No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 274 (เล่ม 6)

องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
๑. รู้จักอาบัติ.
๒. รู้จักอนาบัติ.
๓. รู้จักอาบัติเบา.
๙. รู้จักอาบัติหนัก และ
๕. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสัย
อยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
[๑๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ จะไม่ถือนิ
สัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ.
๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ
และ
๖. มีพรรษาหย่อน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.

274
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 275 (เล่ม 6)

องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
คือ:-
๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ.
๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ และ
๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสัย
อยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา.
๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ.
๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ.
๔. เป็นผู้เกียจคร้าน.
๕. เป็นผู้มีสติฟันเฟือน และ
๖. มีพรรษาหย่อน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.

275
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 276 (เล่ม 6)

องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
๑. เป็นผู้มีศรัทธา.
๒. เป็นผู้มีหิริ.
๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร.
๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น และ
๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสัย
อยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล.
๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาระ.
๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง.
๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย.
๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม และ
๖. มีพรรษาหย่อน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.

276
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 277 (เล่ม 6)

องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
คือ:-
๑. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล.
๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาระ.
๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ. ในทิฏฐิยิ่ง.
๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก.
๕. เป็นผู้มีปัญญา และ
๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสัย
อยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ไม่ได้ คือ:-
๑. ไม่รู้จักอาบัติ.
๒. ไม่รู้จักอนาบัติ.
๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา.
๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก.
๕. เธอจาปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดี โดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี
ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุ คะ โดยอนุพยัญชนะ
และ

277
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 278 (เล่ม 6)

๖. มีพรรษาหย่อน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
๑. รู้จักอาบทะ
๒. รู้จักอนาบัติ.
๓. รู้จักอาบัติเบา.
๔. รู้จักอาบัติหนัก.
๕ เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี
วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไว้ต้องถือนิสัย
อยู่.
เรื่องถือนิสัย จบ
อภยูวรภาณวาร จบ

278
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 279 (เล่ม 6)

อรรมกถาเรื่องให้ภิกษุถือนิสัย
บทว่า อิตฺตโร มีความว่า การอยู่ประมาณน้อย คือ ๒-๓ วัน
เท่านั้น จักมี.
บทว่า โอคเณน ได้แก่มีพวกลดไป, อธิบายว่า ภิกษุสงฆ์มีประมาณ
ในข้อว่า อพฺยตฺเตน ยาวชีวํ นี้ มีวินิจฉัยว่า ถ้าภิกษุผู้ไม่ฉลาด
นี้จะไม่ได้อาจารย์ที่แก่กว่าไซร้, เธอจะเป็นผู้มีพรรษา ๖๐ หรือมีพรรษา ๗๐
ด้วยอุปสมบท เธอพึงนั่งกระโหย่งประณมมือกล่าว ๓ ครั้งอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ
ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ๆ จักอาศัยท่านอยู่ ดังนี้ ถือนิสัยในสำนัก
ของภิกษุแม้อ่อนกว่า แต่เป็นผู้ฉลาด ภิกษุนั้นแม้เมื่อจะลาเข้าบ้าน พึงจะนั่ง
กระโหย่งประณมมือกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ผมลาเข้าบ้าน ในการอำลาทุกอย่าง
ก็นัยนี้ ก็ในหมวด ๕ และหมวด ๖ ในอธิการนี้ สูตรเท่าที่ภิกษุผู้พ้นนิสัยแล้ว
พึงปรารถนา ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในวรรณนาแห่งภิกขุโนวาทกสิกขาบท บัณฑิต
พึงทราบว่าเป็นอัปปสุตบุคคล เพราะข้อที่สูตรนั้นไม่มี และเป็นพหุสุตบุคคล
เพราะข้อที่สูตรนั้นมี คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว นั่นแล.
อรรถกถาเรื่องให้ภิกษุถือนิสัย จบ

279
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 280 (เล่ม 6)

