No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 334 (เล่ม 6)

ใน ๒ ชนิดนั้น อิตถีนิมิตของสตรีอุภโตพัญชนกปรากฏปุริสนิมิต
เป็นของลี้ลับ; ปุริสนิมิตของบุรุษอุภโตพยัญชนกปรากฏอิตถีนิมิตเป็นของลี้ลับ
เมื่อสตรีอุภโตพยัญชนกทำหน้าที่ของบุรุษในสตรีทั้งหลาย อิตถีนิมิตรย่อมเป็น
ของลี้ลับ. ปุริสนิมิตปรากฏ; เมื่อบุรุษอุภโตพยัญชนกเข้าถึงความเป็นสตรีสำ-
หรับพวกบุรุษ ปุริสนิมิตเป็นของลี้ลับ อิตถีนิมิตปรากฏ.
เหตุซึ่งทำให้ต่างกันแห่งอุภโตพยัญชนก ๒ ชนิดนั้นดังนี้ คือสตรี
อุภโตพยัญชนกมีครรภ์เองด้วย, ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้ด้วย; ส่วนบุรุษอุภโตพยัญ
ชนกมีครรภ์เองไม่ได้ แต่ให้สตรีอื่นมีครรภ์ได้.
แต่ในอรรถกถากุรุนทีท่านแก้ว่า ถ้าเพศชายเกิดในกำเนิดคือปฏิสนธิ-
กาล เพศหญิงย่อมเกิดต่อเมื่อความกำหนัดในบุรุษเป็นไป,๑ ถ้าเพศหญิงเกิด
ในกำเนิด คือปฏิสนธิกาล เพศชายยอมเกิดต่อเมื่อจาความกำหนัดในสตรีเป็น
ไป๒
ลำดับแห่งวิจารณ์ในความเกิดแห่ง ๒ เพศนั้น บัณฑิตพึงทราบพิสดาร
ในอรรถกถาธรรมสังคหะชื่ออัฏฐสาลินี.๓
ส่วนในบรรพชาธิการนี้ พึงทราบสันนิษฐานแม้นี้ว่า บรรพชาอุปสม
บทแห่งอุภโตพยัญชนกทั้ง ๒ ชนิดนี้ ไม่มีเลย.
อรรถกถาอุโตพยัญชนกวัตถุ จบ
๑,๒. ปวตฺเต น่าจะหมายความว่า ในปวัตติกาล.
๓. อฏฺฐาสาลินี. ๔๖๗-๔๗๐.

334
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 335 (เล่ม 6)

บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก
เรื่องห้ามอุปสมบทคนไม่มีอุปัชฌาย์เป็นต้น
[๑๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มี
อุปัชฌาย์ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี-
พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้ไม่มี
อุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุ
ทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับ
สั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุ
ไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีคณะเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุ
ทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่ง
กะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีคณะเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่
พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีบุคคลลักเพศเป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์เป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่ามารดาเป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่าบิดาเป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอุปัชฌาย์

335
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 336 (เล่ม 6)

. . . อุปสมบทกุลบุตรมีตนประทุษร้ายภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสบทกุลบุตรมีคนทำสังฆเภทเป็นอุปัชฌาย์
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีคนทำร้ายพระศาสดาจนห้อพระโลหิตเป็น
อุปัชฌาย์.
. . . อุปสมบทกุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีบัณเฑาะก์
เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้. . .
กุลบุตรมีบุคคลลักเพศเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ . . .
กุลบุตรมีภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้. . .
กุลบุตรมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ . . .
กุลบุตรมีคนฆ่ามารดาเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ . . .
กุลบุตรมีคนฆ่าบิดาเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ . . .
กุลบุตรมีคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ . . .
กุลบุตรมีตนประทุษร้ายภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้. . .
กุลบุตรมีคนทำสังฆเภทเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ . . .
กุลบุตรมีคนทำร้ายพระศาสดาจนห้อพระโลหิตเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่
พึงอุปสมบทให้. . .
กุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูป
ใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.

