No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 244 (เล่ม 6)

เรื่องราชภัฏบวช
[๑๐๒] ก็โดยสมัยนั้นแล เมืองปลายเขตแดงของพระเจ้าพิมพิสาร
จอมเสนามาคธราชเกิดจลาจล ครั้งนั้น ท้าวเธอจึงมีพระบรมราชโองการสั่ง
พวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกองว่า ดูก่อนพนาย ท่านทั้งหลายจงไปปรับ
ปรุงเมืองปลายเขตแดงให้เรียบร้อย พวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกอง
กราบทูลรับสนองพระบรมราชโองการพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชว่า
ขอเดชะ พระพุทธเจ้าข้า ครั้งนั้น เหล่าทหารบรรดาที่มีชื่อเสียงได้มีความ
ปริวิตกว่า พวกเราพอใจในการรบ พากันไปทำบาปกรรม และประสพกรรมมิ
ใช่บุญมาก ด้วยวิธีอย่างไรหนอ พวกเราพึงงดเว้นจากบาปกรรม แลทำแต่
ความดี ดังนี้ และได้มีความปริวิตกต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
เหล่านี้แล เป็นผู้พระพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติในพรหมจรรย์
กล่าวคำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรมถ้าแลพวกเราจะพึงบวชในสำนักพระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีอย่างนี้พวกเราก็จะพึงเว้นจากบาปกรรม และทำ
แต่ความดี ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลาย
ให้พวกเขาบรรพชาอุปสมบทแล้ว.
พวกjหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกองถามพวกราชภัฏว่า แน่ะพนาย
ทหารผู้มีชื่อนี้ และมีชื่อนี้ หายไปไหน.
พวกราชภัฏเรียนว่า นาย ทหารผู้มีชื่อนี้และมีชื่อนี้ บวชในสำนัก
ภิกษุแล้ว ขอรับนาย.
พวกมหาอำมาตย์ผู้เป็นแม่ทัพนายกอง จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า ไฉนเหล่าพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ให้ราชภัฏบวชเล่า แล้ว
กราบบังคมทูลความเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช.

244
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 245 (เล่ม 6)

จึงท้าวเธอได้ตรัสถามมหาอำมาตย์ผู้พิพากษาว่า ดูก่อนพนาย ภิกษุ
รูปใด ให้ราชภัฏบวช ภิกษุรูปนั้น จะต้องโทษสถานไร.
คณะมหาอำมาตย์ผู้พิพากษากราบทูลว่า ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้า
ปกกระหม่อม พระอุปัชฌายะต้องถูกตัดศีรษะ พระอนุสาวนาจารย์ต้องถูกดึง
ลิ้นออกมา พระคณะปูรกะต้องถูกหักซี่โครงแถบทนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า.
จึงท้าวเธอเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นถึงแล้วจึงถวายบังคมพระผู้-
มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลขอประทาน
พรต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า มีอยู่ พระพุทธเจ้าข้า พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลาย
ที่ไม่มีศรัทธาไม่ทรงเลื่อมใสจะพึงเบียดเบียนภิกษุทั้งหลาย แม้ด้วยกรณีเพียง
เล็กน้อย หม่อมฉันขอประทานพระวโรกาส พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหลายไม่พึงให้ราชภัฏบวช ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้พระ
เจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงเห็นแจ้ง ทรงสมาทาน ทรงอาจหาญ ทรง
ร่าเริงด้วยธรรมีกถา ครั้นท้าวเธออันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจง ให้ทรงเห็น
แจ้งทรงสมาทาน ทรงอาจหาญ ทรงร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจาก
พระที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จกลับ .
ทรงห้ามบวชราชภัฏ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้า
มูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ราชภัฏภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.

