No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 214 (เล่ม 6)

๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา.
๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก.
๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดีโดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี
ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
๖. มีพรรษาหย่อน ๑๐.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
ศุกลปักษ์ ๗
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ พึงให้อุปสมบท พึง
ให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. รู้จักอาบัติ.
๒. รู้จักอนาบัติ.
๓. รู้จักอาบัติเบา.
๔. รู้จักอาบัติหนัก.
๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดี โอยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี
วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
๖. มีพรรษาได้ ๑๐ หรือมีพรรษาเกิน ๑๐.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล พึงให้อุปสมบท
พึงให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ให้อุปสมบท ๑๖ หมวด๑ จบ
๑. ตามบาลีนับได้ ๑๔ หมวด

214
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 215 (เล่ม 6)

อรรถกถาว่าด้วยองค์แห่งอุปัชฌาย์
คำว่า กินฺตายํ ภิกฺขุ โหติ มีความว่า ภิกษุนี้ เป็นอะไร กับท่าน.
ข้อว่า อญฺเญหิ โอวทิโย อนุสาสิโย มีความว่า ท่าน อันภิกษุ
เหล่าอื่นต้องตักเตือนและต้องพร่ำสอน.
ข้อว่า พาหุลฺลาย อาวตฺโต อทิทํ คณพนฺธิกํ มีความ ว่า
ความพัวพันด้วยหมู่ ของความเป็นผู้มักมากนี้มีอยู่ เหตุนั้นความเป็นผู้มักมาก
นี้ ชื่อว่า มีความพัวพันด้วยหมู่ มีคำอธิบายว่า ความเป็นผู้มักมากที่ชื่อว่า
มีความพัวพันด้วยหมู่นี้อันใด ท่านเวียนมาเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นผู้มักมาก
อันนั้น เร็วนัก.
บทว่า อพฺยตฺตา ได้แก่ ผู้ปราศจากปัญญาเครื่องเป็นผู้ฉลาด.
สองบทว่า อญฺญตโรปิ อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ ได้แก่ปริพาชก ชื่อ
ปสุระ. ได้ยินว่า เขาคิดว่า จักขโมยธรรม จึงบวชในสำนักพระอุทายีเถระ
ผู้อันท่านว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม ได้ยกวาทะของท่าน.
ภิกษุผู้ฉลาดในคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว พฺยตฺเตน ภิกฺขุนา
เป็นต้น มีลักษณะดังกล่าวแล้วในอรรถกถาแห่งภิกขุโนวาทกสิกขาบทใน
หนหลังนั้นแล.๑ ส่วนภิกษุผู้สามารถทำกิจเป็นต้นว่า พยาบาลอันเตวาสิก หรือ
สัทธิวิหาริกซึ่งอาพาธ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์ว่า ผู้สามารถ ในที่นี้.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส แม้คำนี้ไว้ว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุผู้ประกอบ
ด้วยองค์ ๕ ควรให้กุลบุตรอุปสมบท ควรให้นิสัย ควรให้สามเณรอุปัฏฐาก
ด้วยองค์ ๕ เหล่าไหน ? เหล่านี้คือ เป็นผู้สามารถพยาบาลเอง หรือให้ผู้อื่น
๑. สมนฺต. ทุติย. ๓๕๐

215
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 216 (เล่ม 6)

ช่วยพยาบาลอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริกผู้อาพาธ, เป็นผู้สามารถระงับเองหรือ
ให้ผู้อื่นช่วยระงับความกระสันของอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริก เป็นผู้สามารถ
บรรเทาเองหรือให้ผู้อื่นช่วยบรรเทาความรังเกียจ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วเสียโดยธรรม,
เป็นผู้สมามารถแนะนำในอภิธรรม แนะนำในอภิวินัย.๑
ว่าด้วยทรงอนุญาตนิสยาจารย์
บทว่า ปกฺขสงฺกนฺเตสุ ได้แก่ ไปเข้าพวกเดียรถีย์.
ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว อาจริยํ มีความว่า เราอนุญาตอาจารย์
ผู้ฝึดหัดอาจาระและสมาจาร.
คำทั้งปวงเเป็นต้นว่า อาจริโย ภิกฺขเว อนฺเตวาสิกมฺหิ พึงทราบ
ด้วยอำนาจคำที่ กล่าวแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า อุปชฺฌาโย ภิกฺขเว สทฺธิ-
วิหารริกมฺหิ นั่นแล. เพราะว่า ในคำว่า อาจริโย เป็นต้น ต่างกันแต่เพียง
ชื่อเท่านั้น.
ส่วนในคำว่า อันเทวาสิกทั้งหลายไม่พระพฤติชอบในอาจารย์ทั้งหลาย
นี้ผู้ศึกษาพึงทราบว่า เป็นอาบัติแก่นิสสยันเตวาสิก โดยลักษณะที่ข้าพเจ้า
กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั้นแลว่า ก็ในการไม่ประพฤติชอบ มีวินิจฉัยดังนี้:-
เมื่อสัทธิวิหาริกไม่ทำวัตรเพียงย้อมจีวร ความเสื่อมย่อมมีแก่อุปัชฌาย์ เพราะ
เหตุนั้น จึงเป็นอาบัติเหมือนกันทั้งผู้พ้นนิสัยแล้ว ทั้งผู้ยังไม่พ้น ซึ่งไม่ทำวัตร
นั้นและว่า ตั้งแต่ให้บาตรแก่คนบางคนไป เป็นอาบัติแก่ผู้ยังไม่พ้น นิสัยเท่านั้น
เพราะว่านิสสยันเตวาสิก ควรทำอาจริยวัตรทั้งปวง เพียงเวลาที่ตนอาศัย
อาจารย์อยู่. ฝ่ายปัพพชันเตวาสิก อุปสัมปทันเตวาสิกและธัมมันเตวาสิกแม้พ้น
๑. ดูกำอธิบายหน้า ๒๓๒.

