No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 224 (เล่ม 6)

ข้อว่า ธมฺมโต วิเวเจตุํ มีความว่า เพื่อให้สละเสีย โดยธรรม
คือตามเหตุ.
ในปัญจกะนี้ ปรับอาบัติทุก ๆ บท. แม้ในปัญจกะซึ่งมีบทต้นว่า ไม่
รู้จักอาบัติ ก็ปรับอาบัติทุก ๆ บท.
ในปัญจกะนั้น ข้อว่า อุภยานิ โข ปนสฺส ปาฏิโมกฺขานิ
วิตฺถาเรน สฺวาคตานิ โหนฺติ ได้แก่ ปาฏิโมกข์ ๒ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสด้วยอำนาจอุภโตวิภังค์.
บทว่า สุวิภตฺตานิ ได้แก่ ที่ตรัสด้วยอำนาจมาติกาวิภังค์.
บทว่า สุปฺปวตฺตีนิ ได้แก่ ที่ตรัสด้วยอำนาจที่คล่องปาก.
หลายบทว่า สุวินิจฺฉิตานิ สุตฺตโส อนุพฺยญฺชนโส ได้แก่ที่
วินิจฉัยดีแล้ว โดยมาติกาและวิภังค์. แม้ในปัญจกะซึ่งมีบทท้ายว่า มีพรรษา
หย่อน ๑๐ ก็มีนัยเหมือนกันนั่นแล. ๓ ปัญจกะข้างต้น ๓ บทในปัญจกะที่ ๔
๒ บทในปัญจกะที่ ๕ รวมทั้งหมดเป็น ๔ ปัญจกะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้ไม่สมควร. ๒ บทในปัญจกะที่ ๔ ๓ บทในปัญจกะที่ ๕
๓ ปัญจกะ คือ ที ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ รวมทั้งหมดเป็น ๔ ปัญจกะ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจองค์แห่งอาบัติ ด้วยประการฉะนี้. ในศุกลปักษ์
ไม่มีอาบัติเลย ทั้ง ๘ ปัญจกะ ฉะนั้นแล.
พึงทราบวินิจฉัยในฉักกะทั้งหลาย ดังนี้ อูนทสวัสสบท เป็นข้อพิเศษ.
บทนั้นปรับอาบัติในทุก ๆ หมวด. คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
อรรถกถาโสฬสปัญจกวินิจฉัย จบ

224
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 225 (เล่ม 6)

ติตถิยาปริวาสกถา
[๑๐๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ อันพระ
อุปัชฌาย์ว่ากล่าวอยู่ โดยชอบธรรม ได้ยกวาทะของอุปัชฌายะเสีย แล้วเข้า
ไปสู่ลัทธิเดียรถีย์นั้นดังเดิม เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก ภิกษุ
ทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ อันพระอุปัชฌาย์
ว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม ได้ยกวาทะของอุปัชฌายะเสีย แล้วเข้าไปสู่ลัทธิ
เดียรถีย์นั้นดังเดิม มาแล้ว ไม่พึงอุปสมบทให้ แม้ผู้อื่นที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
หวังบรรพชา อุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ พึงให้ปริวาส ๔ เตือนแก่เธอ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงให้ติตถิยปริวาสอย่างนี้:-
วิธีให้ติตถิยปริวาส
ชั้นต้นพึงให้กุลบุตรที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ปลงผมและหนวด ให้
ครองผ้ากาสายะ ให้ห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย แล้วให้นั่ง
กระโหย่งให้ประคองอัญชลีสั่งว่า จงว่าอย่างนี้ แล้วให้ว่าสรณคมน์ ดังนี้:-
ไตรสรณคมน์
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง

225
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 226 (เล่ม 6)

