No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 234 (เล่ม 6)

ข้อว่า ตตฺถ น ทกฺโข โหติ มีความว่า ไม่เป็นผู้ฉลาด คือ ฝึกหัด
เป็นอันดีในการงานใหญ่น้อยเหล่านั้น.
บทว่า อลโส ได้แก่ ไม่เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียร คือ ความ
หมั่น คือได้ฟังว่า การงานของภิกษุสงฆ์มี จึงทำภัตกิจแค่เช้าตรู่แล้วเข้าอยู่
ภายในห้อง หลับจนพอประสงค์แล้วออกมาในเวลาเย็น.
ข้อว่า ตตฺรุปายาย มีความว่า ซึ่งเป็นอุบายในการงานเหล่านั้น.
ข้อว่า วีมํสาย มีความว่า เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยปัญญาสำหรับ
พิจารณาซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน คือปัญญาที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดว่า นี่แลควรทำ
นี่แลไม่ควรทำ.
ข้อว่า น อลํ กาตุํ น อลํ สํวิธาตุํ มีความว่า ไม่เป็นผู้สามารถ
เพื่อจะทำแม้ด้วยมือตน ทั้งเป็นผู้ไม่สามารถเพื่อจะจัดการคือ ขอแรงกันและ
กันให้ทำด้วยปลูกความอุตสาหะให้เกิดอย่างนี้ว่า ลงมือกันเถอะครับ ลงมือ
เถอะพ่อหนุ่ม ลงมือเถอะสามเณร ถ้าพวกท่านจักไม่ทำ หรือพวกผมจักไม่ทำ
ที่นี้ใครเล่าจักทำการนี้. เมื่อพวกภิกษุพูดกันว่า พวกเราจักทำการ เขาย่อม
อ้างโรคบางอย่าง เมื่อพวกภิกษุกำลังทำการอยู่จึงเที่ยวไปใกล้ ๆ โผล่แต่ศีรษะ
ให้เห็น แม้ผู้นี้ก็จัดว่า เป็นผู้ไม่ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี.
ข้อว่า น ติพฺพจฺฉนฺโท มีความว่า ไม่เป็นผู้มีความพอใจรุนแรง.
บทว่า อุทฺเทเส ได้แก่ ในการเรียนบาลี.
บทว่า ปริปุจฺฉาย ได้แก่ ในการอธิบายความแห่งบาลี.
บทว่า อธิสีเล ได้แก่ ศีลคือปาฏิโมกข์.
บทว่า อธิจิตฺเต ได้แก่ ในการอบรมโลกิยสมาธิ.
บทว่า อธิปญฺญาย ได้แก่ ในการเจริญโลกุตตรมรรค.

234
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 235 (เล่ม 6)

สองบทว่า สงฺกนฺโต โหติ มีความว่า เป็นผู้มาเข้าศาสนานี้แล้ว.
สองบทว่า ตสฺส สตฺถุโน ได้แก่ ครูผู้เป็นเจ้าของลัทธิดังท่าข้าม
นั้น.
สองบทว่า ตสฺส ทิฏฺยา ได้แก่ ลัทธิซึ่งเป็นของครูนั้น. บัดนี้
ลัทธินั้นแล ท่านกล่าวว่า ความถูกใจ ความชอบใจ ความถือ ของครูผู้
เจ้าของลัทธินั้น เพราะเหตุว่า เป็นที่ถูกใจ เป็นที่ชอบใจ ของติตถกรนั้น
และอันติตถกรนั้น ถืออย่างมั่นว่า นี้เท่านั้นเป็นจริง เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า แห่งความถูกใจของครูนั้น แห่งความชอบใจของครูนั้น
แห่งความถือของครูนั้น.
สองบทว่า อวณฺเณ ภญฺญมาเน มีความว่า เมื่อคำติเตียนอัน
ผู้ใดผู้หนึ่งกล่าวอยู่.
บทว่า อนภิรทฺโธ ได้แก่ เป็นผู้มีความดำริบกพร่อง คือมีจิต
มิได้ประคองไว้.
บทว่า อุทคฺโค ได้แก่ เป็นผู้มีกายและจิตฟูยิ่งนัก.
ข้อว่า อิทํ ภิกฺขเว สงฺฆาตนิกํ อญฺญติตฺถิยปุพฺพสฺส อนา-
ราธนียสฺมึ มีความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่น ซึ่ง
เกิดแต่กายวิการและวจีวิการว่า ทำไมชนเหล่านั้นจึงติเตียนผู้อื่น ? ดังนี้ ในเมื่อ
เขากล่าวโทษแห่งครูนั้น และลัทธิแห่งครูนั้นนั่นเอง และความเป็นผู้มีใจ
แช่มชื่น ในเมื่อเขากล่าวโทษแห่งรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น. และความ
เป็นผู้มีใจแช่มชื่นทั้งไม่แช่มชื่น ในเมื่อเขาสรรเสริญคุณแห่งครูนั่นเองด้วย
แห่งรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นด้วย. ๓ ประการนี้ เป็นเครื่องสอบสวนใน
กรรมที่ไม่ชวนให้ภิกษุทั้งหลายยินดีของกุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์. มีคำ

