No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 254 (เล่ม 6)

ห้ามบวชคนมีหนี้
[๑๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ลูกหนี้คนหนึ่งหนีบวชในสำนักภิกษุ พวก
เจ้าทรัพย์พบแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือลูกหนี้ของพวกเราคนนั้น ถ้า
กะไรพวกเราจงจับมัน.
เจ้าทรัพย์บางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้
เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช. ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า
กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น
ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จง
ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ-
ศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้
คนมีหนี้บวชเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความเรื่องนั้นแด่พระผู้พระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับ สั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน
มีหนี้ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวชต้องอาบัติทุกกฏ.
อรรถกถาอิณายิกวัตถุกถา
ในคำว่า น ภิกฺขเว อิณายิโก เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า หนี้ที่
บิดาและปู่ของบุรุษใด กู้เอาไปก็ดี หนี้ที่บุรุษใดกู้เองก็ดี ทรัพย์บางอย่าง ที่
มารดาบิดามอบบุตรใดไว้เป็นประกันแล้ว ลืมเอาไปก็ดี บุรุษนั้นชื่อว่าลูกหนี้
บุรุษนั้นต้องรับหนี้นั้นของชนเหล่าอื่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าลูกหน แต่ญาติ

254
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 255 (เล่ม 6)

อื่น ๆ มอบบุตรใดไว้เป็นประกัน แล้วยืมทรัพย์บางอย่างไป บุรุษนั้นไม่จัด
ว่าเป็นลูกหนี้. เพราะว่าญาติอื่น ๆ นั้น ไม่เป็นใหญ่ที่จะอบบุรุษนั้นไว้เป็น
ประกันได้, เพราะเหตุนั้น จะให้บุรุษนั้นบวช สมควรอยู่. จะให้บุรุษนอกจาก
นี้บวช. ไม่ควร. แต่ถ้าญาติสายโลหิตทั้งหลายของเขารับใช้หนี้แทนว่า พวก
ข้าพเจ้าIจักรับใช้ ขอท่านโปรดให้บวชเถิด หรือว่าชนอื่นบางคนเห็นอาจาร-
สมบัติของเขาแล้วกล่าวว่า ขอท่านจงให้เขาบวชเถิด ข้าพเจ้าจะใช้หนี้แทน
ดังนี้ สมควรให้บวชได้. เมื่อเข้าในที่ใด ให้ฆ่าเสียในที่นั้น ดังนี้ อย่างเดียว
หามิได้ โดยที่แท้ผู้ใดผู้หนึ่งกระทำโจรกรรมหรือความผิดในพระราชาอย่าง
หนักชนิดอื่นแล้วหนีไป และพระราชารับสั่งให้เขียนผู้นั้นลงในหนังสือหรือใบ
ลานว่า ผู้มีชื่อนี้ ใครพบเข้าในทีใด พึงจับเสียในที่นั้น หรือว่า พึงตัดอวัยวะ
มีมือและเท้าเป็นต้นของมันเสีย หรือว่าพึงให้นำมาซึ่งสินไหมมีประมาณเท่านี้
ผู้นี้ชื่อผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้. ผู้นั้นไม่ควรให้บวช.
ในคำว่า กสาทโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า ผู้ใดไม่ยอม
ทำการมีให้การและยอมรับใช้เป็นต้น จึงถูกลงอาชญา, ผู้นั้นไม่นับว่าผู้ถูกลง
ทัณฑกรรม. ฝ่ายผู้ใดรับเก็บทรัพย์บางอย่าง โดยเป็นส่วย หรือโดยประการ
อื่นแล้วกินเสีย เมื่อไม่สามารถจะใช้คืนให้ จึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายว่า นี้แล จง
เป็นสินไหมของเจ้า ผู้นี้ชื่อผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย ถูกลงทัณฑกรรม. ก็แลเขา
จะถูกเฆี่ยนด้วยหวายหรือถูกดัวยไม้ค้อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม จงยก
ไว้, แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. ต่อกระทำแผลทั้งหลายให้
กลับเป็นปกติแล้วจึงควรให้บวช.
อนึ่ง ถ้าผู้ใดถูกเขาทำร้ายด้วยเข่าหรือด้วยศอก หรือด้วยผลมะพร้าว
และก้อนหินเป็นต้นแล้วปล่อยไป และบวมโนในร่างกายของผู้นั้นยังปรากฏอยู่

255
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 256 (เล่ม 6)

