No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 264 (เล่ม 6)

ดังนี้ ชื่อว่า ทาสยืมไม่ควรให้เขาบวช. บุรุษใดเป็นทาสไม่มีนาย บุรุษแม้
นั้นอันภิกษุให้เป็นไทก่อนจึงควรให้บวช. ภิกษุไม่ทราบให้บรรพชาหรืออุป-
สมบทแล้ว จึงทราบภายหลัง ควรทำให้เป็นไทเหมือนกัน. และเพื่อประกาศ
เนื้อความข้อนี้ พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวเรื่องนี้ว่า:-
ดังได้ยินมา นางกุลทาสีคนหนึ่ง กับบุรุษคนหนึ่ง หนีจากอนุราธบุรี
ไปอยู่ในโรหนชนบท มีบุตรคนหนึ่ง. บุตรนั้นในเวลาที่บรรพชาอุปสมบท
แล้ว เป็นภิกษุลัชชีมักรังเกียจ. ภายหลังวันหนึ่ง เธอถามมารดาว่า อุบายสิกา
พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงของท่านไม่มีหรอกหรือ ? ฉันจึงไม่เห็นญาติไร ๆ เลย
มารดาตอบว่า พ่อคุณ ฉันเป็นกุลทาสิ ในอนุราธบุรี หนีมาอยู่ที่นี่กับบิดาของ
คุณ ภิกษุผู้มีศีล ได้ความสังเวชว่า ได้ยินว่าบรรพชาของเราไม่บริสุทธิ์ จึง
ถามมารดาถึงชื่อและโคตรของสกุลนั้นแล้วมายังอนุราธบุรี ได้ ยืนที่ประตูเรือน
ของสกุลนั้น. เธอถึงเขาบอกว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดเจ้าข้า ?. ก็ยังไม่เลย
ไป. พวกเขาจึงพากันมาถามว่า มีธุระอะไรขอรับ ? เธอจึงถามว่า นางทาสี
ชื่อนี้ของพวกท่านซึ่งหนีไปมีไหม ? มีขอรับ ฉันเป็นบุตรนางทาสี นั้น ถ้าพวก
ท่านอนุญาตให้ฉัน ฉันจะบวช พวกท่านเป็นนายของฉัน. พวกเขาเป็นผู้
รื่นเริงยินดี ยกเธอเป็นไทว่า บรรพชาของท่านบริสุทธิ์ขอรับ แล้วนิมนต์
ให้อยู่ในมหาวิหารบำรุงด้วยปัจจัย ๔ พระเถระอาศัยสกุลนั้นอยู่เท่านั้น ได้บรรลุ
พระอรหัต.
อรรถกถาทาสวัตถุกถา จบ

264
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 265 (เล่ม 6)

เรื่องตายเพราะอหิวาตกโรค
สามเณรบรรพชา
[๑๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลหนึ่งได้ตายลง เพราะอหิวาตกโรค
ตระกูลนั้นเหลืออยู่แต่พ่อกับลูก คนทั้งสองนั้นบวชในสำนักภิกษุแล้ว เที่ยว
บิณฑบาตด้วยกัน ครั้น เมื่อเขาถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้เป็นบิดา สามเณรน้อยก็
ได้วิ่งเข้าไปกล่าวว่าข้าแต่พ่อ ขอพ่อจงให้แก่ลูกบ้าง จงให้แก่ลูกบ้าง.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสาย
ศากยบุตรเหล่านี้มิใช่ผู้พระพฤติพรหมจรรย์ สามเณรน้อยรูปนี้ชะรอยเถิด
แต่ภิกษุณี ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
อยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็ก
ชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
เด็กชายตระกูลอุปัฏฐากบรรพชา
[๑๑๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระอานนท์มี
ศรัทธาเลื่อมใส ได้ตายลงเพราะอหิวาตกโรค เหลืออยู่แต่เด็กชายสองคน เด็ก
ชายทั้งสองเห็นภิกษุทั้งหลาย จึงวิ่งเข้าไปหาด้วยกิริยาที คุ้นเคยแต่ก่อนมา ภิกษุ
ทั้งหลายไล่ไปเสีย เด็กชายทั้งสองนั้นเมื่อถูกภิกษุทั้งหลายไล่ก็ร้องไห้ จึงท่าน
พระอานนท์ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ มิให้บวชเด็กชาย
มีอายุหย่อน ๑๕ ปี ก็เด็กชายทั้งสองคนนี้มีอายุหย่อน ๑๕ ปี ด้วยวิธีอะไรหนอ
เด็กชายสองคนนี้จึงจะไม่เสื่อมเสีย ดังนี้ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถานว่า ดูก่อนอานนท์ เด็กชายสองคนนั้น
อาจไล่กาได้ไหม ?.
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า อาจ พระพุทธเจ้าข้า.