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ทุติยมิปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นทิ่พึ่ง แม้ครั้งที่สอง
ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สอง
ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สอง
ตติยมฺปิ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สาม
ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระธรรม เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สาม
ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สาม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้น พึงเข้าไปหา
สงฆ์ ห่มผ้าเฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุทั้งหลายนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี แล้ว
กล่าวคำขอติตถิยปริวาสอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำขอติตถิยปริวาส
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าผู้มีชื่อนี้ เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังอุปสมบท
ในพระธรรมวินัยนี้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้น ขอปริวาส ๔ เดือนต่อสงฆ์.
พึงขอแม้ครั้งที่สอง พึงขอแม้ครั้งที่สาม.
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรม
วาจาว่าดังนี้:-

226
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 227 (เล่ม 6)

กรรมวาจาให้ติตถิยปริวาส
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อผู้นี้ เคยเป็น
อัญญเดียรถีย์ หวังอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ เธอขอปริวาส ๔
เดือนต่อสงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงแล้ว สงฆ์พึงให้ปริวาส
๔ เดือน แก่ผู้มีชื่อนี้ ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ นี้เป็นญัตติ.
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนิ้ เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ หวังอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ เธอขอปริวาส ถ เดือน
ต่อสงฆ์ สงฆ์ให้ปริวาส ๔ เดือนแก่ผู้มีชื่อ ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
การให้ปริวาส ๔ เดือนแก่ผู้มีชื่อนี้ ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ชอบแก่
ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึง
พูด.
ปริวาส ๔ เดือน สงฆ์ให้แล้ว แก่ผู้มีชื่อนี้ ผู้เคยเป็นอัญญู-
เดียรถีย์ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วย
อย่างนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เป็นผู้ปฏิบัติให้
สงฆ์ยินดี อย่างนี้แล เป็นผู้ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยินดีอย่างนี้.
ข้อปฏิบัติที่มิให้สงฆ์ยินดี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ชื่อ
ว่า เป็นผู้ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยินดี.
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ในพระธรรม
วินัยนี้ เข้าบ้านเช้าเกินไป กลับสายเกินไป แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติ
มิให้สงฆ์ยินดี.

227
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 228 (เล่ม 6)

๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ เป็นผู้มีหญิงแพศยาเป็นโคจร มีหญิงหม้ายเป็นโคจร มีสาวเทื้อเป็น
โคจร มีบัณเฑาะก์เป็นโคจร หรือมีภิกษุณีเป็นโคจร แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่าเป็น
ผู้ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยินดี.
๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ เป็นผู้ไม่ขยัน เกียจคร้านในการงานใหญ่น้อยของเพื่อนสพรหมจารี
ทั้งหลาย ไม่ประกอบด้วยปัญญาพิจารณาสอดส่อง ในการนั้น ไม่อาจ
ทำ ไม่อาจจัดการ แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยินดี.
๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ เป็นผู้ไม่สนใจในการเรียนบาลี ในการเรียนอรรถกถา ในอธิศีล
อธิจิต อธิปัญญา แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยินดี.
๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ ตนหลีกมาจากสำนักเดียรถีย์แห่งครูคนใด เมื่อมีผู้กล่าวติดรูคนนั้น
ติดวามเห็น ความชอบใจ ความพอใจ และความยึดถือ ของครูคนนั้น ยัง
โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เมื่อมีผู้กล่าวที่พระพุทธเจ้า พระธรรม หรือ
พระสงฆ์ กลับพอใจ ร่าเริง ชอบใจ ก็หรือคนหลีกมาจากสำนักเดียรถีย์แห่ง
ครูคนใด เมื่อมีผู้กล่าวสรรเสริญครูคนนั้น สรรเสริญความเห็น ความชอบใจ
ความพอใจ และความยึดถือ ของครูคนนั้น ย่อมพอใจ ร่าเริง ชอบใจ
เมื่อมีผู้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ กลับโกรธ ไม่
พอใจ ไม่ชอบใจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เป็นเครื่องสอบสวนในความปฏิบัติที่ไม่ชวน
ให้สงฆ์ยินดีแห่งกุลบุตรผู้เป็นเดียรถีย์.

