No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 324 (เล่ม 6)

อรรถกถาติรัจฉานคตวัตถุกถา
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า นาคโยนิยา อฏฺฏิยติ นี้ ดังนี้:-
นาคนั้น ในประวัติกาล ย่อมได้เสวยอิสริยสมบัติเช่นกับเทพสมบัติ
ด้วยกุศลวิบากแม้โดยแท้. ถึงกระนั้น สรีระแห่งนาค ผู้ปฏิสนธิด้วยอกุศล
วิบาก มีปกติเที่ยวไปในน้ำ มีกบเป็นอาหารย่อมมีปรากฏ ด้วยการเสพเมถุน
กับนางนาคชาติของตน คือมีชาติเสมอกัน และด้วยการวางใจหยั่งลงสู่ความหลับ
เพราะเหตุนั้น นาคนั้นจึงระอาด้วยกำเนิดนาคนั้น.
บทว่า หรายติ ได้แก่ ย่อมละอาย.
บทว่า ชิดุจฺฉติ คือ ย่อมเกลียดชังอัตภาพ
หลายบทว่า ตสฺส ภิกฺขุโน นิกฺขนฺเต มีความว่า เมื่อภิกษุนั้น
ออกไปแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ในเวลาที่ภิกษุนั้นออกไป.
ข้อว่า วิสฺสฏฺโฐ นิทฺทํ โอกฺกมิ มีความว่า เมื่อภิกษุนั้นยัง
ไม่ออก นาคนั้น ไม่ปล่อยสติหลับอยู่ด้วยอำนาจแห่งความหลับอย่างลิงนั่นแล
เพราะกลัวแต่เสียงร้อง ครั้นภิกษุนั้นออกไปแล้ว จึงปล่อยสติ วางใจ คือ
หมดความระแวง คำเนินไปสู่ความหลับอย่างเต็มที่.
สองบทว่า วิสฺสรมกาสิ มีความว่า ภิกษุนั้น ด้วยอำนาจความกลัว
ละสมณสัญญาเสีย ได้กระทำเสียงดังผิดรูป.
สองบทว่า ตุมฺเห ขฺวตฺถ ตัดบทว่า ตุมฺเห โข อตฺถ บทนั้น
ท่านมิได้ทำการลบ อ อักษรกล่าวไว้. ความสังเขปในคำนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบ
ดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายแล เป็นนาค ชื่อเป็นผู้มีธรรมไม่งอกงาม คือ ไม่เป็น

324
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 325 (เล่ม 6)

ผู้มีธรรมอันงอกงามในธรรมวินัยนี้ เพราะเป็นผู้ไม่ควรแก่ฌานวิปัสสนาและ
มรรคผล.
บทว่า สชาติยา ได้แก่ นางนาคนั่นเอง. แต่ว่า เมื่อใดนาคนั้น
เสพเมถุนด้วยชาติอื่น ต่างโดยชนิดมีหญิงมนุษย์เป็นต้น เมื่อนั้นย่อมเป็น
เหมือนเทพบุตร. ส่วนคำว่า ปัจจัย ๒ อย่างในพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการชี้กรรมซึ่งปรากฏตามสภาพเนือง ๆ ในประวัติกาล.
และกรรมซึ่งปรากฏตามสภาพ ย่อมมีแก่นาคใน ๕ กาล คือ เวลาปฏิสนธิ ๑
เวลาที่ลอกคราบ ๑ เวลาที่เสพเมถุนด้วยนางนาคชาติของตน คือมีชาติเสมอ
กัน ๑ เวลาที่วางใจหยั่งลงสู่ความหลับ ๑ เวลาจุติ ๑.
ในคำว่า ติรจฺฉานคโต ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่าจะเป็น
นาค หรือจะเป็นสัตว์พิเศษผู้ใดผู้หนึ่งมีสุบรรณมาณพเป็นต้น ก็ตามที. ผู้ใด
ผู้หนึ่ง ซึ่งมิใช่มนุษยชาติโดยที่สุดแม้ท้าวสักกเทวราช บรรดามีทั้งหมด
เทียว พึงทราบว่า เป็นดิรัจฉาน ในอรรถนี้ ผู้นั้นอันภิกษุทั้งหลายไม่ควร
ให้อุปสมบท ไม่ควรให้บรรพชา แม้อุปสมบทแล้ว ก็ควรให้ฉิบหายเสีย.
ติรัจฉานคตวัตถุ จบ

325
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 326 (เล่ม 6)