265
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 266 (เล่ม 6)

ลำคับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตให้บวชเด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี แต่สามารถไล่กาได้.
เรื่องสามเณรของท่านพระอุปนนท์
[๑๑๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนนทศากยบุตรมีสามเณรอยู่ ๒
รูปคือสามเณรกัณฏกะ ๑ สามเณรมหกะ ๑ เธอทั้งสองประทุษร้ายกันและกัน
ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสามเณรทั้งสองจึงได้
ประพฤติอนาจารเห็นปานนั้นเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
รูปเดียวไม่พึงให้สามเณร ๒ รูปอุปัฏฐาก รูปใดให้อุปัฏฐาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
อรรถกถาภัณฑุกัมมกถา
บทว่า กมฺมากณฺฑุ ได้แก่ลูกช่างทอง ซึ่งมีศีรษะโล้นไว้แหยม
มีคำอธิบายว่า เด็นรุ่นมีผม ๕ แหยม.๑
ข้อว่า สงฺฆํ อปโลเกตุํ ภณฺฑิกมฺมาย มีความว่า เราอนุญาต
ให้ภิกษุบอกเล่าสงฆ์เพื่อประโยชน์แก่ภัณฑุกรรม. อาปุจฉนวิธี ในภัณฑุ-
กรรมาธิการนั้น ดังนี้ . พึงนิมนต์ภิกษุทั้งหลายผู้นับเนืองในสีมาให้ประชุมกัน
แล้ว นำบรรพชาเปกขะไปในสีมานั้นแล้ว บอก ๓ ครั้งหรือ ๒ ครั้ง หรือ
ครั้งเดียว ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าบอกภัณฑุกรรมของเด็กนี้กะสงฆ์. อนึ่ง
ในอธิการว่าด้วยการปลงผมนี้ จะบอกว่า ข้าพเจ้าบอกภัณฑุกรรมของเด็กนี้
ดังนี้ก็ดี ว่า ข้าพเจ้าบอกสมณกรณ์ของทารกนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ทารกนี้อยากบวช
๑. ตามนัยโยชนา ภาค ๒ หน้า ๒๐๒ ควรจะแปลว่า บทว่า กมมารภณฺฑุ ได้แก่ชายศีรษะ
โล้น
ลูกนายช่างทอง มีคำอธิบายว่า เด็กรุ่นบุตรนายช่างทอง มีผมอยู่ ๕ แหยม. (ตุลาธาโร ก็
คือ
สุวณฺณกาโร). ส่วนปาฐะว่า กมฺมารภณฺฑุ ในพระบาลีนั้น แปลเอาความว่า บุตรนายช่าง
ทอง
ศีรษะโล้น (วินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ หน้า ๑๕๖).