ทายัชชภาณวาร
พระราหุลกุมารทรงผนวชเป็นสามเณร
[๑๑๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์
ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครกบิลพัสดุ์ เสด็จเที่ยวจาริก
โคยลำดับถึงพระนครกบิลพัสดุ์แล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ นิโคร-
ธาราม เขตพระนครกบิลพัสดุ์ สักกชนบทนั้น ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวร เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่พระราช
นิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนศากยะ ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์
ที่เขาปูลาดถวาย ครั้งนั้นพระเทวีราหุลมารดาได้มีพระเสาวนีแก่ราหุลกุมารว่า
ดูก่อนราหุล พระสมณะนั้นเป็นบิดาของเจ้า เจ้าจงไปทูลขอทรัพย์มรดกต่อ
พระองค์ จึงราหุลกุมารเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นถึงแล้วได้ประทับ
ยืนเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ
พระฉายาของพระองค์เป็นสุข ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอุฏฐาการ
จากพระพุทธอาสน์แล้วกลับไป จึงราหุลกุมารได้ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ไปเบื้องหลัง ๆ พลางทูลขอว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอได้โปรดประทานทรัพย์
มรดกแก่หม่อมฉัน ข้าแด่พระสมณะ ขอได้โปรดประทานทรัพย์มรดกแก่
หม่อมฉัน .
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส เรียกท่านพระสารีบุตรมารับสั่งว่า
ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้ราหุลกุมารบวช.
ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะให้ราหุลกุมารทรงผนวช
อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า ?

280
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 281 (เล่ม 6)

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตรเป็นสามเณรด้วยไตรสรณคมน์.
วิธีให้บรรพชา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงให้กุลบุตรบวชอย่างนี้:-
ชั้นต้น พึงให้โกนผมและหนวด แล้วให้ครองผ้าย้อมฝาค ให้ห่มผ้า
เฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระโหย่ง ให้ประคองอัญชลี แล้ว
สั่งว่า จงว่าอย่างนี้ แล้วสอนให้ว่าสรณคมน์ดังนี้:-
ไตรสรณคมน์
พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง
สงฺฆํ สรณํ คจฺจามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ทุติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

281
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 282 (เล่ม 6)

ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๒
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พี่ง แม้ครั้งที่ ๓
ตติยมปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๓
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่ ๓
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการบวชกุลบุตรเป็นสามเณรด้วยไตร
สรณคมน์นี้.
คราวนั้น ท่านพระสารีบุตร ให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว .
พระเจ้าสุทโธทนศากยะทูลขอพระพร
ต่อมา พระเจ้าสุทโธทนศากยะเข้าไปเป้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นถึง
แล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นท้าวเธอประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลขอพระพรต่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่าหม่อมฉัน ขอประทานพรต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าสักอย่าง
หนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าถวายพระพรว่า ดูก่อนพระองค์ผู้โคตมะ ตถาคต
ทั้งหลายมีพรล่วงเลยเสียแล้ว.
สุท. หม่อมฉันทูลขอพรที่สมควรและไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. พระองค์โปรดตรัสบอกพรนั้นเถิด โคตมะ.
สุท. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชแล้ว ความทุกข์ล้นพ้นได้
บังเกิดแก่หม่อมฉัน เมื่อพ่อนันทะบวชก็เช่นเดียวกัน เมื่อพ่อราหุลบรรพชา

282
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 283 (เล่ม 6)

ทุกข์ยิ่งมากล้น พระพุทธเจ้าข้า ความรักบุตรย่อมตัดผิว ครั้นแล้ว ตัดหนัง
ตัดเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก แล้วดังอยู่จรดเยื่อในกระดูก หม่อมฉันขอประทาน
พระวโรกาสพระคุณเจ้าทั้งหลายไม่พึงบวชบุตรที่บิดามารดายังมิไค้อนุญาต
พระพุทธเจ้าข้า.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้พระเจ้าสุทโธทนศากยะทรง
เห็นแจ้ง ทรงสมาทาน ทรงอาจหาญ ทรงร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เมื่อพระเจ้า
สุทโธทนะศากยะ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน
อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากพระที่ ถวายบังคมพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับ.
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเหตุเพราะเป็น
เค้ามูลนั้น ไนเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาต ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช
ต้องอาบัติทุกกฏ.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์ตามพระ
พุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จเที่ยวจาริกโดยลำดับ
ถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น.
เรื่องทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาดมีสามเณรมากรูปได้
[๑๑๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระสารีบุตร ส่ง
เด็กชายไปในสำนักท่านพระสารีบุตร ด้วยมอบหมายว่า ขอพระเถระโปรด
บรรพชาเด็กคนนี้ ทีนั้น ท่านพระสารีบุตรได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

283