เรื่องห้ามคนฆ่ามารดามิให้อุปสมบท
[๑๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตมารดาเสีย เขาอึดอัด
ระอารังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไร นอ เราจึง
จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเชื้อ
สายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม พระพฤติสงบ ประพฤติ
พรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าเราจะพึงบวชในสำนัก
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรม
อันนี้ได้ ต่อมาเขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายได้แจ้ง
ความนี้ต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็น
ชายหนุ่มเข้ามาบวช ในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพ
คนนี้ ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น ท่าน
พระอุบาลีได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบ แล้วภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุ-
ปสัมบันคือ คนฆ่ามารดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนฆ่าบิดามิให้อุปสมบท
[๑๒๙] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพผู้หนึ่งปลงชีวิตบิดาเสีย เขาอืดอัด
ระอารังเกียจบาปกรรมอันนั้น และได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึง
จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้ได้ จึงหวนระลึกนึกขึ้นได้ว่า พระสมณะเธอ
สายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหม-
จรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม ถ้าเราจะพึงบวชในสำนักพระ
สมณะเชื้อสายศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะทำการออกจากบาปกรรมอันนี้

326
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 327 (เล่ม 6)

ได้ ต่อมาเขาเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งความ
นี้ต่อท่านเพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี เมื่อครั้งก่อนแล นาคแปลงกายเป็นชาย
หนุ่มเข้ามาบวชในสำนักภิกษุ อาวุโสอุบาลี นิมนต์ท่านไต่สวนมาณพคนนั้น
ครั้นมาณพนั้น ถูกท่านพระอุบาลีไต่สวนอยู่ จึงแจ้งเรื่องนั้น ท่านพระอุบาลี
ได้แจ้งให้พวกภิกษุทราบแล้ว ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอนุ-
ปสัมบันคือ คนฆ่าบิดา ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนฆ่าพระอรหันต์ให้อุปสมบท
[๑๓๐] ก็โดยสมัยนั่นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน เดินทางไกล จาก
เมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกพวกออกมา
แย่งชิงภิกษุบางพวก ฆ่าภิกษุบางพวก เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี
แล้วจับโจรได้เป็นบางพวก บางพวกหลบหนีไปได้ พวกที่หลบหนีไป ได้บวช
ในสำนักภิกษุ พวกที่จับได้ เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า พวกโจรที่บวชแล้ว เหล่านั้น
ได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่าเคราะห์ดี พวก
เราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน ภิกษุ
ทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้ จึงบรรพชิต
เหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุพวกนั้นเป็นพระอรหันต์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ
คนฆ่าพระอรหันต์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

327
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 328 (เล่ม 6)

อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องบุคคลผู้ฆ่ามารดาเป็นต้นต่อไป:-
สองบทว่า นิกฺขนฺตึ ถเรยฺยํ มีความว่า เราพึงกระทำความออก
คือ ความหลีกไป ความชำระสะสาง.
ในคำว่า มาตุฆาตโก ภิกฺขเว นี้ มีวินิจฉัยว่า มารดาผู้ให้เกิด
ซึ่งเป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดแม้ตนเองก็เป็นชาติมนุษย์เหมือนกันแกล้งปลง
เสียจากชีวิต บุคคลนี้เป็นผู้ฆ่ามารดาด้วยอนันตริยมาตุฆาตกรรม. บรรพชา
และอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว.
ส่วนมารดาผู้เลี้ยงดูก็ดี ป้าก็ดี น้าก็ดี ซึ่งมิใช่ผู้ให้เกิด แม้เป็นหญิง
มนุษย์ หรือมารดาผู้ให้เกิด แต่มิใช่หญิงมนุษย์ อันบุคคลใดฆ่าแล้ว บรรพชา
ของบุคคลนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงห้าม และเขาไม่เป็นผู้มีอันนตริยกรรม.
มารดาผู้เป็นหญิงมนุษย์ อันบุคคลใดซึ่งตนเองเป็นสัตว์ดิรัจฉานฆ่า
แล้ว แม้บุคคลนั้นย่อมไม่เป็นผู้มีอันนตริยกรรม. สวนบรรพชาของเขาเป็น
อันทรงห้ามด้วย เพราะข้อที่เขาเป็นสัตว์ดิรัจฉาน. คำที่เหลือเป็นคำตื้นทั้งนั้น .
แม้ในบุคคลผู้ฆ่าบิดา ก็นัยนี้แล.
ก็ถ้าแม้บุรุษเป็นลูกหญิงแพศยา ไม่ทราบว่า ผู้นี้เป็นบิดาของเรา
เขาเกิดด้วยน้ำสมภพของชายใด และชายนั้นอันเขาฆ่าแล้วย่อมถึงความ
นับว่าเป็นผู้ฆ่าบิดาเหมือนกัน ย่อมถูกอนันตริยกรรมด้วย. แม้บุคคลผู้ฆ่าพระ
อรหันต์ พึงทราบด้วยอำนาจพระอรหันต์ผู้เป็นมนุษย์เหมือนกัน.
วินิจฉัยในอรหันตฆาตกวัตถุนี้ พึงทราบดังนี้ว่า อันบุคคลเมื่อแกล้ง
ปลงพระขีณาสพผู้เป็นชาติมนุษย์ โดยที่สุดแม้ไม่ใช่บรรพชิตเป็นทารกก็ตาม