ไม่ควรให้บวช. ผู้นั้นกระทำให้หายแล้ว เมื่อบวมโนอย่างนั้นยุบราบไปแล้ว
ควรให้บวช.
ในคำว่า ลกฺณาหโต ตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า ข้อที่
ญาติสายโลหิตเหล่านั้นไม่มี ภิกษุพึงบอกแก่อุปัฏฐากเห็นปานนั้นก็ได้ว่า ผู้นี้
เป็นบุคคลมีกุศลกรรมเป็นเหตุ แต่บวชไม่ได้เพราะกังวลด้วยหนี้. ถ้าเขารับจัด
การ พึงให้บวช. ถ้าแม้กัปปิยภัณฑ์ของตนมี พึงตั้งใจว่า เราจักเอากัปปิย-
ภัณฑ์นั้น ใช้ให้ แล้วให้บวช. แต่ถ้าชนทั้งหลายมีญาติเป็นต้น ไม่รับจัดการ
ทรัพย์ของตนก็ไม่มี ไม่สมควรให้บวช ด้วยทำโนใจว่า เราจักให้บวชแล้วจัก
เที่ยวภิกษาเปลื้องหนี้ให้. ถ้าให้บวช ต้องทุกกฏ. แม้บุรุษนั้นหนีไป ภิกษุนั้น
ก็ต้องนำมาคืนให้. ถ้าไม่คืนให้ หนี้ทั้งหมดย่อมเป็นสินใช้. เมื่อภิกษุไม่ทราบ
ให้บวชไม่เป็นอาบัติ. แต่เมื่อพบปะเข้าต้องนำมาคืนให้แก่พวกเจ้าหนี้. ไม่เป็น
สินใช้แก่ภิกษุผู้ไม่พบปะ. หากบุรุษผู้เป็นลูกหนี้ไปประเทศอื่นแล้ว แม้เมื่อภิกษุ
ได้ถามก็ตอบว่า ผมไม่ต้องรับหนี้ ไร ๆ ของใคร ๆ แล้วบวช ฝ่ายเจ้าหนี้เมื่อ
สืบเสาะหาตัวเขา จึงไปโนประเทศนั้น. ภิกษุหนุ่มเห็นเจ้าหนี้นั้นเข้าจึงหนีไปเสีย
เขาเข้าไปหาพระเถระ ร้องเรียนว่า ท่านขอรับ ภิกษุรูปนี้ใครให้บวช ? เธอยืม
ทรัพย์มีประมาณเท่านี้ ของผมแล้วหนีไป พระเถระพึงตอบว่า อุบายสก เธอบอก
ว่าผมไม่มีหนี้สิน ฉันจึงให้บวช. บัดนี้ฉันจะทำอย่างไรเล่า ? ท่านจงเห็นสิ่งของ
มาตรว่า บาตรจีวรของฉันเถอะ นี้เป็นสามีจิกรรมในข้อนั้น. และเมื่อภิกษุ
นั้นหนีไป สินใช้ย่อมไม่มี. แต่ถ้าเจ้าหนี้พบภิกษุนั้น ต่อหน้าพระเถระเทียว
แล้วกล่าวว่า ภิกษุนี้เป็นลูกหนี้ของผม พระเถระพึงตอบว่า ท่านจงรู้ลูกหนี้
ของท่านเอาเองเถิด แม้อย่างนี้ย่อมไม่เป็นสินใช้ ถ้าแม้เขากล่าวว่า บัดนี้
ภิกษุนี้บวชแล้วจักไปไหนเสีย พระเถระจึงตอบว่า ท่านจงรู้เองเถิด แม้อย่าง

256
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 257 (เล่ม 6)

นี้ เมื่อภิกษุนั้นหนีไป ย่อมไม่เป็นสินใช้แก่พระเถระนั้น. แต่ถ้าพระเถระ
กล่าวว่า บัดนี้ ภิกษุนี้จักไปไหนเสีย เธอจงอยู่ที่นี้แหละ ถ้าภิกษุนั้นหนีไป
ต้องเป็นสินใช้. ถ้าเธอเป็นผู้มีกุศลกรรมเป็นเหตุถึงพร้อมด้วยวัตร. พระเถระ
พึงกล่าวว่า ภิกษุนี้ เป็นเช่นนี้. ถ้าเจ้าหนี้ยอมสละว่า ดีละ ข้อนี้เป็นอย่างนี้
ได้เป็นการดี. ก็ถ้าเขาตอบว่า ขอท่านจงใช้ให้เล็กน้อยเถิด พระเถระพึงใช้ให้.
ต่อสมัยอื่น ภิกษุนั้นเป็นผู้ยังพระเถระให้พอใจยิ่งขึ้น แม้เมื่อเจ้าหนี้เขาทวง
ว่า ท่านจงใช้ทั้งหมด พระเถระควรใช้ให้แท้. และถ้าเธอเป็นผู้ฉลาดใน
อุทเทสแลปริปุจฉาเป็นต้น มีอุปการะมากแก่ภิกษุทั้งหลาย พระเถระจะพึง
แสวงหาด้วยภิกษาจารวัตรก็ได้ ใช้หนี้ เสียเถิด ฉะนี้แล.
อรรถกถาอิณายิกวัตถุกถา จบ