266
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 267 (เล่ม 6)

ดังนี้ก็ดี ควรทั้งนั้น. ถ้าสถานแห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันมีอยู่ คือโอกาสเป็นที่
กำหนดปรากฏว่า ภิกษุ ๑๐ รูปหรือ ๒๐ หรือ ๓๐ รูป อยู่ด้วยกัน จะไปสู่
โอกาสที่ภิกษุเหล่านั้นยืนแล้ว หรือโอกาสที่นั่งแล้วบอกเล่าโดยนัยก่อนนั้นเอง
ก็ได้. แม้จะวานพวกภิกษุหนุ่มหรือเหล่า สามเณรแต่เว้นบรรพชาเปกขะเสีย
ให้บอกโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านเจ้าข้า มีบรรพชาเปกขะอยู่คนหนึ่ง พวกผม
บอกภัณฑุกรรมของเขา ดังนี้ ก็ควร ถ้าภิกษุบางพวกเข้าสู่เสนาสนะ หรือพุ่ม
ไม้เป็นต้น หลับอยู่ก็ดี ทำสมณธรรมอยู่ก็ดี ฝ่ายภิกษุสามเณรผู้บอกเล่า แม้
เที่ยวตามหาก็ไม่พบ จึงมีความสำคัญว่า เราบอกหมดทุกรูปแล้ว ขึ้นชื่อว่า
บรรพชาเป็นกรรมเบา เพราะเหตุนั้น บรรพชาเปกขะนั้นบวชแล้ว เป็นอัน
บวชด้วยดีแท้ ไม่เป็นอาบัติแม้เก่อุปัชฌย์ผู้ให้บวช. แต่ถ้าวัดที่อยู่ใหญ่เป็น
ที่อยู่ของภิกษุหลายพัน ถึงจะนิมนต์ก็ภิกษุทั้งหมดให้ประชุมก็ทำได้ยาก ไม่จำ
ต้องกล่าวถึงบอกเล่าตามลำดับ ต้องอยู่ในขัณฑสีมา หรือไปสู่แม้น้ำ หรือ
ทะเลเป็นต้นแล้วจึงให้บวช. ฝ่ายผู้ใดเป็นคนโกนผมใหม่ หรือสึกออกไป
หรือเป็นคนใดคนหนึ่ง ในพวกนักบวชมีนิสครนถ์เป็นต้น มีผมเพียง ๒ องคุลี
หรือหย่อนกว่า ๓ องคุลี กิจที่จะต้องปลงผมของผู้นั้นไม่มี เพราะเหตุนั้น
แม้จะไม่บอกภัณฑุกรรม ให้บุคคลเช่นนั้นบวช ก็ควร. ฝ่ายผู้ใดมีผมยาวเกิน
๒ องคุลี โดยที่สุดแม้ไว้ผมเพียงแหยมเดียว ผู้นั้น ภิกษุต้องบอกภัณฑกรรม
ก่อนจึงให้บวชได้ อุบาลิวัตถุมีนัยกล่าวแล้วในมหาวิภังค์นั่นแล.
อรรถกถาภัณฑุกัมกถา จบ
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ
บทว่า อหิวาตกโรเคน ได้แก่ มารพยาธิ. จรึงอยู่โรคนั้นเกิดขึ้น
ในสกุลใด สกุลนั้นพร้อมทั้งสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าย่อมวอควายหมด. ผู้ใดทำลาย
ฝาเรือนหรือหลังคาหนีไป หรือไปอยู่ภายนอกบ้านเป็นต้น ผู้นั้นจึงพ้น. ฝ่าย

267
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 268 (เล่ม 6)