336
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 337 (เล่ม 6)

เรื่องห้ามอุปสมบทคนไม่มีบาตรเป็นต้น
[๑๓๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีบาตร
พวกเธอเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนา
ว่าเที่ยวรับบิณฑบาตรเหมือนพวกเดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีบาตร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีจีวร พวกเธอเปลือย
กายเที่ยวรับบิณฑบาต คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยว
รับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรไม่มีจีวร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร พวก
เธอเปลือยกายเที่ยวรับบิณฑบาตรด้วยมือ คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่าเที่ยวรับบิณฑบาตรเหมือนพวกเดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใด
อุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบาตรที่ยืมเขามา เมื่อ
อุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำบาตรคืนไป พวกเธอเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ
คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวก
เดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี

337
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 338 (เล่ม 6)

พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายกุลบุตรมีบาตรที่ยืม
เขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีจีวรที่ยืมเขามา เมื่อ
อุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำจีวรคืนไป พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบิณฑบาต
คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวก
เดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีจีวรที่ยืม
เขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบาตรและจีวรที่ยืมเขามา
เมื่ออุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำบาตรและจีวรคืนไป พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับ
บิณฑบาตด้วยมือ คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับ
บิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุลบุตรมีบาตรและจีวรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้รูปใดอุปสมบทให้
ต้องอาบัติทุกกฏ.
บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก จบ
บุคคลไม่ควรให้บวช ๓๒ จำพวก
ทรงห้ามบวชคนมีอวัยวะพิการ
[๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน. . .
บรรพชาคนเท้าด้วน. . . บรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน. . .บรรพชาคนหูขาด . . .
บรรพชาคนจมูกแหว่ง . . . บรรพชาคนทั้งหูขาดและจมูกแหว่ง . . .บรรพชาคน

338
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 339 (เล่ม 6)

นิ้วมือนิ้วเท้าขาด . . . บรรพชาคนมีง่ามมือง่ามเท้าขาด . . . บรรพชาคนเอ็นขาด
. . . บรรพชาคนมือเป็นแผ่น. . . บรรพชาคนค่อม . . . บรรพชาคนเตี้ย . . .
บรรพชาคนคอพอก. . .บรรพชาคนถูกสักหมายโทษ. . .บรรพชาคนมีรอยเฆี่ยน
ด้วยหวาย . . .บรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ. . .บรรพชาคนเท้าปุก. . .
บรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง . . .บรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ. . . บรรพชาคนตา
บอดช้างเดียว. . .บรรพชาคนง่อย. . .บรรพชาคนกระจอก . . .บรรพชาคนเป็น
โรคอัมพาต. . .บรรพชาคนมีอิริยาบถขาด . . . บรรพชาคนชราทุพพลภาพ . . .
บรรพชาคนตาบอดสองข้าง . . . บรรพชาคนใบ้ . . . บรรพชาคนหูหนวก . . .
บรรพชาคนทั่งบอดและใบ้. . . บรรพชาคนทั้งบอดและหนวก . . . บรรพชาคน
ทั้งใบ้และหนวก . . . บรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงบรรพชา
คนมือด้วน. . .ไม่พึงบรรพชาคนเท้าด้วน. . .ไม่พึงบรรพชาคนทั้งมือและเท้า
ด้วน. .. ไม่พึงบรรพชาคนหูขาด . . .ไม่พึงบรรพชาคนจมูกแหว่ง. . .ไม่พึง
ไม่บรรพชาคนทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง. . .ไม่พึงบรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด . . .
ไม่พึงบรรพชาคนง่ามมือง่ามเท้าขาด . . . ไม่พึงบรรพชาคนเอ็นขาด . . . ไม่พึง
บรรพชาคนมือเป็นแผ่น. . .ไม่พึงบรรพชาคนค่อม. . .ไม่พึงบรรพชาคนเตี้ย. . .
ไม่พึงบรรพชาคนคอพอก. . .ไม่พึงบรรพชาคนถูกสักหมายโทษ. . .ไม่พึง
บรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย . . .ไม่พึงบรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ. . .
ไม่พึงบรรพชาคนเท้าปุก. . .ไม่พึงบรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง. . .ไม่พึงบรรพชา
คนมีรูปร่างไม่สมประกอบ . . .ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดข้างเดียว . . .ไม่พึง
บรรพชาคนง่อย . . .ไม่พึงบรรพชาคนกระจอก. . .ไม่พึงบรรพชาคนเป็นโรค

339
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 340 (เล่ม 6)