257
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 258 (เล่ม 6)

ห้ามบวชทาส
[๑๐๙] ก็โดยสมัยนั่นแล ทาสดนหนึ่งหนีไปบวชในสำนักภิกษุ พวก
เจ้านายพบเข้าจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือทาสของพวกเราคนนั้น ถ้ากระไร
พวกเราจงจับมัน.
เจ้านายบางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้
เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า
กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น
ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว จง
ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ-
ศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้
ทาสบวชเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คน
เป็นทาส ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฎ.
ทรงอนุญาตการปลงผม
[๑๑๐] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรช่างทองศีรษะโล้นคนหนึ่ง ทะเลาะ
กับมารดาบิดา แล้วไปอารามบวชในสำนักภิกษุ ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขา
สืบหาเขาอยู่ ได้ไปอารามถามภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทั้งหลายเห็น
เด็กชายมีรูปร่างเช่นนี้บ้างไหม ?
บรรดาภิกษุพวกที่ไม่รู้เลยตอบว่า พวกอาตมาไม่รู้ พวกที่ไม่เห็น
เลยตอบว่า พวกอาตมาไม่เห็น.

258
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 259 (เล่ม 6)

ครั้นมารดาบิดาของเขาสืบหาอยู่ ได้เห็นเขาบวชแล้ว ในสำนักภิกษุ
จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านั้น
ช่างไม่ละอาย เป็นคนทุศีล พูดเท็จ รู้อยู่แท้ ๆ บอกว่าไม่รู้ เห็นอยู่ชัด ๆ
บอกว่าไม่เห็น เด็กคนนี้บวชแล้วในสำนักภิกษุ ภิกษุทั้งหลายได้ยินมารดา
บิดาของบุตรช่างทองศีรษะโล้นนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
อนุญาตให้อปโลกน์ต่อสงฆ์ เพื่อการปลงผม.
พวกเด็กชายสัตตรสวัคคีย์บวช
[๑๑๑] ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์มีเด็กชายพวกหนึ่ง ๑๗ คน
เป็นเพื่อนกัน เด็กชายอุบาลีเป็นหัวหน้าของเด็กพวกนั้น ครั้งนั้น มารดา
บิดาของเด็กชายอุบาลีได้หารือกันว่า ด้วยวิธีอะไรหนอ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับ
ไปแล้วเจ้าอุบาลีจะอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก ครั้นแล้วหารือกันต่อไป
ว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงเรียนหนังสือ ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับ
ไปแล้วเจ้าอุบาลีจะพึงอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก แล้วหารือกันต่อไปอีก
ว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนหนังสือ นิ้วมือก็จักระบม ถ้าเจ้าอุบาลีเรียนวิชาคำนวณ
ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีจะพึงอยู่เป็น
สุข และไม่ต้องลำบาก ครั้นต่อมาจึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชา
คำนวณเขาจักหนักอก ถ้าจะพึงเรียนวิชาดูรูปภาพ ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ
เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีก็จะพึงอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก
ครั้นต่อมา จึงหารือกันอีกว่าถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาดูรูปภาพ นัยน์ตาทั้งสอง

259
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 260 (เล่ม 6)

