No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 314 (เล่ม 6)

คนเถยยสังวาสก์ทั้ง ๓ ชนิดนี้ เป็นอนุปสัมบัน ไม่ควรให้อุปสมบท
เป็นอุปสัมบัน ควรให้ฉิบทายเสีย: แม้ขอบวชอีก ก็ไม่ควรให้บวช. และ
เพื่อไม่งมงายในเถยยสังวาสกาธิการนี้ พึงทราบบทปกิณณกะนี้ว่า:-
ชนใดถือเพศในพระศาสนานี้ เพราะราชภัย ทุพภิกขภัย กันตารภัย
โรคภัย และเวรีภัยก็ดี เพื่อจะนำจีวรมาก็ดี ชนนั้นมีใจบริสุทธิ์ยังไม่รับสังวาส
เพียงใด ชนนั้นบัณฑิตยังไม่กล่าวว่า เป็นคนเถยยสังวาส เพียงนั้น.
พึงทราบนัยพิสดารในคาถานั้น ดังนี้:-
พระราชาในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้กริ้วต่อบุรุษบางคน. บุรุษนั้นคิดว่า
ความสวัสดีจักมีแก่เราด้วยอุบายอย่างนี้ แล้วถือเพศเอาเองทีเดียวหนีไป. ชน
ทั้งหลายพบเขาแล้ว กราบทูลแด่พระราชา. พระราชาทรงบรรเทาความกริ้ว
โกรธในเขาเสีย ด้วยทรงพระดำริว่า ถ้าบวชแล้ว เราไม่ได้เพื่อจะทำอะไร
เขา แต่เขายังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ แต่ถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา ด้วยคิดว่า
ราชภัยของเราสงบแล้ว ภิกษุทั้งหลายควรให้บวช. ถ้าแม้เขาเกิดความสังเวช
ว่า เราอาศัยพระศาสนาจึงคงชีวิตไว้ได้ เอาเถิด บัดนี้เราจะบวชละ ดังนี้
มาด้วยเพศนั้นเอง แต่ไม่ยินดีอาคันตุกวัตรอันภิกษุทั้งหลายถามแล้วก็ตาม ไม่
ถามก็ตาม ได้ชี้แจงคนตามเป็นจริงแล้ว ขอบรรพชา: ภิกษุทั้งหลายพึงปลด
เพศแล้วจึงไห้บวช. แต่ถ้าเขายินดีวัตร แสดงท่าทางดังบรรพชิด ปฏิบัติวิธี
ต่าง ๆ โดยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด ผู้นี้ไม่ควร
ให้บวช.
อนึ่ง คนบางตนในโลกนี้ ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้ในคราวทุพภิกขภัย
จึงถือเพศเอาเอง บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อนักบวชผู้เจ้าลัทธิทั้งปวง ครั้น

314
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 315 (เล่ม 6)

ทุพภิกชภัยผ่านพ้นไปแล้ว ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ ต่อถือเพศคฤหัสถ์แล้ว
จึงมา คำว่าดังนี้ทั้งหมด เช่นกับด้วยคำซึ่งกล่าวมาก่อนนั่นแล.
อีกคนหนึ่ง เป็นผู้ใคร่จะข้ามกันดารใหญ่ และพ่อค้าเกวียน ย่อม
พาบรรพชิตทั้งหลายไป. เขาคิดว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ พ่อค้าเกวียนจักพาเรา
ไป จึงถือเพศเอาเอง ร่วมกับพ่อค้าเกวียนข้ามทางกันดารถึงส่วนอันเกษม แต่
ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ ต่อถือเพศคฤหัสถ์แล้ว จึงมา คำว่าดังนี้ทั้งปวง เช่น
กับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล.
อีกคนหนึ่ง เมื่อภัยคือโรคเกิดขึ้น ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้จึงถือเพศ
เอาเอง บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้เพื่อนักบวชผู้เจ้าลัทธิทั้งปวง. เมื่อภัยคือโรค
สงบแล้ว ยังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ก่อน แต่เมื่อถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา
คำว่าดังนี้ทั้งหมด เป็นเช่นกับคำซึ่งว่ามาก่อนนั่นแล.
คนคู่เวรคนหนึ่งของบุรุษอีกคนหนึ่ง เป็นผู้โกรธปองจะฆ่าเขาเทียว
ไป เขาคิดว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ ความสวัสดีจักมีแก่เรา จึงถือเพศเอาเอง
แล้วหนีไป คนผู้คู่เวร สืบหาอยู่ว่า เขาไปไหน ได้ยินว่า เขาบวชแล้ว
หนีไป จึงบรรเทาความโกรธในเขาเสีย ด้วยคิดว่า เขาบวชแล้ว เราก็ทำ
อะไรเขาไม่ได้ เขายังมิได้เข้าสู่ท่ามกลางสงฆ์ก่อน ถือเพศคฤหัสถ์แล้วจึงมา
ด้วยคิดว่า เวรีภัยของเราสงบแล้ว คำว่าดังนี้ทั้งหมด เป็นเช่นกับคำซึ่งว่ามา
ก่อนนั่นแล.
อีกคนหนึ่งไปสู่สกุลญาติ ลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์แล้ว มาทำในใจว่า
จีวรเหล่านี้จักฉิบหายเสียที่นี่; ถ้าแม้เราจักถือไปวิหารด้วยเพศคฤหัสถ์นี้ ใน