328
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 329 (เล่ม 6)

เป็นทาริกาก็ตาม จากชีวิต ย่อมเป็นผู้ชื่อว่าพระอรหันต์แท้; ย่อมถูกอนันตริย-
กรรมด้วย และบรรพชาของผู้นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม. ส่วนบุคคล
ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งมิใช่ชาติมนุษย์ หรือพระอริยบุคคลที่เหลือซึ่งเป็นชาติมนุษย์
ยังไม่เป็นผู้มีอนันตริยกรรม แม้บรรพชาของเขา ก็ไม่ทรงห้าม. แต่ว่า กรรม
เป็นของรุนแรง. ดิรัจฉานแม้ฆ่าพระอรหันต์ซึ่งเป็นชาติมนุษย์ ก็ไม่เป็นผู้มี
อนันตริยกรรม แต่ว่า เป็นกรรมอันหนัก.
หลายบทว่า เต วธาย โอนียนฺติ มีความว่า โจรเหล่านั้นอันพวก
ราชบุรุษย่อมนำไป เพื่อประโยชน์แก่การฆ่า. อธิบายว่านำไปเพื่อประหารชีวิต.
ก็คำใด ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ในบาลีว่า สจา
จ มยํ ความแห่งคำนั้นเท่านี้เองว่า สเจ มยํ. จริงอยู่ ในพระบาลีนี้ ท่าน
กล่าวนิบาตินี้ว่า สจา จ ในเมื่อนิบาตว่า สเจ อันท่านพึงกล่าว. อีกอย่าง
หนึ่งปาฐะว่า สเจ จ ก็มี. ใน ๒ ศัพท์นั้น ศัพท์ว่า สเจ เป็นสัมภาว-
นัตถนิบาต. ศัพท์ว่า จ เป็นนิบาตใช้ในอรรถมาตรว่าเป็นเครื่องทำบทให้เต็ม
ปาฐะว่า สจชฺช มยํ บ้าง ความแห่งปาฐะนั้นว่า สเจ อชฺช มยํ.
อรรถกถามาตุฆาตกาทิวัตถุ จบ

329
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 330 (เล่ม 6)

เรื่องห้ามอุปสมบทคนประทุษร้ายภิกษุณีเป็นต้น
[๑๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุณีหลายรูป เดินทางไกลจากเมืองสาเกต
ไปพระนครสาวัตถี ในระหว่างทาง พวกโจรพากันยกออกมา แย่งชิงภิกษุณี
บางพวก ทำร้ายภิกษุณีบางพวก เจ้าหน้าที่ยกออกไปจากพระนครสาวัตถี แล้ว
จับโจรได้เป็นบางพวก บางพวกหลบหนีไป พวกที่หลบหนีไป ได้บวชใน
สำนักภิกษุ พวกที่ถูกจับได้เจ้าหน้าที่กำลังนำไปฆ่า พวกโจรที่บวชแล้วเหล่านั้น
ได้เห็นโจรพวกนั้นกำลังถูกนำไปฆ่า ครั้นแล้วจึงพูดอย่างนี้ว่า เคราะห์ดี พวก
เราพากันหนีรอดมาได้ ถ้าวันนั้นถูกจับ จะต้องถูกเขาฆ่าเช่นนี้เหมือนกัน
ภิกษุทั้งหลายพากันถามว่า อาวุโสทั้งหลาย ก็พวกท่านได้ทำอะไรไว้ จึงบรรพ-
ชิตเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง หลาย อนุ-
ปสัมบันคือ คนประทุษร้ายภิกษุณี ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว
ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนผู้ทำสังฆเภท ภิกษุไม่พึงให้
อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ คนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อ
พระโลหิต ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

330
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 331 (เล่ม 6)