228
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 229 (เล่ม 6)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ชื่อว่า
เป็นผู้ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยินดี กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ปฏิบัติมิให้สงฆ์ยิน
ดี เช่นนี้แล มาแล้ว ไม่พึงอุปสมบทให้.
ข้อปฏิบัติที่ให้สงฆ์ยินดี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เป็น
ผู้ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี.
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ในพระธรรม
วินัยนี้ เข้าบ้านไม่เช้าเกินไป กลับไม่สายเกินไป แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้
ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี.
๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ไม่เป็นผู้มีหญิงแพศยาเป็นโคจร ไม่มีหญิงหม้ายเป็นโคจร ไม่มีสาวเทื้อ
เป็นโคจร ไม่มีบัณเฑาะก์เป็นโคจรไม่มีภิกษุณีเป็นโคจร แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่า
เป็นผู้ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี.
๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานใหญ่น้อยของเพื่อนสพรหมจารีทั้ง
หลาย ประกอบด้วยปัญญาพิจารณาสอดส่องในการนั้น อาจทำได้ อาจจัดการ
ได้ แม้เช่นนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี.
๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ เป็นผู้สนใจในการเรียนบาลี ในการเรียนอรรถกถา ในอธิศีล อธิจิต
อธิปัญญา แน่เช่นนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี.
๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญ-
เดียรถีย์ตนหลีกมาจากสำนักเดียรถีย์แห่งครูคนใด เมื่อมีผู้กล่าวที่ครูคนนั้น ติ
ความเห็น ความชอบใจ ความพอใจ และความยึดถือ ของครูคนนั้น ย่อม

229
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 230 (เล่ม 6)

พอใจ ร่าเริง ชอบใจ เมื่อเขากล่าวที่พระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์
กลับโกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ก็หรือตนหลีกมาจากสำนักเดียรถีย์แห่งครูคน
ใด เมื่อมีผู้กล่าวสรรเสริญครูคนนั้น สรรเสริญความเห็น ความชอบใจ ความ
พอใจ และความยึดถือ ของครูคนนั้น ย่อมโกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบใจ เมื่อ
เขากล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระสงฆ์ กลับพอใจ ร่าเริง
ชอบใจ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้เป็นเครื่องสอบสวนในความปฏิบัติที่ชวน
ให้สงฆ์ยินดี แห่งกุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ชื่อ
ว่า เป็นผู้ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ปฏิบัติให้สงฆ์ยินดี
เช่นนี้แล้วมาแล้ว พึงอุปสมบทให้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้ากุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เปลือยกายมา
ต้องแสวงหาจีวรซึ่งมีอุปัชฌาย์เป็นเจ้าของ ถ้ายังมิได้ปลงผมมา สงฆ์พึงอปโลกน์
เพื่อปลงผม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชฎิลผู้บูชาไฟเหล่านั้นมาแล้ว พึงอุปสมบทให้
ไม่ต้องให้ปริวาสแก่พวกเธอ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เพราะชฎิลเหล่านั้น เป็นกรรมวาที กิริยวาที
ถ้าศากยะโดยกำเนิดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์มา เธอมาแล้วพึงอุปสมบท
ให้ไม่ต้องให้ปริวาสแก่เธอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราให้บริขารข้อนี้เป็นส่วน
พิเศษเฉพาะหมู่ญาติ.
อัญญติตถิยาปุพพกถา จบ
ภาณวารที่ จบ

230
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 231 (เล่ม 6)