315
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 316 (เล่ม 6)

ระหว่างทาง ชนทั้งหลายจักจับเราว่า เป็นโจร อย่ากระนั้นเลย เราพึงทำให้
เป็นของอันกายพึงรักษาไว้ จึงไปเถิด ดังนี้ เพื่อจะนำจีวรมา จึงนุ่งและห่ม
แล้วไปวัดที่อยู่ พวกสามเณรและภิกษุหนุ่มทั้งหลายเห็นเธอมาแต่ไกลแล้ว พา
กันตรงเข้าต้อนรับ แสดงวัตร. เธอไม่ยินดี ชี้แจงตนตามเป็นจริง. ถ้าภิกษุ
ทั้งหลายกล่าวว่า ที่นี้พวกเราจักไม่ปล่อยท่านไปละ เป็นผู้ใคร่จะให้บวชด้วย
พลการ เธออันภิกษุทั้งหลาย พึงเปลื้องผ้ากาสายะแล้ว จึงให้บวชอีก. แต่ถ้า
เธอคิดว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่รู้ข้อที่เราเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลวแล้ว ดังนี้
จึงปฏิญญาความเป็นภิกษุนั้นเอง ปฏิบัติวิธีต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าว
แล้วในหนหลังทั้งหมดผู้นี้ไม่ควรให้บวช.
สามเณรโค่งอีกรูป ๑ ไปสู่สกุลญาติ สึกแล้ว เป็นผู้เบื่อหน่ายด้วย
การทำการงาน จึงคิดว่า บัดนี้เราจักเป็นสมณะอีกเทียว แม้พระเถระย่อมไม่
ทราบความที่เราสึกแล้ว จึงถือเอาบาตรและจีวรนั้นเองไปวิหาร ไม่บอกเนื้อ
ความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ปฏิญญาความเป็นสามเณร. ผู้นี้เป็นเถยยสังวาสก์
เหมือนกัน ย่อมไม่ได้บวช.
ถ้าแม้ในเวลาถือเพศเขามีความรำพึงอย่างนี้ว่า เราจักไม่บอกแก่ใครๆ
ดังนี้ แต่เขาไปวิหารแล้ว ย่อมบอก. ด้วยการถือ (เพศ) นั่นเอง เขาเป็นคน
เถยยสังวาสก์.
ถ้าแม้ในเวลาถือ (เพศ) เขามีความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักบอก แต่ไป
วิหารแล้ว ใครๆ ปราศรัยว่า ผู้มีอายุท่านไปไหนมา คิดว่า เดี๋ยวนี้ ชน
เหล่านี้ไม่รู้เรา จึงลวง ไม่บอก แม้ผู้นี้ก็ชื่อคนเถยยสังวาสก์แท้ พร้อมกับ
ทอดธุระว่า เราจักไม่บอก.

316
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 317 (เล่ม 6)