235
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 236 (เล่ม 6)

อธิบายว่า อันนี้เป็นเครื่องหมาย อันนี้เป็นลักษณะ อันนี้เป็นความแน่นอน
อันนี้เป็นกำลัง อันนี้เป็นประมาณในกรรมซึ่งไม่ทำปริวาสวัตรให้เต็ม ไม่ยัง
ภิกษุทั้งหลายให้ยินดี.
ข้อว่า เอวํ อนาราธโก โข ภิกฺขเว อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ
อาคโต น อุปสมฺปาเทตพฺโพ มีความว่า กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
ซึ่งประกอบด้วยองค์เหล่านี้ แม้องค์เดียว ภิกษุไม่ควรให้อุปสมบท. คำทั้งปวง
ในฝ่ายขาว พึงทราบโดยความเพี้ยนจากที่กล่าวแล้ว.
ข้อว่า เอวํ อาราธโก โข ภิกฺขเว เป็นต้น มีความว่า กุลบุตร
ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดีให้พอใจด้วยการบำเพ็ญติตถิย-
วัตร ๘ ประการเหล่านี้ คือ เข้าบ้านไม่ผิดเวลากลับไม่สายนัก. ความเป็น
ผู้ใหญ่ไม่มีหญิงแพศยาเป็นต้น เป็นโคจร, ความเป็นผู้ขยันในกิจทั้งหลายของ
เพื่อนสพรหมจารี, ความเป็นผู้มีฉันทะแรงกล้าในอุทเทสเป็นต้น, ความเป็นผู้
มีใจแช่มชื่น ในเพราะติโทษพวกเดียรถีย์ร ความเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่น ใน
เพราะติโทษรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ความเป็นผู้มีใจไม่แช่มชื่น ใน
เพราะสรรเสริญคุณเดียรถีย์ ความเป็นผู้มีใจแช่มชื่น ในเพราะสรรเสริญคุณ
รัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น, อย่างนี้ มาแล้ว ควรให้อุปสมบทแต่ถ้าวัตร
อันหนึ่งทำลายเสีย แม้ในโรงอุปสมบท พึงอยู่ปริวาสครบ ๔ เดือนอีก. เหมือน
อย่างว่า สิกขาบทและสิกขาสมมติอันภิกษุณีสงฆ์ย่อมให้อีกแก่นางสิกขมานาผู้
เสียสิกขา ฉันใด, วัตรน้อยหนึ่งซึ่งจะพึงให้อีกแก่กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
นี้ ย่อมมีฉันนั้นหามิได้. ที่แท้ ปริวาสที่เคยให้แล้วนั้นแล เป็นปริวาสของ
เขา. เพราะเหตุนั้น เขาพึงอยู่ปริวาสครบ ๔ เดือนอีก. ถ้ากำลังอยู่ปริวาสยัง
สมาบัติ ๘ ให้เกิดได้ในระหว่างไซร้. ธรรมดาผู้ได้โลกิยธรรมยังกำเริบได้

236
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 237 (เล่ม 6)