245
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 246 (เล่ม 6)

อรรถกถาราชภัฏวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องราชภัฏต่ออไป:-
สองบทว่า ปจฺจนฺตํ ยุจฺจินเถ มีความว่า ท่านทั้งหลายจงยังปัจจันต
ชนบทให้เจริญ มีคำอธิบายว่า ท่านทั้งหลายจงขับไล่พวกโจรเสียแล้ว จัดแจง
บ้านที่พ้นโจรภัยแล้วให้ราบคาบ จัดการรักษาโดยกวดขัน ให้การกสิกรรมเป็น
ต้นเป็นไป. ฝ่ายพระราชาเพราะพระองค์เป็นพระโสดาบัน จึงไม่ทรงบังคับว่า
จงฆ่า จงประหารพวกโจร. พวกอำมาตย์ซึ่งเป็นหมอกฎหมาย คิดว่า ใน
บรรพชา อุปัชฌาย์เป็นใหญ่ รองไปอาจารย์ รองลงไปคณะ จึงพากันกราบ
ทูลคำทั้งปวงมีอาทิ ว่า ขอเดชะ พึงให้ตัดศีรษะอุปัชฌาย์เสีย ด้วยติดเห็นว่า
นี้มาในข้อวินิจฉัยแห่งกฎหมาย.
ในข้อว่า น ภิกฺขเว ราชภโฏ ปพฺพาเชตพฺโพ นี้ มีวินิจฉัยว่า
จะเป็นอำมาตย์ หรือมหาอำมาตย์ หรือเสวกหรือผู้ได้ฐานันดรเล็กน้อย หรือ
ผู้ไม่ได้ก็ตามที บุคคลผู้ผู้หนึ่งซึ่งได้รับเลี้ยงด้วยอาหารหรือเบี้ยเลี้ยงของ
พระราชา ถึงความนับว่า ราชภัฏ ทั้งหมด ราชภัฏนั้นไม่ควรให้บวช. ฝ่าย
บุตรที่น้องชายและหลานชายเป็นต้น ของราชภัฏนั้น ไม่ได้รับอาหาหรือเบี้ย
เลี้ยงจากพระราชา จะให้ชนเหล่านั้นบวช ควรอยู่. ฝ่ายผู้ใดถวายโภคะประจำ
หรือเงินเดือนเบี้ยหวัดรายปี ซึ่งตนได้รับพระราชทาน คืนแด่พระ-
ราชา หรือให้บุตรและพี่น้องชายรับตำแหน่งนั้นแทน แล้วทูลลาพระราชาว่า
บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ได้รับเลี้ยงของเทวะแล้ว. หรือว่าอาหารและเบี้ยเลี้ยง ซึ่งผู้
ใดได้รับเพราะเหตุแห่งราชการใด. ราชการนั้นเป็นกิจอันตนทำเสร็จแล้ว หรือ
ผู้ใดเป็นผู้ได้บรมราชานุญาตว่า เจ้าจงบวช จะให้บุคคลแม้นั้นบวช ควรอยู่.
อรรถกถาราชภัฏวัตถุ จบ

246
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 247 (เล่ม 6)

ห้ามบวช
โจรที่ขึ้นชื่อโด่งดัง
[๑๐๓] ก็โดยสมัยนั้นแล โจรองคุลิมาลบวชในสำนักภิกษุ ชาวบ้าน
เห็นแล้วพากันหวาดเสียวบ้าง ตกใจบ้าง หนีไปบ้าง ไปโดยทางอื่นบ้าง เมิน
หน้าไปทางอื่นบ้าง ปิดประตูเสียบ้าง ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพน-
ทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้โจรที่ขึ้นชื่อโค่งดังบวช
เล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบ
ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจร
ที่ขึ้นชื่อโค่งดัง ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดไห้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
อภยูวรภาณวาร
ห้ามบวชโจรหนีเรือนจำ
[๑๐๔] ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้
ทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสาย
พระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดย
ชอบเถิด.
สมัยต่อมา บุรุษคนหนึ่งทำโจรกรรมแล้ว ถูกเจ้าหน้าที่จองจำไว้ใน
เรือนจำเขาหนีเรือนจำหลบไปบวชในสำนักภิกษุ คนทั้งหลายเห็นแล้วกล่าว
อย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือโจรหนีเรือนจำคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.