บิดากับบุตรในสกุลนี้ ก็พ้นแล้วด้วยประการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระธรรม
สังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า บิดากับบุตรยังเหลืออยู่ ดังนี้ .
บทว่า กากุฑฺฑปกํ มีความว่า เด็กใดถือก้อนดินด้วยมือซ้ายนั่งแล้ว
อาจเพื่อจะไล่กาทั้งหลายซึ่งพากันมาให้บินหนีไปแล้วบริโภคอาหารซึ่งวางไว้ข้าง
หน้าได้ เด็กนี้จัดว่าผู้ไล่กาไป จะให้เด็กนั้นบวช ก็ควร.
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ จบ
เรื่องถือนิสัย
[๑๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในพระนครราช-
คฤห์นั้นแล ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษติเตียน
โพนทะนาว่า ทิศทั้งหลาย คับแคบมืดมนแก่พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร
ทิศทั้งหลายไม่ปรากฏแก่พระสมณะพวกนี้ ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดู
ก่อนอานนท์เธอจงไปไขดาลบอกภิกษุทั้งหลายในบริเวณวิหารว่า อาวุโสทั้ง
หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาจะเสด็จจาริกทักขิณาคีรีชนบท ท่าน
ผู้ใดมีความประสงค์ท่านผู้นั้นจงมา.
ท่านพระอานนท์รับสนองพระพุทธบัญชาแล้ว ไขดาลแจ้งแก่ภิกษุทั้ง
หลายในบริเวณวิหารว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาจะ
เสด็จจาริกทักขิณาคีรีชนบท ท่านผู้ใดมีความประสงค์ ท่านผู้นั้นจงมา.
ภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส อานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงบัญญัติให้ภิกษุถือนิสัยอยู่ตลอด ๑๐ พรรษา และให้ภิกษุมีพรรษาได้ ๑๐
ให้นิสัย พวกผมจักต้องไปในทักขิณาคีรีนั้น จักต้องถือนิสัยด้วย จักพักอยู่
เพียงเล็กน้อยก็ต้องกลับมาอีก และจักต้องกลับถือนิสัยอีก ถ้าพระอาจารย์ ของ
พวกผมไป แม้พวกผมก็จักไป หากท่านไม่ไป แม้พวกผมก็จักไม่ไป อาวุโส
อานนท์ ความที่พวกผมมีใจเบาจักปรากฏ.

268
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 269 (เล่ม 6)

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกทักขิณาคีรีชนบท กับภิกษุสงฆ์
มีจำนวนน้อย ครั้นพระองค์เสด็จอยู่ ณ ทักขิณาคีรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์
แล้ว เสด็จกลับมาสู่พระนครราชคฤห์อีกตามเติม และพระองค์ตรัสเรียกท่าน
พระอานนท์มาสอบถามว่า ดูก่อนอานนท์ ตถาคตจาริกทักขิณาคีรีชนบท กับ
ภิกษุสงฆ์มีจำนวนน้อย เพราะเหตุไร จึงท่านพระอานนท์กราบทูลความเรื่อง
นั้นให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ.
พระพุทธานุญาตให้ถือสัย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้า
มูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ ถือนิสัยอยู่ ๕ พรรษา
และให้ภิกษุผู้ไม่ฉลาดถือนิสัยอยู่ตลอดชีวิต.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
[๑๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอะเสขะ.
๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และ
๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.

269
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 270 (เล่ม 6)

องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ:-
๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และ
๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือ
นิสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา.
๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ.
๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ.
๔. เป็นผู้เกียจคร้าน และ
๕. เป็นผู้มีสติฟันเฟือน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัยอยู่
ไม่ได้.

270
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 271 (เล่ม 6)

องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ:-
๑. เป็นผู้มีศรัทธา.
๒. เป็นผู้มีหิริ.
๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ.
๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร และ
๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบไม่ด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือ
นิสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล.
๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาระ.
๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง.
๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย และ
๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.

271
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 272 (เล่ม 6)

องค์ ๕ แห่งภิกษุไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
๑. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล.
๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาระ.
๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง.
๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก และ
๕. เป็นผู้มีปัญญา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสัย
อยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. ไม่รู้จักอาบัติ.
๒. ไม่รู้จักอนาบัติ.
๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา.
๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ
๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดี โดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี
ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัย
อยู่ ไม่ได้.

272
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 273 (เล่ม 6)

องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่
๑. รู้จักอาบัติ.
๒. รู้จักอนาบัติ.
๓. รู้จักอาบัติเบา.
๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดี โดยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี
วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสัย
อยู่.
ห องค์ ๕ แห่งภิกษุต้องถือนิสัย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือ
นิสัยอยู่ ไม่ได้ คือ:-
๑. ไม่รู้จักอาบัติ.
๒. ไม่รู้จักอนาบัติ.
๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา.
๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ
๕. มีพรรษาหย่อน ๕.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสัยอยู่
ไม่ได้.

273