เป็นแน่ จึงยังไม่ควรให้อุปสมบทแท้. แต่บำเพ็ญวัตรครบ ๔ เดือนแล้ว จึง
ควรให้อุปสมบท. และถ้ากำลังอยู่ปริวาสกำหนดมหาภูตรูป ๔ ได้. กำหนด
อุปาทายรูปได้, กำหนดนามรูปได้, เริ่มวิปัสสนายกขึ้นสู่ไตรลักษณ์. ธรรมดา
ผู้ได้โลกิยธรรม ยังกำเริบได้เป็นปกติ จึงยังไม่ควรให้อุปสมบทอยู่นั่นเอง.
แต่ถ้าเจริญวิปัสสนาแล้ว ได้โสดาปัตติมรรค วัตรเป็นอันบริบูรณ์แท้, ทิฏฐิ
ทั้งปวงเป็นอันเธอรื้อแล้ว, ลูกศรคือวิจิกิจฉาเป็นอันเธอถอนขึ้นแล้ว ควรให้
อุปสมบทในวันนั้นที่เดียว. ถ้าแม้เธอคงอยู่ในเพศเดียรถีย์ แต่เป็นโสดาบัน
กิจที่จะต้องให้ปริวาสย่อมไม่มี ควรให้บรรพชาอุปสมบทในวันนั้นแท้.
ข้อว่า อุปชฺฌายมูลกํ จีวรํ ปริเยสิตพฺพํ มีความว่า จีวรสำหรับ
เขา สงฆ์ควรมอบให้อุปัชฌาย์เป็นใหญ่แสวงหามา. ถึงบาตรก็เหมือนกัน.
เพราะเหตุนั้น ถ้าบาตรจีวรของอุปัชฌาย์มี พึงบอกอุปัชฌาย์ว่า จงให้แก่ผู้นี้.
ถ้าไม่มี ภิกษุเหล่าอื่นเป็นผู้อยากจะให้ แม้ภิกษุเหล่าอื่นนั้น พึงถวายอุปัชฌาย์
นั้นแลด้วยคำว่า จงทำบาตรจีวรนี้ให้เป็นของท่านแล้วให้แก่ผู้นี้. ถามว่า
เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะขึ้นชื่อว่าพวกเดียรถีย์ย่อมเป็นข้าศึก จะพึงพูด
ได้ว่า บาตรจีวร สงฆ์ได้ให้ผม ๆ มีอะไรเกี่ยวเนื่องในพวกท่าน ดังนี้แล้ว
ไม่ทำตามคำตักเตือนพร่ำสอน. แต่ว่า เพราะเขามีความเป็นอยู่เนื่องในอุปัชฌาย์
จึงจักเป็นผู้ทำตามคำของท่าน. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า จีวร
ของเขา พึงให้อุปัชฌาย์เป็นใหญ่แสวงหามา.
บทว่า ภณฺฑุกมฺมาย คือ เพื่อปลงผม. ภัณฑุกรรมกถา จักมา
ข้างหน้า.
บทว่า อคฺติกา ได้แก่ผู้บำเรอไฟ.
บทว่า ชฏิลกา ได้แก่ดาบส.

237
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 238 (เล่ม 6)

หลายบทว่า เอเต ภิกฺขเว กิริยวาทิโน มีความว่า ชฎิลเหล่านั้น
ไม่ค้านความกระทำ คือ เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า กรรมมี วิบากของกรรมมี. อัน
พระพุทธเจ้าทั้งปวงเมื่อจะทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ได้ทรงอาศัยบรรพชานั้น
นั้นแล แล้วจึงทรงบำเพ็ญพระบารมี. เนกขัมมบารมีนั้น ถึงเราก็ได้บำเพ็ญ
แล้วอย่างนั้นเหมือนกัน. การที่ชฎิลเหล่านี้บวชในศาสนาไม่เป็นข้าศึก เพราะ
เหตุนั้น จึงควรให้อุปสมบทได้ ไม่ต้องให้ปริวาสแก่พวกเขา.
ข้อว่า อิมาหํ ภิกฺขเว ญาตีนํ อาเวณิกํ ปริหารํ ทมฺมิ มี
ความว่า เราให้บริหารเป็นส่วนเฉพาะ คือ เป็นส่วนเจาะจงนี้แก่ญาติเหล่านั้น.
เหตุไรจึงตรัสอย่างนี้ ? อันพระญาติเหล่านั้น แม้บวชแล้วในสำนักแห่งเดียรถีย์
แต่ไม่เป็นผู้ใฝ่โทษแก่พระศาสนา. ยังคงเป็นผู้สรรเสริญคุณว่า ศาสนาแห่ง
พระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา เพราะเหตุนั้น จึงตรัสอย่างนั้น ฉะนี้แล.
อรรถกถาอัญญติตถิยาวัตถุกถา จบ