แต่ถ้าถึงในเวลาถือ (เพศ) เขามีความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักบอก แม้
ไปวิหารแล้ว ย่อมบอก; ผู้นี้ย่อมได้บรรพชาอีก.
ก็หรือว่า สามเณรหนุ่มอื่นอีก เป็นคนใหญ่ แต่โง่ไม่ฉลาด เธอ
สึกแล้วโดยนัยก่อนนั่นแล ไม่อยากทำกิจมีเฝ้าโคเป็นต้นในเรือนญาติทั้งหลาย
ให้เขานั้นนุ่งห่มผ้ากาสายะเหล่านั้นเอง แล้วให้ภาชนะหรือบาตรในมือขับออก
จากเรือนว่า เจ้าจงไปเป็นสมณะเถอะ. เขาไปวิหาร ภิกษุทั้งหลายไม่ทราบ
เขาเลยว่า ผู้นี้สึกแล้วบวชเอาเองอีก ทั้งตัวเองก็ไม่ทราบว่า ผู้ใดบวชอย่าง
นั้น ผู้นั้นย่อมเป็นคนที่ชื่อเถยยสังวาสก์.
ถ้าภิกษุทั้งหลายให้อุปสมบทเขาผู้มีกาลฝนครบ ๒๐ เขาก็เป็นอันอุป-
สมบทดีแล้ว. แต่ถ้าในเวลาที่คนยังเป็นอนุปสัมบันนั่นเอง เมื่อการวินิจฉัย
วินัยเป็นไปอยู่เขาได้ฟังว่า ผู้ใดบวชอย่างนั่น ผู้นั้นย่อมเป็นคนที่ชื่อเถยย-
สังวาสก์ เขาพึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าได้ทำอย่างนั้น ด้วยประการ
อย่างนี้ เขาย่อมได้บรรพชาอีก. ถ้าไม่บอกด้วยคิดว่า บัดนี้ใคร ๆ ไม่รู้เลย
พอทอดธุระเขาย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์.
ภิกษุลาสิกขาละเพศแล้วทำทุศีลกรรมก็ตาม ไม่ทำก็ตาม ปฏิบัติวิธี
ต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น ซึ่งกล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด; ย่อมเป็นคน
เถยยสังวาสก์.
ไม่ได้ลาสิกขา คงตั้งอยู่ในเพศของตน เสพเมถุน ใช้วิธีต่างด้วยนับ
พรรษาเป็นต้น ไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์. ย่อมได้เพียงบรรพชา. แต่ใน
อันธกอรรถกถาแก้ว่า ผู้นี้เป็นคนเถยยสังวาสก์ คำนั้น ไม่ควรถือเอา.

317
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 318 (เล่ม 6)

ภิกษุรูป ๑ ยังมีอุตสาหะ ในผ้ากาสายะ นุ่งผ้าขาว เสพเมถุน
แล้ว กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก ใช้วิธีทั้งปวงต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น แม้ภิกษุ
นี้ ย่อมไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์ ย่อมได้เพียงบรรพชา.
แต่ถ้าทอดธุระในผ้ากาสายะแล้ว นุ่งขาว เสพเมถุน กลับนุ่งผ้า
กาสายะอีก ใช้วิธีทั้งปวงต่างด้วยนับพรรษาเป็นต้น; เขาย่อมเป็นคนเถยย-
สังวาสก์.
สามเณรคงทั้งอยู่ในเพศของตน แม้ล่วงธรรมทำให้เป็นผู้มีใช่สมณะ
มีเมถุนเป็นต้นแล้ว ย่อมไม่เป็นคนเถยยสังวาสก์ ถึงหากว่ายังมีอุตสาหะในผ้า
กาสายะ แต่เปลื้องออกเสียเสพเมถุนแล้ว กลับนุ่งผ้ากาสายะอีก; ไม่เป็นคน
เถยยสังวาสก์เหมือนกัน,
แต่ถ้าทอดธุระในผ้ากาสายะแล้วเป็นผู้เปลือย หรือนุ่งขาวเป็นผู้มีใช่
สมณะด้วยการเสพเมถุนเป็นต้น แล้วกลับนุ่งผ้ากาสาวะ เขาเป็นคนเถยย-
สังวาสก์.
ถ้าสามเณรปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ จึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ ทำผ้า
กาสายะโจงกระเบนก็ดี ด้วยอาการอย่างอื่นก็ดี เพื่อลองดูว่า เพศคฤหัสถ์
ของเราสวยหรือไม่สวย ยังรักษาอยู่ก่อน, แต่ยอมรับว่าสวยแล้วกลับยินดีเพศอีก
ย่อมเป็นคนเถยยสังวาสก์. แม้ในการนุ่งขาวลองดูและยอมรับ ก็มีนัยเหมือนกัน
นั่นแล.
และถ้านุ่งขาวทับผ้ากาสายะที่นุ่งอยู่แล้ว ลองดูก็ตาม ยอมรับก็ตาม
ยังรักษาอยู่แท้. แม้แห่งภิกษุณี ก็นัยนี้แล.
แม้นางภิกษุณีนั้น ปรารถนาจะเป็นคฤหัสถ์ ถ้านุ่งผ้ากาสายะ อย่าง
คฤหัสถ์ เพื่อลองดูว่า เพศคฤหัสถ์ของเราจะสวยหรือไม่สวย ยังรักษาอยู่ก่อน
ถ้ายอมรับว่า สวย รักษาไว้ไม่ได้. ในการนุ่งขาวลองดูและยอมรับก็นัยนี้แล.

