่าง. โบราณว่า มีถ้อยคำเป็นอ่างกระอักกระไอกล่าวมิได้ถูกต้อง.

350
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 351 (เล่ม 6)

วิธีการให้นิสัย
[๑๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ให้นิสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้นิสัยแก่ภิกษุพวก
อลัชชี รูปใดให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิธีการถือนิสัย
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี ไม่ช้าไม่นานเท่า ไร
นัก แม้หงวกเธอก็กลายเป็นพวกอลัชชี เป็นภิกษุเลวทราม ภิกษุทั้งหลายจึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี รูปใดอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตให้สืบสวนก่อนถือนิสัย
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
บัญญัติไว้ว่าไม่พึงให้นิสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี และไม่พึงอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี
ทำอย่างไรหนอพวกเราจึงจะรู้ว่า เป็นภิกษุลัชชี หรืออลัชชี แล้วกราบทูล
เรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้ง
หลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้รอ ๔ - ๕ วัน พอจะสืบสวนรู้ว่า
ภิกษุผู้ให้นิสัยเป็นสภาคกัน.

351
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 352 (เล่ม 6)

ภิกษุเดินทางไกลไม่ต้องถือนิสัย
[๑๓๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปโกศลชนบท
คราวนั้นเธอได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะ
ไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ ดังนี้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสัยแต่จำต้องเดินทางไกล จะ
พึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เดินทางไกลเมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสัย ไม่ต้องถือนิสัยอยู่.
ภิกษุอาพาธไม่ต้องถือนิสัย
[๑๓๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุ ๒ รูปเดินทางไกลไปโกศลชนบท
เธอทั้ง ๒ พักอยู่ ณ อาวาสแห่งหนึ่ง ในภิกษุ ๒ รูปนั้น รูป ๑ อาพาธ จึง
รูปที่อาพาธนั้นได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุ
จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสัย แต่กำลังอาพาธ จะพึงปฏิบัติ
อย่างไรหนอแล ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้ภิกษุอาพาธ เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสัย ไม่ต้องถือนิสัยอยู่.
ภิกษุพยาบาลไม่ต้องถือนิสัย
ครั้งนั้น ภิกษุผู้พยาบาลไข้นั้นได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสัย แต่
ภิกษุรูปนี้ยังอาพาธเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุผู้พยาบาลไข้ เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสัย
ถูกภิกษุอาพาธขอร้อง ไม่ต้องถือนิสัยอยู่.

352
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 353 (เล่ม 6)

ภิกษุอยู่วัดป่าไม่ต้องถือนิสัย
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูป ๑ อยู่วัดป่า และเธอก็มีความผาสุกใน
เสนาสนะนั้น คราวนั้นเธอได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้
ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสัย แต่ยังอยู่วัดป่า และ
เราก็มีความผาสุกในเสนาสนะนี้ จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล ภิกษุทั้งหลาย
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร
กำหนดการอยู่เป็นผาสุก เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสัย ไม่ต้องถือนิสัย ด้วยผูกใจว่า
เมื่อใดมีภิกษุผู้ให้นิสัยที่สมควรมาอยู่ จักอาศัยภิกษุนั้นอยู่.
อุปสมบทกรรม
สวดอุปสัมปทาเปกขะระบุโคตร
[๑๓๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมีอุปสัมปทาเปกขะ และ
ท่านส่งทูตไปในสำนักท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์จงมาสวดอุปสัมปทา-
เปกขะนี้ ท่านพระอานนท์ตอบไปอย่างนี้ว่า เกล้ากระผมไม่สามารถจะระบุนาม
ของพระเถระได้ เพราะพระเถระเป็นที่เคารพของเกล้ากระผม ภิกษุทั้งหลาย
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้สวดระบุโคตรได้.
อุปสมบทคู่
[๑๔๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมีอุปสัมปทาเปกขะอยู่
๒ คน เธอทั้งสองแก่งแย่งกันว่า เราจักอุปสมบทก่อน เราจักอุปสมบทก่อน

353