238
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 239 (เล่ม 6)

อันตรายิกธรรมกถา
โรค ๕ ชนิด
[๑๐๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ในมคธชนบทเกิดโรคระบาดขึ้น ๕ ชนิดคือ
โรคเรื้อน ๑ โรคฝี ๑ โรคกลาก ๑ โรคมองคร่อ ๑ โรคลมบ้าหมู ๑ ประชาชน
อันโรค ๕ ชนิดกระทบเข้าแล้ว ได้เข้าไปหาหมอชีวกโกมารภัจจ์ แล้วกล่าว
อย่างนี้ว่า ขอโอกาส ท่านอาจารย์ ขอท่านกรุณาช่วยรักษาพวกข้าพเจ้าด้วย.
ชี. เจ้าทั้งหลาย ฉันน่ะ มีกิจมาก มีงานที่ต้องทำมาก ฉันต้องถวาย
อภิบาลพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทั้งพวกฝ่ายใน และพระสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฉันไม่สามารถจะช่วยรักษาได้.
ป. ท่านอาจารย์ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดยกให้ท่าน และพวกข้าพเจ้า
ยอมเป็นทาสของท่าน ขอโอกาส ท่านอาจารย์ ขอท่านกรุณาช่วยรักษาพวก
ข้าพเจ้าด้วย.
ชี. เจ้าทั้งหลาย ฉันน่ะ มีกิจมาก มีงานที่ต้องทำมาก ฉันต้องถวาย
อภิบาลพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทั้งพวกฝ่ายใน และพระสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฉันไม่สามารถจะช่วยรักษาได้.
จึงประชาชนพวกนั้นได้คิดว่า พระสมณะเธอสายพระศากยบุตรเหล่านี้
แล มีปรกติเป็นสุข มีความประพฤติสบาย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องอัน
มิคชิด ถ้ากระไร พวกเราพึงบวช ในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร
ในที่นั้น ภิกษุทั้งหลายจักพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์จักรักษา ต่อมา
พวกเขาพากันเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายให้พวกเขา
บรรพชาอุปสมบท แล้วต้องพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์ต้องรักษาพวก
เขา.

239
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 240 (เล่ม 6)

สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายพยาบาลภิกษุอาพาธมากรูป ย่อมเป็นผู้มาก
ด้วยการขอร้อง มากดด้วยการขออยู่ว่า ขอจงให้อาหารสำหรับภิกษุอาพาธ ขอ
จงให้อาหารสำหรับภิกษุผู้พยาบาลภิกษุอาพาธ ขอจงให้เภสัชสำหรับภิกษุผู้อา-
พาธ แม้หมอชีวกโกมารภัจจ์มัวรักษาภิกษุอาพาธมากรูป ได้ปฏิบัติราชการบาง
อย่างบกพร่องบุรุษแม้คนหนึ่ง ถูกโรค ๕ ชนิดกระทบเข้าแล้ว ก็เข้าไปหาหมอ
ชีวกโกมารภัจจ์แล้วกราบเรียนว่า ขอโอกาส ท่านอาจารย์ ขอท่านกรุณาช่วย
รักษากระผมด้วย.
ชี. เจ้า ข้าน่ะ มีกิจมาก มีงานที่ต้องทำมาก ต้องถวายอภิบาลพระ-
เจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทั้งพวกฝ่ายใน และพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุขข้าไม่สามารถจะช่วยรักษาได้.
บุรุษ. ท่านอาจารย์ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดยกให้ท่าน และกระผมยอม
เป็นทาสของท่าน ขอโอกาส ท่านอาจารย์ ขอท่านกรุณาช่วยรักษากระผมด้วย.
ชี. เจ้า ข้าน่ะ มีกิจมาก มีงานที่ต้องทำมาก ต้องถวายอภิบาลพระ-
เจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ทั้งพวกฝ่ายใน และพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประมุข ข้าไม่สามารถจะช่วยรักษาได้.
จึงบุรุษนั้นได้คิดว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มี
ปกติเป็นสุข มีความประพฤติสบาย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด
ถ้ากระไร เราพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ในที่นั้น ภิกษุ
ทั้งหลายจักพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์จักรักษา เราหายโรคแล้ว จักสึก
จึงภิกษุนั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายให้บุรุษนั้น
บรรพชาอุปสมบทแล้วต้องพยาบาล และหมอชีวกโกมารภัจจ์ต้องรักษาภิกษุนั้น
ภิกษุนั้นหายจากโรคแล้วสึก.