อัมพาต . . .ไม่พึงบรรพชาคนมีอิริยาบถขาด . . .ไม่พึงบรรพชาคนชราทุพพล-
ภาพ . . .ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดสองข้าง . . . ไม่พึงบรรพชาคนใบ้. . .ไม่พึง
บรรพชาคนหูหนวก. . .ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและใบ้. . .ไม่พึงบรรพชาคน
ทั้งบอดและหนวก. . . ไม่พึงบรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก. . .ไม่พึงบรรพชาคน
ทั้งบอดใบ้และหนวก รูปใดบรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
บุคคลไม่ควรให้บวช ๓๒ จำพวก จบ
ทายัชชภาณวารที่ ๙ จบ
อรรถกถาอนุปัชฌายกาทิวัตถุ
หลายบทว่า เตน โข ปน สมเยน มีความว่า โดยสมัยใด สิกขา
บทอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังมิได้ทรงบัญญัติแล้ว โดยสมัยนั้น.
บทว่า อนุปัชฌายกํ มีความว่า เว้นจากอุปัชฌาย์ทุก ๆ อย่าง
เพราะไม่ให้ถืออุปัชฌาย์.
กุลบุตรทั้งหลาย ผู้อุปสมบทแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่ได้ความสงเคราะห์
โดยธรรม โดยอามิส เขาย่อมเสื่อมเท่านั้น ย่อมไม่เจริญ.
หลายบทว่า น ภิกฺขเว อนุปชฺฌายโก เป็นต้น มีความว่ากุลบุตร
ชื่อผู้ไม่มีอุปัชฌาย์ เพราะไม่ให้ถืออุปัชฌาย์ ไม่พึงให้อุปสมบท. เป็นอาบัติ
แก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยอาการอย่างนั้น จำเดิมแต่ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า
ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ. ส่วนกรรมหากำเริบไม่. พระ
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กำเริบ คำของอาจารย์บางพวกนั้น ไม่ควรถือเอา.

340
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 341 (เล่ม 6)

แม้ในคำทั้งหลาย มีคำว่า สงฺเฆน อุปชฺฌาเยน เป็นต้น มี
อุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์เป็นที่สุด ก็นัยนี้แล.
ข้อว่า อปตฺตกา หตฺเถสุ ปิณฺฑาย จรนฺติ มีความว่าภิกษุทั้ง
หลายผู้ไม่มีบาตรย่อมเที่ยวไป เพื่อประโยชน์แก่บิณฑะอันตนจะได้ในมือทั้ง ๒
ข้อว่า เสยฺยถาปิ ติตฺถิยา มีความว่า เหมือนพวกเดียรถีย์มีชื่อ
อาชีวก. จริงอยู่ เดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมฉันบิณฑะอันตนคลุกด้วยแกงและกับ
ใส่ไว้ในมือทั้ง ๒ นั่งเอง.
สองบทว่า อาปตฺต ทุกฺกฏสฺส มีความ ว่า เป็นอาบัติแก่ภิกษุ
ผู้ให้อุปสมบทด้วยอาการอย่างนั้นเท่านั้น. ส่วนกรรมไม่กำเริบแม้ในวัตถุ
ว่าอจีวรกา เป็นต้น ก็นัยนี้แล.
บทว่า ยาจิตเกน มีความว่า ด้วยบาตรเป็นของยืมซึ่งอุปสัมปทา-
เปกขะอ้อนวอนยืมมาว่า ขอท่านจงให้เพียงที่ข้าพเจ้ากระทำการอุปสมบทเถิด
จริงอยู่ ย่อมเป็นอาบัติเฉพาะแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยบาตร หรือ
จีวร หรือทั้งบาตรทั้งจีวร เช่นนี้ แต่กรรมไม่กำเริบ.
เพราะเหตุนั้น กุลบุตรผู้มีบาตรจีวรครบเท่านั้น จึงควรให้อุปสมบท
ถ้าของเขาไม่มี และอาจารย์อุปัชฌาย์อยากจะให้เขา หรือภิกษุเหล่าอื่นปรารถนา
จะให้อาจารย์และอุปัชฌาย์ หรือภิกษุเหล่าอื่นผู้ไม่เสียดาย พึงสละให้บาตรและ
จีวรที่ควรอธิษฐานได้. แค่จะให้บรรพชาเปกขะผู้ดังใบไม้เหลืองบวช ด้วย
บาตรและจีวรแม้ที่ยืมมาสมควรอยู่, แม้ถือเอาด้วยวิสาสะในที่แห่งภิกษุผู้เป็น
สภาคกันแล้วให้บวชก็ควร.
แต่ถ้าปัณฑุปลาสนั้น เป็นผู้ถือบาตรที่ยังมิได้ระบมและผ้าที่ควรแก่
จีวรมา, บาตรยังระบมอยู่และจีวรยังกระทำอยู่เพียงใด ควรจะให้อนามัฏฐ-

341
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 342 (เล่ม 6)