318
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 319 (เล่ม 6)

ส่วนผู้นุ่งขาวทับผ้ากาสายะที่นุ่งอยู่แล้ว จะลองดูก็ตาม ยอมรับก็ตาม
ยังรักษาอยู่แท้. ถ้าสามเณรบางรูปบวชภายแก่ ไม่นับพรรษา ไม่ต้องอยู่แม้
ในแถว มาทางข้างหนึ่ง เมื่อก้อนข้าวในลุ้งใหญ่เป็นต้น ซึ่งเขาเอาทัพพีตักขึ้น
สอดบาตรเข้าไปรับเอาไปเหมือนเหยี่ยวเฉี่ยวชิ้นเนื้อไปฉะนั้น ยังไม่เป็นคน
เถยยสังวาสก์. แต่เมื่อนับพรรษาภิกษุรับเอา จัดว่าเป็นคนเถยยสังวาสก์.
สามเณรเองแล เมื่อนับพรรษาโกงด้วยลำดับของสามเณรรับเอาไป
ยังไม่จัดเป็นเถยยสังวาสก์.
ภิกษุเมื่อนับพรรษาโกงด้วยลำดับของภิกษุรับเอาไป พึงปรับตามราคา
แห่งภัณฑะ.
อรรถกถาเถยยสังวาสกกถา จบ

319
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 320 (เล่ม 6)

อรรถกถาติตถิยาปักกันตกถา
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ติตฺถิยปกฺกนฺโต ภิกฺขเว เป็นต้นนี้
ดังนี้:-
กุลบุตรที่ชื่อว่าเข้ารีตเดียรถีย์ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าหลีกไป คือ
ไปเข้าพวกเดียรถีย์. กุลบุตรนั้นไม่ควรให้อุปสมบทอย่างเดียว แต่ที่แท้ไม่ควร
ให้บรรพชาด้วยฉะนั้นแล.
วินิจฉัยในคำนั้น พึงทราบดังต่อไปนี้:-
อุปสัมบันภิกษุคิดว่า เราจักเป็นเดียรถีย์ แล้วไปสู่สำนักแห่งเดียรถีย์
เหล่านั้น ทั้งเพศทีเดียว เป็นอาบัติทุกกฏทุก ๆ ย่างเท้า, เมื่อเพศแห่งเดียรถีย์
นั้น สักว่าอันตนถือเอาแล้ว ย่อมจัดว่าเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์.
แม้ภิกษุคิดว่า เราจักเป็นเดียรถีย์เอาเอง จึงนุ่งคากรองเป็นต้น
ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้ข้ารีตเดียรถีย์เหมือนกัน.
ฝ่ายภิกษุใดเมื่อเปลือยกายอาบน้ำแลดูตนว่า การที่เราเป็นอาชีวกจะ
งามหรือ เราจะเป็นอาชีวกละ ดังนี้แล้ว ไม่ถือเอาผ้ากาสายะ คงเปลือยกาย
ไปสู่สำนักพวกอาชีวก ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏทุก ๆ ย่างเท้า. แต่ถ้าใน
ระหว่างทาง หิริโอตตัปปะเกิดขึ้นแก่เธอ เธอแสดงอาบัติทุกกฏแล้ว ย่อมพ้น.
แม้ไปถึงสำนักพวกอาชีวกเหล่านั้นแล้ว ถูกพวกเขาตักเตือน หรือแม้
เห็นว่า บรรพชาของชนพวกนี้ เป็นทุกข์ยิ่งนัก แล้วกลับด้วยตนเอง ย่อมพ้น
ได้เหมือนกัน.
อนึ่ง ถ้าเธอถามว่า อะไรเป็นสูงสุดแห่งบรรพชาของพวกท่าน ?
อันเขาตอบว่า การถอนผมและหนวดเป็นต้น แล้วให้ถอนแม้ผมเส้นเดียว

320
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 321 (เล่ม 6)