247
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 248 (เล่ม 6)

คนบางคนพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะ
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตร
เหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใคร ๆ
จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติ
พรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ-
ศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้
โจรผู้หนีเรือนจำบวชเล่า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพุระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจร
ผู้หนีเรือนจำ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฎ.
ห้ามบวชโจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับ
[๑๐๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งทำโจรกรรม แล้วหนีไปบวช
ในสำนักภิกษุ และบุรุษนั้นถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายประกาศไว้ทั่วราชอาณาจักร
ว่า พบในที่ใด พึงฆ่าเสียในที่นั้น คนทั้งหลายเห็นแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า
ภิกษุรูปนี้ คือโจรผู้ถูกออกหมายจับคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงฆ่ามันเสีย.
คนบางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะ
พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่า
ใด บวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใคร ๆ
จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติ
พรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ
ศากยบุตรเหล่านั้น มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใคร ๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้

248
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 249 (เล่ม 6)

โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับบวชเล่า ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โจร
ผู้ถูกออกหมายสั่งจับ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
ห้ามบวชบุรุษผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย
[๑๐๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย
บวชในสำนักภิกษุ ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระ
สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวายบวชเล่า
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษ
ผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
ห้ามบวชบุรุษผู้ถูกสักหมายโทษ
[๑๐๗] ก็โดยสมัยนั้นแลบุรุษคนหนึ่งถูกลงอาญาสักหมายโทษ บวช
ในสำนักภิกษุ ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะ
เชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษบวชเล่า ภิกษุทั้ง
หลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษ
ผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.

249
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 250 (เล่ม 6)

อรรถกถาโจรวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องโจรทั้งหลาย:-
สองบทว่า มนุสฺสา ปสฺสิตฺวา มีความว่า พระองคุลิมาลนั้น อัน
ชนเหล่าใดเคยเห็นในเวลาที่ท่านเป็นคฤหัสถ์ และชนเหล่าใดได้ฟังต่อชนเหล่า
อื่นว่า ภิกษุนี้ คือ องคุลิมาลนั้น ชนเหล่านั้น ไห้เห็นแล้ว ย่อมตกใจบ้าง ย่อม
หวาดหวั่นบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง. แต่ท่านย่อมได้ภิกษาในเรือนของเหล่าชน
ที่ไม่รู้จัก.
บทว่า น ภิกฺขเว มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เองเป็น
เจ้าของแห่งธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
เพื่อต้องการมิให้กระทำต่อไป จึงตรัสอย่างนั้น. วินิจฉัยในคำนั้นว่า โจรชื่อ
ว่าธชพันธะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่าดุจผูกธงเที่ยวไป. มีคำอธิบายว่า เป็นคน
โด่งดังในโลก เหมือนมูลเทพ๑ เป็นต้น. เพราะเหตุนั้นผู้ใดเที่ยวทำการฆ่าชาว
บ้านก็ดี รบกวนคนเดินทางก็ดี. ทำกรรมมีตัดที่ต่อเป็นต้นในเมืองก็ดี อนึ่ง
ผู้ใดอันชนทั้งหลายรู้จักกันแซ่ว่า คนชื่อโน้น ทำกรรมนี้ ๆ ผู้นั้นไม่ควรให้
บวช. ส่วนผู้ใดเป็นราชบุตร ปรารถนาจะเป็นพระราชากระทำกรรมมีฆ่าชาวบ้าน
เป็นต้น. ผู้นั้น ควรให้บวช. เพราะว่าเมื่อราชบุตรนั้นผนวชแล้ว พระราชา
ทั้งหลายย่อมพอพระหฤทัย แต่ถ้าไม่ทรงพอพระหฤทัย ไม่ควรให้บวช. โจร
๑. ในพระบาลีวินัยเป็น ธชพทฺโธ. ส่วนคำว่า มูลเทวาทโย โยชนาแก้อรรถว่า อาทิภูเทวาท
โย.
ธชพทฺโธ หมายความไปในทางมีชื่อเสียงโด่งดังทางเสีย อ้างว่า เหมือนมูลเทพเป็นต้น คำว่า
มูล
เทโว ทางสันสกฤต เป็นพระนามของท้าวกังสะ กษัตริย์ทรราชแห่งแคว้นมถุรา ทรงฆ่า
ทารกเสีย
มากมายก่ายกอง เพราะโหรทำนายว่า พระองค์จะถูกลูกชายของหญิงนางหนึ่งปลงพระ
ชนม์ ด้วย
ความร้ายกาจนี้เอง ประชาชนพลเมืองจึงเห็นว่าท้าวเธอเป็นอสูร เป็นยักษ์ เป็นมาร มูลเทโว