บิณฑบาตแก่เขาผู้พักอยู่ในวิหารเพียงนั้น. ปัณฑุปลาสนั้นจะบริโภคในบาตร
ก็ควร.
ในเวลาก่อนฉันอาหาร ส่วนแห่งอามิสเท่ากับส่วนของสามเณรอันภิกษุ
ผู้เป็นภัตตุทเทสก์สมควรจะให้.
ส่วนการถือเสนาสนะและภัตต่าง ๆ มีสลากภัต อุทเทสภัตและนิมัน-
ตนภัต เป็นต้น ไม่สมควรให้.
แม้ในเวลาภายหลังอาหาร ส่วนแห่งเภสัชมีน้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำ
อ้อย เป็นต้น เท่ากับส่วนของสามเณร อันภิกษุผู้เป็นภัตตุทเทสก์สมควรจะให้.
ถ้าเขาเป็นไข้ ภิกษุทั้งหลายควรจะทำยาให้เขา และควรทำการปรน
นิบัติทั้งปวงแก่เขา เหมือนทำแก่สามเณร ฉะนี้แล.
อรรถกถาอนุปัชฌายกาทิวัตถุ จบ
อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถุกถา
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องคนมือด้วนเป็นต้นต่อไป:-
มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ฝ่ามือก็ดี
ทีข้อมือก็ดี ที่ศอกก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือขาด.
เท้าข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ปลายเท้า
ก็ดี ที่ข้อเท้าก็ดี ที่แข้งก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่า ผู้มีเท้าขาด.
ในมือและเท้าทั้ง ๔ โดยประการดังกล่าวแล้วนั้นแล มือและเท้าของ
ผู้ใด ๒ หรือ ๓ หรือทั้งหมด เป็นอวัยวะขาดไป ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือและเท้าขาด.
หูของผู้ใด ข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง เป็นอวัยวะขาดไปที่เง่าหูก็ดี ที่

342
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 343 (เล่ม 6)

ใบหูก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีหูขาด. แต่หูของผู้ใด ย่อมฉีกที่ตุ้มแห่งหู แต่เป็น
อวัยวะที่อาจต่อให้ติดกันได้ ผู้นั้นพึงให้ต่อหูให้ติดแล้ว จึงให้บวช.
จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะแหว่งวิ่นไปที่ดั้งจมูกก็ดี ที่ช่องจมูกข้างเดียว
ก็ดี ช่องจมูกทั้ง ๒ ก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีจมูกแหว่ง แต่จมูก
ของผู้ใด เป็นอวัยวะที่อาจประสานให้ติดกันได้. ผู้นั้นพึงทำจมูกนั้นให้หายแล้ว
จึงให้บวช.
บุคคลที่ชื่อว่า ผู้มีหูและจมูกแหว่ง พึงทราบด้วยอำนาจแห่งอวัยวะ
ทั้ง ๒.
นิ้วของผู้ใด นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ไม่เห็นมีเล็บ
เหลือ ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเล็บด้วน แต่เล็บที่เหลือของผู้ใด แม้ประมาณเท่าเส้นด้าย
ยังปรากฏ จะให้ผู้นั้นบวชควรอยู่.
ในหัวแม่มือเท้าทั้ง ๔ นิ้ว หัวแม่มือและแม่เท้าของผู้ใด นิ้วเดียว
หรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ตามนัยที่กล่าวแล้วในนิ้วผู้นั้น ชื่อว่ามีง่าม
มือง่ามเท้าขาด.
เอ็นใหญ่ที่ชื่อว่ากัณฑระของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไป ข้างหน้าก็ดี
ข้างหลังก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเอ็นขาด บุคคลย่อมก้าวเดินด้วยปลายเท้าบ้าง ด้วย
ส้นเท้าบ้าง หรือไม่อาจยันเท้าลงตรง ๆ ได้ ก็เพราะในเอ็นใหญ่เหล่านั้น แม้
เอ็นหนึ่งขาดไป.
นิ้วมือของผู้ใด เป็นของติดกันเหมือนปีกค้างคาว ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือ
เป็นแผ่น. ภิกษุผู้ใคร่จะให้บุคคลนั้นบวช พึงผ่าหนังซึ่งมีในระหว่างนิ้ว เอา
หนังในระหว่างออกทั้งหมด รักษาหายแล้วจึงให้บวช. แม้ผู้ใดมี ๖ นิ้ว ภิกษุ
ผู้ใคร่จะให้ผู้นั้นบวชพึงตัดนิ้วที่เกินเสีย รักษาหายแล้วจึงให้บวช.

343