ถือวัตรมีความเพียรด้วยความกระโหย่งเท้าเป็นต้นก็ดี นุ่งผ้าแววหางนกยูง
เป็นต้นก็ดี ชื่อว่า ถือเพศแห่งอาชีวกเหล่านั้น ชื่อว่ายอมรับความเป็นลัทธิ
ประเสริฐว่า บรรพชานี้ประเสริฐ เธอย่อมไม่พ้น จัดว่าเป็นผู้เข้ารีดเดียรถีย์.
อนึ่ง ถ้าเธอเพื่อจะลองดูว่า การบวชเป็นเดียรถีย์สำหรับเราจะงาม
หรือไม่งาม จึงนุ่งคากรองเป็นต้น หรือว่า ผูกชฎา หรือว่าฉวยหาบบริขาร
ยังไม่ยอมรับเพียงใด ลัทธิย่อมคุ้มเธอไว้เพียงนั้น ครั้นเมื่อเพศสักว่าเธอยอมรับ
แล้ว ย่อมจัดว่า เป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์.
ส่วนภิกษุผู้มีจีวรอันโจรชิงไป จึงนุ่งคากรองเป็นต้นก็ดี ถือเพศ
เดียรถีย์ เพราะภัยมีราชภัยเป็นต้นก็ดี หาจัดว่าเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์ไม่เลย
เพราะไม่มีลัทธิ.
แต่ในอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า ขึ้นชื่อว่า บุคคลผู้เข้ารีตเดียรถีย์นี้ ท่าน
กล่าวด้วยอุปสัมบันภิกษุ. เพราะเหตุนั้น สามเณรแม้ไปสู่ติตถายตนะแล้วพร้อม
ทั้งเพศ ย่อมได้บรรพชาและอุปสมบทอีก.
ส่วนคนเถยยสังวาสก์ข้างต้น ท่านว่าด้วยอนุปสัมบัน เพราะเหตุนั้น
อุปสัมบันแม้นับพรรษาโกง จะจัดว่าเป็นผู้มีใช่สมณะหามิได้ ภิกษุยังมีอุตสาหะ
ในเพศ แม้ต้องปาราชิกแล้ว นับพรรษาแห่งภิกษุเป็นต้น ก็ยังไม่จัดว่าเป็น
คนเถยยสังวาสก์.
อรรถกถาติตถิยปักกันตกถา จบ

321
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 322 (เล่ม 6)

เรื่องนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาบวช
[๑๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล นาคตัวหนึ่งอึดอัดระอา เกลียดกำเนิดนาค
จึงนาคนั้นได้มีความดำริว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากกำเนิดนาค
และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ พระพฤติ
พรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากเราจะพึงบวชใน
สำนักพระสมณะ เชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้ เราก็จะพ้นจากกำเนิด
นาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็น
ชายหนุ่ม แล้วเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชา .
อุปสมบท สมัยต่อมา พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูป ๑
ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรีภิกษุรูปนั้น ตื่นนอนแล้วออกไปเดินจงกรมอยู่ใน
ที่แจ้ง ครั้นภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด วิหารทั้งหลัง
เต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ครั้นภิกษุรูปนั้นผลักบานประตูด้วย
ทั้งใจจักเข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงู เห็นขนดยื่นออกไปทาง
หน้าต่าง ก็ตกใจ จึงร้องเอะอะขึ้น.
ภิกษุทั้งหลายพากัน วิ่งเข้าไปแล้วได้ถามภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ท่าน
ร้องเอะอะไปทำไม.
ภิกษุรูปนั้นบอกว่า อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู
ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง.
ขณะนั้นพระนาคนั้น ได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะ
ของตน.

322
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 323 (เล่ม 6)

ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ท่านเป็นใคร ?
น. ผมเป็นนาค ขอรับ.
ภิ. อาวุโส ท่านได้ทำเช่นนี้ เพื่อประสงค์อะไร ?
พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบ
ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วได้ทรงประทานพระพุทโธวาทนี้
แก่นาคนั้นว่า พวกเจ้าเป็นนาค มีความไม่งอกงามในธรรมวินัยนี้ เป็นธรรมดา
ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์
นั้นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์
เร็วพลัน ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า คนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้
เป็นธรรมดา ก็เสียใจหลั่งน้ำตา ส่งเสียงดังแล้วหลีกไป.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค มี ๒ ประการนี้ คือ เวลา
เสพเมถุนธรรมกับนางนาค ผู้มีชาติเสมอกัน ๑ เวลาวางใจนอนหลับ ๑ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุไม่พึงให้
อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

323