240
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 241 (เล่ม 6)

หมอชีวกโกมารภัจจ์ได้เห็นบุรุษนั้นสึกแล้ว จึงได้ไต่ถามบุรุษนั้นว่า
เจ้าบวชในสำนักภิกษุมิใช่หรือ ?
บุรุษ. ใช่แล้วขอรับ ท่านอาจารย์.
ชี. เจ้าได้ทำพฤติการณ์เช่นนั้น เพื่อประสงค์อะไร ?
จึงบุรุษนั้น ได้เรียนเรื่องนั้นให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ทราบ.
หมอชีวกโกรมารภัจจ์ จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณ
เจ้าทั้งหลายจึงได้ให้กุลบุตรผู้ถูกโรค ๕ ชนิดกระทบเข้าแล้วบวชเล่า ครั้นแล้ว
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลขอประทานพรต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระ-
พุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่พึงยังกุลบุตรผู้
ถูกโรค ๕ ชนิดกระทบเข้าแล้ว ให้บวช.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ เห็น
แจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นหมอชีวกโกมารภัจจ์อัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้วลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้ว
กลับไป.
ทรงห้ามบวชคนเป็นโรคติดต่อ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้า
มูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย กุลบุตรผู้ถูกโรค ๕ ชนิดกระทบเช้าแล้ว ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใด
ให้บวชต้องอาบัติทุกกฎ.

241
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 242 (เล่ม 6)

อรรถกถาปัญจาพาธวัตถุกถา
ข้อว่า มคเธสุ ปญฺจ อาพาธา อุสฺสนฺนา โหนฺติ มีความว่า
โรค ๕ ชนิดเป็นโรคดื่นดาด คือ ลุกลาม แพร่หลายแก่หมู่มนุษย์และอมนุษย์
ในชนบทมีชื่อว่ามคธ. เรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์จักมีแจ้งในจีวรขันธกะ.
ข้อว่า น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ ปพฺพาเชตพฺโพ
มีความว่า อาพาธ ๕ ชนิดมีโรคเรื้อนเป็นต้น เหล่านั้นได้ดื่นดาดแล้ว, กุลบุตร
ผู้อาพาธเหล่านั้นถูกต้องแล้ว คือครอบงำแล้วไม่ควรให้บวช. บรรดาอาพาธ
๕ ชนิดนั้น จะเป็นโรคเรื้อนแดงหรือโรคเรื้อนคำก็ตาม ชื่อว่าโรคเรื้อน.
ในอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า โรคชนิดใดชนิดหนึ่งแม้มีประเภทเป็นต้นว่า
เรื้อนผง หิดเปื่อย หิดด้าน คุดทะราด ทุกอย่างท่านเรียกว่า โรคเรื้อน เหมือน
กัน. ก็แลโรคเรื้อนนั้น แม้มีขนาดเท่าหลังเล็บ แต่ตั้งอยู่ในฝ่ายที่จะลามไปได้
กุลบุตรนั้นไม่ควรให้บวช. แต่ถ้าในที่ซึ่งผ้านุ่งผ้าห่อปิดไว้โดยปกติ เป็นของมี
ขนาดเท่าหลังเล็บ คงอยู่ในฝ่ายที่จะไม่ลามไปได้ จะให้บวชก็ควร ส่วนที่หน้า
หรือที่หลังมือหลังเท้า ถ้าแม้คงอยู่ในฝ่ายที่จะไม่ลามไปได้ แม้ย่อมกว่าหลัง
เล็บ ไม่ควรจะให้บวชเหมือนกัน. คนเป็นโรคเรือนนั้น แม้เมื่อให้เยียวยาแล้ว
จะให้บวช ต่อเมื่อแผลหายสนิทแล้วนั้นแล จึงควรให้บวช. แม้ผู้ที่ร่างกาย
พรุนไปด้วยรอยจุด ๆ คล้ายหนังเหี้ยก็ไม่ควรจะให้บวช. โรคฝีมีผีมันข้นเป็น
ต้น ชื่อว่าฝี. ผีมันข้นหรือผีอื่นชนิดใดชนิดหนึ่งก็ตาม จงยกไว้. ถ้าฝีแม้มี
ขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ตั้งอยู่ในฝ่ายที่จะลามไปได้ กุลบุตรนั้นไม่ควรให้บวช.
แต่ในที่ปกปิด มีขนาดเท่าเมล็ดพุทรา คงอยู่ในฝ่ายที่จะไม่ลามไปใต้จะให้บวช
ก็ควร. ในที่ซึ่งมิได้ปกปิดมีหน้าเป็นต้น แม้ตั้งอยู่ในฝ่ายที่จะไม่ลุกลามไปได้