อรรถกถาอัญญติตถิยวัตถุกถา
พึงทราบวินิจฉัยในอัญญติตถิปุพพวัตถุต่อไป:-
ปสุรปริพาชกนี้ก่อน ไม่ควรให้อุปสมบท เพราะกลับไปเข้ารัดเดียรถีย์
แล้ว. ส่วนเดียรถีย์แม้อื่นคนใดไม่เคยบวชในศาสนานี้มา กิจใดควรทำสำหรับ
เดียรถีย์คนนั้น เพื่อแสดงกิจนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า โย ภิกฺขเว
อญฺโญปิ เป็นต้น.
ในคำนั้นมีวินิจฉัยดังนี้ ข้อว่า ตสฺส จตฺตาโร มาเส ปริวาโส
ทาตพฺโพ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าติตถิยปริวาสนี้ ท่านเรียกว่า อัปปฏิจฉันน-
ปริวาสบ้าง. ก็ติตถิยปริวาสนี้ ควรให้แก่อาชีวกหรืออเจลก ผู้เป็นปริพาชก
เปลือยเท่านั้น. ถ้าแม้เขานุ่งผ้าสาฎกหรือบรรดาผ้าวาฬกัมพลเป็นต้นผ้าอันเป็น
ธง๑ แห่งเดียรถีย์อย่างใดอย่างหนึ่งมา ไม่ควรให้ปริวาสแก่เขา. อนึ่ง นักบวช
อื่น มีดาบสและปะขาวเป็นต้น ก็ไม่ควรให้เหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงสามเณรบรรพชาสำหรับเขาก่อนเทียว ด้วยคำเป็นต้นว่า ปฐมํ
เกสมสฺสุํ. อันภิกษุทั้งหลายผู้จะให้บวชอย่างนั้น ไม่พึงสั่งภิกษุทั้งหลายว่า
ท่านจงให้บวช, ท่านจงเป็นอาจารย์, ท่านจงเป็นอุปัชฌาย์ ในเมื่อกุลบุตรผู้
เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้นนั่งในท่ามกลางสงฆ์เสร็จสรรพแล้ว. เพราะภิกษุทั้ง
หลายผู้ถูกสั่งอย่างนั้น ถ้าเกลียดชังด้วยการเป็นอาจารย์อุปัชฌาย์ของเขาจะไม่
รับ ทีนั้นกุลบุตรนั้นจะโกรธว่า ภิกษุเหล่านี้ไม่เชื่อเรา แล้วพึงไปเสียก็ได้
เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายพึงนำเข้าไปไว้ส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงค่อยหาอาจารย์
และอุปัชฌาย์สำหรับเขา.
๑. ต่อเป็นสัญญลักษณ์.

231
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 232 (เล่ม 6)

เพื่อแสดงปริวาสวัตรแห่งกุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงทรงตั้งมาติกานี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์
ย่อมเป็นผู้ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดีอย่างนี้แล, ย่อมเป็นผู้ไม่ยังภิกษุทั้งหลายให้
ยินดีอย่างนี้. คำว่า กถญฺจ ภิกฺขเว เป็นต้น เป็นวิภังค์แห่งมาติกานั้น.
ติดถิยปริวาสในบาลีนั้น พึงให้แก่อัญญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น ไม่ควร
ให้แก่เหล่าอื่น.
ข้อว่า อติกาเล คามํ ปวิสติ มีความว่า เข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต
ในเวลาที่พวกภิกษุทำวัตรกันทีเดียว.
ข้อว่า อติทิวา ปฏิกฺกมติ มีความว่า กล่าวเรื่องเนื่องด้วยบ้าน
เรือนกับชนมีสตรี บุรุษ เด็กหญิงและเด็กชายเป็นต้น ในเรือนแห่งสกุลทั้ง
หลาย ฉันในที่นั้นเองแล้วจึงมา ในเมื่อภิกษุทั้งหลายเก็บบาตรจีวรแล้วทำกิจ
มีอุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้น หรือหลีกเร้นอยู่แล้ว ไม่ทำอุปัชฌายวัตรอาจริย-
วัตร เข้าสู่ที่อยู่แล้วหลับเท่านั้นเอง.
ข้อว่า เอวมฺปิ ภิกฺขเว อญฺญติตฺติยปุพฺโพ อนาราธโก โหติ
มีความว่า กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เมื่อกระทำอยู่แม้อย่างนั้น เป็นผู้
ไม่ชื่อว่า ยังปริวาสวัตรให้ถึงพร้อม คือให้เต็ม.
ในคำว่า เวสิยโคจโร วา เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า สตรีทั้งหลายผู้อาศัย
รูปเลี้ยงชีวิต มีอัชฌาจารอันบุรุษได้ง่าย ด้วยเพิ่มให้สินจ้างเพียงเล็กน้อย
เป็นต้น ชื่อหญิงแพศยา. สตรีทั้งหลายซึ่งผัวตายหรือผัวหย่าร้างไป ชื่อว่า
หญิงหม้าย. หญิงหม้ายเหล่านั้นย่อมปรารถนาความสนิทสนมกับชายคนใดคน
หนึ่ง. เหล่าเด็กหญิงที่เจริญวัยเป็นสาวแล้ว หรือผ่านวัยเป็นสาวไปแล้ว ชื่อว่า
หญิงทึนทึก หญิงทึนทึกเหล่านั้นมักปองชายเที่ยวไป ย่อมปรารถนาความสนิท