ของเขาจักชอกช้ำ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปรกติเป็นสุข
มีความพระพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้าเจ้า
อุบาลีจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีนี้แหละ เมื่อ
เราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก.
เด็กชายอุบาลีได้ยินถ้อยคำที่มารดาบิดาสนทนาหารือกัน ดังนี้ จึงเข้า
ไปหาเพื่อนเด็กเหล่านั้น ครั้นแล้วได้พูดชวนว่า มาเถิดพวกเจ้า พวกเราจัก
พากันไปบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร.
เด็กชายเหล่านั้นพูดว่า ถ้าเจ้าบวช แม้พวกเราก็จักบวชเหมือนกัน.
เด็กชายเหล่านั้นไม่รอช้า ต่างคนต่างก็เข้าไปหามารดาบิดาของตน ๆ
แล้วขออนุญาตว่า ขอท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้ข้าพเจ้า ออกจากเรือนบวช
เป็นบรรพชิตเถิด.
มารดาบิดาของเด็กชายเหล่านั้นก่อนุญาตทันที ด้วยติดเห็นว่า เด็ก
เหล่านั้นต่างก็มีฉันทะร่วมกัน มีความมุ่งหมายดีด้วยกัน ทุกคน.
เด็กพวกนั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายให้
พวกเขาบรรพชาอุปสมบท.
ครั้นปัจจุสมัยแห่งราตรี ภิกษุใหม่เหล่านั้น ลุกขึ้นร้องไห้ วิงวอนว่า
ขอท่านทั้งหลายจงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว.
ภิกษุทั้งหลายพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย จงขอให้ราตรีสว่างก่อน
ถ้าข้าวต้มมี จักได้ดื่ม, ถ้าข้าวสวยมี จักได้ฉัน, ถ้าของเคี้ยวมี จักได้เคี้ยว.
ถ้าข้าวต้มข้าวสวย หรือของเดียวไม่มี ต้องเที่ยวบิณฑบาตฉัน ภิกษุใหม่
เหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลาย แม้กล่าวอยู่อย่างนี้แล ก็ยังร้องไห้วิงวอนอยู่อย่าง
นั้นแลว่า จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว ถ่ายอุจจาระรดบ้าง
ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง ซึ่งเสนาสนะ.

260
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 261 (เล่ม 6)

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่มบรรทมในปัจจุสสมัยแห่งราตรี ทรงได้ยิน
เสียงเด็ก ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า ดูก่อนอานนท์ นั่น
เสียงเด็ก หรือ ?
จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายรู้อยู่ ให้บุคคลผู้มีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบท จริงหรือ ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉน
โมฆบุรุษพวกนั้นรู้อยู่ จึงได้ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบทเล่า. ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี เป็นผู้ไม่อดทนต่อ เย็น ร้อน หิว
ระหาย เป็นผู้มีปรกติไม่อดกลั้นต่อสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์
เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนา
ทางกายที่เกิดขึ้นแล้วอันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ
อันอาจนำชีวิตเสียได้ ส่วนบุคคลมีอายุ ๒๐ ปี ย่อมเป็นผู้อดทนต่อ เย็นร้อน
หิว ระหาย เป็นผู้มีปรกติอดกลั้นต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แด สัตว์
เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนา
ทางกายที่เกิดขึ้นแล้ว อันกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ
อันอาจนำชีวิตเสียได้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้น
นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใส่ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . . ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี
อุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้องปรับธรรม.

261
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 262 (เล่ม 6)

อรรถกถาทาสวัตถุกถา
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ทาโส นี้ว่า ทาสมี ๔ จำพวกคือ
ทาสเกิดภายใน ๑ ทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์ ๑ ทาสที่เขานำมาเป็นเชลย ๑
บุคคลที่ยอมเป็นทาสเอง ๑ ในทาส ๔ จำพวกนั้น ลุกนางะทาสีในเรือน
เป็นทาสโดยกำเนิด ชื่อว่าทาสเกิดภายใน. บุตรที่เขาช่วยมาจากสำนัก
มารดาก็ดี ทาสที่เขาช่วยมาจากสำนักนายเงินก็ดี บุคคลที่เขาใช้ทรัพย์แทน
แล้วยกขึ้นสู่จารีตแห่งทาสถ่ายเอาไปก็ดี ชื่อว่าทาสทีช่วยมาด้วยทรัพย์. ทาส
ทั้งสองจำพวกนี้ไม่ควรให้บวช เมื่อจะให้บวช ต้องทำให้เป็นผู้มิใช่ทาสด้วย
อำนาจจารีสตในที่ชนบทนั้น ๆ แล้ว จึงควรให้บวช. ทาสที่ชื่อว่าเขานำมาเป็น
เชลย คือ พระราชาทั้งหลายทรงทำการรบนอกแว่นแคว้น หรือรับสั่งให้เกลี้ย
กล่อมกวาดต้อนเอาทั้งหมู่มนุษย์ซึ่งเป็นไททั้งหลาย มาจากภายนอกแว่นแคว้น
ก็ดี พระราชารับสั่งให้ริบบ้านบางตำบล ซึ่งกระทำผิดภายในแว่นแคว้นนั่นเอง
ราชบุรุษทั้งหลายกวาดต้อนทั้งหมู่มนุษย์มาจากบ้านตำบลนั้นก็ดี ในหมู่มนุษย์
เหล่านั้น ผู้ชายทั้งหมดเป็นทาส ผู้หญิงทั้งหมดเป็นทาสี บุคคลเห็นปานนี้
จัดเป็นทาสซึ่งเจ้านำมาเป็นเชลย. ทาสนี้ เมื่ออยู่ในสำนักชนทั้งหลายผู้นำตน
มา หรือถูกขังไว้ไนเรือนจำ หรืออันบุรุษทั้งหลายควบคุมอยู่ ไม่ความให้บวช.
แต่ขาหนีไปแล้ว พึงให้บวชในที่ซึ่งเขาไปได้. ครั้นเมื่อพระราชาทรงพอ
พระหฤทัย ทรงทำการปลดจากจำโดยตรัสว่า จงปล่อยพวกทาสที่นำมาเป็น
เชลย หรือโดยนัยเป็นสรรพสาธารณ์ พึงให้บวชเถิด. บุคคลที่ยอมตัวเป็น
ทาสเองทีเดียวว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของท่าน ดังนี้ เพราะเหตุแห่งชีวิตก็ตาม
เพราะเหตุแห่งความคุ้มครองก็ตาม ชื่อว่าผู้ยอมเป็นทาสเองเหมือนคนเลี้ยงช้าง