อรรถกถาภิกขุนีทูสกาทิวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในคำนี้ว่า ภิกฺขุนีทูสโก ภิกฺขเว เป็นต้น ดังนี้:-
บุรุษใดประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้มีตนเป็นปกติ ในบรรดามรรค ๓
มรรคใดมรรคหนึ่ง บุรุษนี้ชื่อภิกชุนีทูสกะ. บรรพชาและอุปสมบทของบุรุษ
นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว. ฝ่ายบุรุษโดยังนางภิกษุณีให้ถึงศีลพินาศ
กายสังสัคคะ บรรพชาและอุปสมบทแห่งบุรุษนั้นไม่ทรงห้าม. แม้บุรุษผู้ทำ
นางภิกษุณีให้นุ่งผ้าขาวแล้ว ประทุษร้ายนางผู้ไม่ยินยอมเลยที่เดียวด้วยพลการ
ชื่อภิกขุนีทูสกะแท้.
ฝ่ายบุรุษผู้ทำนางภิกษุณีให้นุ่งขาวด้วยพลการะแล้ว ประทุษร้ายนาผู้
ยินยอมอยู่ ไม่เป็นผู้ชื่อภิกขุนีทูสกะ.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
แก้ว่า เพราะนางภิกษุณีนั้น ย่อมเป็นผู้มิใช่นางภิกษุณี ในเรื่องความ
เป็นคฤหัสถ์มาตรว่าอันตนยอมรับทีเดียว.
ส่วนบุรุษผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณีผู้เสียศีลแล้ว คราวเดียว ในภายหลัง
และปฏิบัติผิดในนางสิกขมานาและสามเณรีทั้งหลาย ไม่จัดว่าภิกขุนีทูสกะ
เหมือนกัน; ย่อมได้ทั้งบรรพชา ทั้งอุปสมบท.
ในคำว่า สงฺฆเภตโก ภิกฺขเว เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า ผู้ใดทำ
พระศาสนาให้เป็นของนอกธรรมนอกวินัย ทำลายสงฆ์ด้วยอำนาจแห่งกรรม ๔
อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนพระเทวทัต, ผู้นี้ชื่อสังฆเภทกะ ผู้ทำลายสงฆ์ บรรพ
ชาและอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม.

331
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 332 (เล่ม 6)

พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำนี้ว่า โลหิตุปฺปาทโก ภิกฺขเว เป็นต้น
ดังนี้:-
ผู้ใดมีจิตประทุษร้ายติดฆ่า ยังพระโลหิตในพระสรีระซึ่งยิ่งเป็นอยู่ของ
พระตถาคตเจ้า แม้พอที่แมลงวันเล็ก ๆ จะดื่มได้ให้ห้อขึ้นเหมือนพระเทวทัต
ผู้นี้ชื่อผู้ทำโลหิตุปบาท. บรรพชาเละอุปสมบทแห่งบุคคลนั้นทรงห้าม.
ส่วนผู้ใดใช้มีดผ่าตัดเอาเนื้อเสียและโลหิตออกทำให้ทรงสำราญเหมือน
หมอชีวกได้ทำเพื่อให้พระโรคสงบไป ผู้นั้นย่อมประสบบุญมากฉะนี้.
อรรถกถาภิกษุนีขนีทูสกาทิวัตถุ จบ

332
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 333 (เล่ม 6)

เรื่องห้ามอุปสมบทอุภโตพยัญชนก
[๑๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล อุภโตพยัญชนกคนหนึ่งได้บวชในสำนัก
ภิกษุ เธอเสพเมถุนธรรมในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิตของตนบ้าง ให้บุรุษ
อื่นเสพเมถุนธรรมในอิตถีนิมิตของตนบ้าง ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบันคือ อุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่
อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.
อรรถกถาอุภโตพยัญชนกวัตถุ
บทว่า อุภโตพฺยญฺชนโก มีอรรถวิเคราะห์ว่า นิมิตเครื่องปรากฏ
ที่ตั้งขึ้น โดยกรรม ๒ อย่าง คือ โดยกรรมเป็นเหตุยังอิตถีนิมิตให้เกิดขึ้น ๑
โดยกรรมเป็นเหตุยังปุริสนิมิตให้เกิดขึ้น ๑ ของบุคคลนั้นมีอยู่ เหตุนั้น เขา
ชื่ออุภโตพยัญชนก.
บทว่า กโรติ มีความว่า ย่อมทำตนเองด้วยความละเมิดด้วยอำนาจ
เมถุนในสตรีทั้งหลาย ด้วยปุริสนิมิต.
บทว่า การาเปติ มีความว่า ย่อมชวนบุรุษอื่นให้ทำความละเมิด
ด้วยอำนาจเมถุน ในอิตถีนิมิตของตน.
อุภโตพยัญชนกนั้น มี ๒ ชนิด คือ สตรีอุภโตพยัญชนก ๑. บุรุษ-
อุภโตพยัญชนก ๑.

333