232
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 233 (เล่ม 6)

สนมกับชายคนใดคนหนึ่ง. มนุษยชาติที่มิใช่ชายหรือหญิงมีกิเลสหนามีความ
กำหนัดกลัดกลุ้มไม้รู้จักสร่าง ชื่อว่าบัณเฑาะก์. พวกบัณเฑาะก์นั้นถูกกำลัง
แห่งความกำหนัดกลัดกลุ้มครอบงำแล้ว ย่อมปรารถนาความสนิทสนมกับชาย
คนใดคนหนึ่ง. เหล่าสตรีผู้มีบรรพชาเสมอกันชื่อว่าภิกษุณี. ความคุ้นเคยกับ
นางภิกษุณีเหล่านั้น ย่อมมีได้เร็วนักเพราะความคุ้นกันนั้น ศีลย่อมทำลาย.
กุลบุตรผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์นั้น เป็นผู้คุ้นในสกุลทั้งหลายแห่งพวกหญิง
แพศยา อ้างเลศมีเที่ยวบิณฑบาตเป็นต้น เข้าไปยังสำนักหญิงแพศยาเหล่านั้น
ด้วยความเป็นผู้อยากพบปะและเจรจากันเนือง ๆ ด้วยน้ำใจที่มีความชื่นชมด้วย
ความรัก ท่านเรียกว่า เวสิยโคจร ในบรรดาโคจรเหล่านั้น. เขาย่อมถึง
ความเป็นผู้อัน ประชุมชนพึงพูดถึงว่า ยังมิทันไรเลย ไปกับหญิงแพศยาคน
โน้นแล้ว. มีนัยดังนี้ทุก ๆ โคจร. ก็ถ้าหญิงแพศยาเป็นต้น จะถวายภัตมี
สลากภัตเป็นอาทิไซร้, ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลายแล้วฉันหรือรับด้วยกันทีเดียว
แล้วกลับมา ควรอยู่. พวกภิกษุณีอาพาธ จะไปพร้อมกับภิกษุณีผู้ไปเพื่อจะ
สอน หรือแสดงธรรมหรือให้อุทเทสและปริปุจฉาเป็นต้น ควรอยู่. ฝ่ายผู้เคย
เป็นอัญญเดียรถีย์ใดมิได้ไปอย่างนั้น ไปด้วยอำนาจความชื่นชมด้วยความ
สนิทสน ผู้นี้จัดว่าเป็นผู้ไม่ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี.
สองบทว่า อุจฺจาวจานิ กึกรณียานิ ได้แก่ การงานใหญ่น้อย
ทั้งหลาย. บรรดาการงานสองอย่างนั้น การงานมีปฏิสังขรณ์เจดีย์และมหา-
ปราสาทเป็นต้น ที่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน พึงตีระฆังประชุมกันทำ จัดเป็น
การงานใหญ่. การงานที่นับเนื่องในขันธกะ มีสุและย้อมจีวรเป็นต้น และ
อภิสมาจาริกวัตร มีวัตรที่ภิกษุควรทำในโรงเพลิงเป็นต้น จัดเป็นการงาน
น้อย.

233