มาเป็นตัวอย่างในคำว่า มูลเทวาทโยนี้หรืออย่างไร ?

250
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 251 (เล่ม 6)

ซึ่งลือชื่อในมหาชนในกาลก่อน ภายหลังละโจรกรรมเสียสมาทานศีล ๕. ถ้า
หากชาวบ้านรู้จักเขาอย่างนั้น ควรให้บวช. ฝ่ายชนเหล่าใด เป็นผู้ลักของเล็ก
น้อยมีมะม่วงและขนุนเป็นต้น หรือเป็นโจรผู้ตัดที่ต่อเป็นต้น ทีเดียวแต่แอบ
แฝงทำการลัก ทั้งภายหลังก็ไม่ปรากฏว่า กรรมนี้ อันชนชื่อนี้ทำ จะให้ชน
เหล่านั้นบวช ก็ควร.
สองบทว่า การํ ภินฺทิตฺวา มีความว่า ทำลายเครื่องจำคือชื่อเป็นต้น.
ในบทว่า อภยูวรา นี้ มีวินิจฉัยว่า ชนเหล่าใดย่อมหลบทลีก เพราะ
ความกลัว เหตุนั้น ชื่อเหล่านั้น ชื่อ ภยูวรา ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว
ฝ่ายสมณะเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว เพราะเป็นผู้ได้รับอภัย
เพราะฉะนั้น จึงชื่อ อถยูวรา มิใช่ผู้หลบหนีเพราะความกลัว. ก็แลในบท
ว่า อภยูวรา นี้พึงทราบว่า อาเทส ป อักษรให้เป็น ว อักษร.
ในคำว่า น ภิกฺขเว การเภทโก นี้ มีวินิจฉัยว่า เรือนจำเรียก
ว่า การะ แต่ในอธิการนี้ เครื่องจำคือชื่อก็ดี เครื่องจำคือตรวนก็ดี เครื่อง
จำคือเชือกก็ดี ที่จำคือบ้านก็ดี ที่จำคือนิคมก็ดี ที่จำคือเมือง การควบคุม
ด้วยบุรุษก็ดี ที่จำคือชนบทก็ดี ที่จำคือทวีปก็ดี จงยกไว้. ผู้ใดทำลาย หรือ
ตัด หรือแก้ หรือเปิด เครื่องจำชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาเครื่องจำที่ที่จำ
เหล่านี้ หนีไปซึ่งหน้า หรือไม่มีคนเห็น ผู้นั้นถึงความนับว่า การเภทก ผู้
แหกเรือนจำ.
เพราะเหตุนั้น การเภทกโจรเหล่านี้ ทำลายที่จำคือทวีป ไปยังทวีปอื่น
แล้วก็ดี ไม่ควรให้บวช.
ฝ่ายผู้ใดที่มิใช่โจร แต่ไม่ยอมทำหัตกรรมอย่างเดียว ถูกอิสรชนทั้ง
หลายมีชุนส่วยของพระราชาเป็นต้น จองจำเองไว้ ด้วยหมายใจ เมื่อมีการจอง

251
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 252 (เล่ม 6)