262
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 263 (เล่ม 6)

ม้า โค และกระบือเป็นต้น ของพระราชาทั้งหลาย ทาสเช่นนั้นไม่ควรให้
บวช. บุตรทั้งหลายของเหล่านางวัณณทาสีของพระราชา เป็นเช่นดั่งบุตร
อำมาตย์. ถึงบุตรเหล่านั้นก็ไม่ควรให้บวชเหมือนกัน. เหล่าหญิงซึ่งเป็นไท
แต่ไม่มีใครคุ้มห้าม จึงเที่ยวไปกับพวกนางวัณณทาสี จะให้บุตรทั้งหลายของ
หญิงเหล่านั้นบวชก็ควร. หากพวกหญิงเหล่านั้นขึ้นทะเบียนเสียเอง ไม่สมควร
ให้บุตรทั้งหลายของหญิงเหล่านั้นบวช ถึงพวกทาสของคณะทั้งหลายมีคณะ
ภัททิปุตตกะเป็นต้น ซึ่งคณะชนเหล่านั้นไม่ยอมให้ก็ไม่ควรให้บวช. ขึ้นชื่อ
ว่าทาสสำหรับอาราม ซึ่งพระราชาพระราชทานไว้ในวัดทั้งหลาย บรรดามี จะ
ให้ทาสแม้เหล่านั้นบวช ย่อมไม่สมควร แต่ช่วยให้เป็นไทแล้วให้บวช สมควร
อยู่. ในมหาปัจจรีอรรถกถาแก้ว่า ชนทั้งหลายนำทาสเกิดภายในและทาสที่
ช่วยมาด้วยทรัพย์ มาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ข้าพเจ้าถวายอารามิกทาส ทาส
เหล่านั้นย่อมเป็นเช่นกับทาสที่เขาราดเปรียงบนศีรษะนั่นแหละ จะให้บวชก็
ควร. ส่วนอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า เขาถวายด้วยกัปปิยโวหารว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ถวายอารามิกทาส ทาสนั้น อันเขาถวายแล้ว ด้วยโวหารอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม
ที ไม่ควรให้บวชแท้ พวกคนเข็ญใจ คิดว่า จักอาศัยพระสงฆ์เลี้ยงชีพ จึง
เป็นกัปปิยการกอยู่ในวัดที่อยู่ จะให้คนเข็ญใจเหล่านั้นบวช ควรอยู่. บิดา
มารดาของบุตรใดเป็นทาส หรือมารดาเท่านั้นเป็นทาสี บิดาไม่เป็นทาส ไม่
ควรให้บุรุษนั้นบวช. ญาติหรืออุปฐากของภิกษุถวายทาสว่า ขอท่านจงให้
บุรุษนี้บวช เขาจักทำความขวนขวายแก่ท่าน หรือว่า ทาสส่วนตัวของภิกษุนั้น
มีอยู่ ทาสนี้ภิกษุทำให้เป็นไทเสียก่อนแล้ว จึงควรให้บวช. ในอรรถกถากุรุนที
แก้ว่า พวกนายถวายทาสว่าขอท่านจงให้บุรุษนี้บวช ถ้าเขาจักยินดียิ่งใน
ในศาสนา, เขาจักไม่เป็นทาส ถ้าเขาจักสึก เขาจักคงเป็นทาสของพวกข้าพเจ้า

263