242
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 243 (เล่ม 6)

ก็ไม่ควรจะให้บวช. กุลบุตรผู้นั้นเป็นโรคฝีนั้น แม้เมื่อให้เยียวยาแล้วจะให้บวช
ต่อทำร่างกายให้มีผิวเรียบแล้วจึงควรให้บวช. ที่มีชื่อว่าติ่ง คล้ายนมโคหรือ
คล้ายนิ้วมือ ห้อยอยู่ในที่นั้น ๆ ก็มี แม้ติ่งเหล่านี้ก็จัดเป็นฝีเหมือนกัน เมื่อติ่ง
เหล่านั้นมี ไม่ควรจะให้บวช. หัวหูด มีในเวลาเป็นเด็ก ที่มีหัวสิว มีที่หน้า
ในเวลาเป็นหนุ่ม ในเวลาแก่หายหมดไป หัวหูดและหัวสิวเหล่านั้นไม่นับเป็น
ฝี เมื่อหัวเหล่านั้นมีจะให้บวชก็ควร. ส่วนเม็ดชนิดอื่น ที่ชื่อเม็ดผด มีตาม
ตัว ชนิดอื่นอีกที่ชื่อเกสรบัวก็มี ชนิดอื่นที่ชื่อเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีขนาดเท่า
เมล็ดผักกาด ผื่นไปทั่วตัว. เมล็ดเหล่านั้นทั้งหมด เป็นชาติโรคเรื้อนเหมือน
กัน เมื่อเมล็ดเหล่านั้นมี ไม่ควรให้บวช. โรคเรื้อนมีสีคล้ายโบบัวแดงและบัว
ขาว ไม่แตก ไม่เยิ้ม ชื่อโรคกลาก ร่างกายเป็นอวัยวะลายพร้อยเหมือนกระ
แห่งโคด้วยโรคเรื้อนชนิดใด. พึงทราบวินิจฉัยในโรคกลากนั้น โดยนัยที่กล่าว
แล้วในโรคเรื้อนชนิดนั้นแล.
ไข้มองคร่อ ชื่อโสสะ. เมื่อไข้มองคร่อนั้นมี ไม่ควรให้บวช.
โรคบ้าเพราะดี หรือโรคบ้าด้วยถูกผีสิง ชื่อโรคลมบ้าหมู. ในโรค
ลมบ้าหมู ๒ ชนิด บุคคลผู้ถูกอมนุษย์ซึ่งเคยเป็นคู่เวรกันสิงแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่
เยียวยาได้ยาก. และเมื่อโรคลมบ้าหมูนั้นมีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรให้บวช.
อรรถกถาปัญจาพาธวัตถุกถา จบ

243