จำไว้อย่างนี้ ผู้นี้จะหนีไม่ได้ จักทำการของเรา ดังนี้ ก็ดี ผู้นั้นแม้พำลายเครื่อง
จำหนีไป ก็ควรให้บวช.
ฝ่ายผู้ใดรับผูกขาดบ้าน นิคม และท่า เป็นต้น ด้วยส่วย ไม่ส่ง
ส่วยนั้นให้ครบ ถูกส่งไปยังเรือนจำ ผู้นั้นหนีมาแล้ว ไม่ควรให้บวช.
แม้ผู้ใดรวมเก็บทรัพย์ไว้ เลี้ยงชีวิตด้วยกสิกรรมเป็นต้น ถูกใคร ๆ
ส่อเสียดใส่โทษเอาว่า ผู้นี้ได้ขุมทรัพย์ แล้วถูกจองจำจะให้ผู้นั้นบวชในถิ่นนั้น
เอง ไม่ควร. แต่จะให้เขาซึ่งหนีไปแล้วบวชในที่ซึ่งไปแล้วทุกตำบล ควรอยู่.
ในข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว ลิขิตโก เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่าบุคคลที่
ชื่อว่าผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ จะได้แก่ผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ว่า พบเข้าในที่ใด ให้
ฆ่าเสียในที่นั้น ดังนี้ อย่างเดียวหามิได้ โดยที่แท้ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งกระทำโจรกรรม
หรือความผิดในพระราชาอย่างหนักชนิดอื่นแล้วหนีไป และพระราชารับสั่งให้
เขียนผู้นั้นลงในหนังสือหรือใบลานว่า ผู้มีชื่อนี้ ใครพบเข้าในที่ใด พึงจับฆ่า
เสียในที่นั้นหรือว่า พึงตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นของมันเสีย หรือว่า พึง
ให้นำมาซึ่งสินไหมมีประมาณเท่านี้ ผู้นี้ชื่อผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้. ผู้นั้นไม่ควร
ให้บวช.
ในคำว่า กสาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า ผู้ใดไม่ยอม
ทำการมีให้การและยอมรับใช้เป็นต้น จึงถูกลงอาชญา ผู้นั้นไม่นับว่าผู้ถูกลง
ทัณฑกรรม. ฝ่ายผู้ใดรับเก็บทรัพย์บางอย่าง โดยเป็นส่วน หรือโดยประการ
อื่นแล้วกินเสีย เมื่อไม่สามารถจะใช้คืนให้ จึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายว่า นี้แล จง
เป็นส้นไหมของเจ้า ผู้นี้ชื่อ ผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย ถูกลงทัณฑกรรม. ก็แล
เขาจะถูกเฆียนด้วยหวายหรือถูกด้วยไม้ค้อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม จง
ยกไว้ แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. ต่อกระทำแผลทั้งหลาย
ให้กลับเป็นปกติแล้วจึงควรให้บวช.

252
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 253 (เล่ม 6)

อนึ่ง ถ้าผู้ใดถูกเขาทำร้ายด้วยเข่าหรือด้วยศอก หรือด้วยผลมะพร้าว
และก้อนหินเป็นต้นแล้วปล่อยไป และบวนโนในร่างกายของผู้นั้นยังปรากฏอยู่
ไม่ควรให้บวช. ผู้นั้นกระทำให้หายแล้ว เมื่อบวมโนอย่างนั้นยุบราบไปแล้ว
ควรให้บวช.
ในคำว่า ลกฺขณาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า ข้อที่
เป็นผู้ลงทัณฑกรรม พึงทราบโดยนัยก่อนนั่นเเล. ก็รอยแผลเป็นซึ่งถูกนาบด้วย
เหล็กแดงมีที่หน้าผาก หรือที่อวัยวะ ทั้งหลาย มีอกเป็นต้น ของบุรุษใด ถ้า
บุรุษนั้นเป็นไท แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. ถ้าแม้แผลของ
เขาเป็นของงอกขึ้นเรียบเสมอกับผิวหนังแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังปรากฏอยู่ เมื่อ
เขานุ่งแล้วห่มผ้าเฉวียงบ่าปกปิดเรียบร้อยครบ ๓ ประการ ถ้ารอยแผลเป็นนั้น
อยู่ในโอกาสที่มิได้ปกปิด ไม่สมควรให้บวช.
อรรถกถาโจรวัตถุ จบ

253