216
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 217 (เล่ม 6)

นิสัยแล้ว ก็คงทำวัตรตั้งแต่ต้นจนถึงย้อมจีวร แต่ไม่เป็นอาบัติแก่อันเตวาสิก
เหล่านั้น ในเพราะเหตุมีไม่เรียนถามก่อนแล้วให้บาตรเป็นต้น. และในอัน
เตวาสิกเหล่านี้ ปัพพชันเตวาสิกและอุปสัมปทันเตวาสิก เป็นภาระของอาจารย์
ตลอดชีวิต นิสสยันเตวาสิกและธัมมันเทวาสิก ยังอยู่ในสำนักเพียงใด เป็น
ภาระของอาจารย์เพียงนั้นทีเดียว เพราะเหตุนั้น ฝ่ายอาจารย์จึงต้องประพฤติใน
อันเตวาสิกเหล่านั้นด้วย เพราะว่า ทั้งอาจารย์ ทั้งอันเตวาสิก ฝ่ายใด ๆ ไม่
ประพฤติชอบย่อมเป็นอาบัติแก่ฝ่ายนั้น ๆ.
อรรถกถาว่าด้วยองค์แห่งอุปัชฌาย์จบ
ว่าด้วยองค์เป็นเหตุระงับนิสัย
ในองค์เป็นเหตุระงับนิสัยจากอุปัชฌาย์ เป็นต้นว่า อุปัชฌาย์หลีกไป
เสียก็ดี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า ปกฺกนฺโต มีความว่า อุปัชฌาย์ใคร่จะย้ายไปจากอาวาสนั้น
หลีกไปเสีย คือ ไปสู่ทิศ. ก็แลเมื่อท่านไปแล้วอย่างนั้น. ถ้าในวิหารมีภิกษุ.
ผู้ให้นิสัย. หรือแม้ในกาลอื่น ตนเคยถือนิสัยในสำนักภิกษุใด. หรือภิกษุใด
มีสมโภคและบริโภคเป็นอย่างเดียวกัน พึงถือนิสัยในสำนักภิกษุนั้น. แม้วัน
เดียวก็คุ้มอาบัติไม่ได้. ถ้าภิกษุเช่นนั้นไม่มี ภิกษุอื่นที่เป็นลัชชีมีศีลเป็นที่รักมี
อยู่ เมื่อทราบว่าเธอเป็นลัชชี มีศีลเป็นที่รัก พึงขอนิสัยในวันนั้นทีเดียว. ถ้า
เธอให้ การให้อย่างนั้นนั่นเป็นการดี แต่ถ้าเธอถามว่า อุปัชฌาย์ของท่าน
จักกลับเร็วหรือ และอุปัชฌาย์ได้พูดไว้อย่างนั้น พึงตอบว่า ถูกละขอรับ แล
ถ้าเธอกล่าวว่า ถ้ากระนั้น จงคอยอุปัชฌาย์มาเถิด จะรออุปัชฌาย์กลับก็ควร.

217
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 218 (เล่ม 6)

แต่ถ้าโดยปกติ ทราบไม่ได้ว่า เธอเป็นผู้มีศีลเป็นที่รัก พึงสังเกตสัก ๔- ๕
วันว่า ภิกษุนั้นจะเป็นสภาคกันหรือไม่ แล้ว ให้เธอทำโอกาส ขอนิสัย. แต่
ถ้าในวัดที่อยู่ ไม่มีภิกษุผู้ให้นิสัย ทั้งอุปัชฌาย์ได้สั่งว่า ฉันจักไปสัก ๒-๓ วัน
พวกคุณอย่าทุรนทุรายใจเลย ดังนี้จึงไป ได้ความคุ้มอาบัติจนกว่าท่านจะกลับ
มา. ถ้าแม้ชาวบ้านในที่นั้น เขานิมนต์ให้ท่านอยู่เกินกว่าเวลาที่กำหนดไว้บ้าง
๕ วันหรือ ๑๐ วันไซร้, อุปัชฌาย์นั้นพึงส่งข่าวไปวัดที่อยู่ว่า พวกภิกษุหนุ่ม
อย่าทุรนทุรายใจเลย ฉันจักกลับในวันโน้น. แม้อย่างนี้ ก็ได้ความคุ้มอาบัติ.
ภายหลังเมื่ออุปัชฌาย์กำลังกลับมา มีความติดขัดในระหว่างทาง ด้วยน้ำเต็ม
แม่น้ำ หรือด้วยโจรเป็นต้น พระเถระคอยน้ำลดหรือหาเพื่อน ถ้าพวกภิกษุ
หนุ่มทราบข่าวนั้น ได้ความคุ้มอาบัติจนกว่าท่านจะกลับมา. แต่ถ้าท่านส่งข่าว
มาว่า ฉันจักอยู่ที่นี้แหละ ดังนี้ คุ้มอาบัติไม่ได้. จะได้นิสัยในที่ใด พึงไปใน
ที่นั้น แต่เมื่ออุปัชฌาย์สึกหรือมรณภาพ หรือไปเข้ารีตเดียรถีย์เสีย แม้วัน
เดียว ก็คุ้มอาบัติไม่ได้. จะได้นิสัยในที่ใด พึงไปในที่นั้น.
บทว่า วิพฺภนฺโต ได้แก่ เคลื่อนจากศาสนา. การประณามนิสัย
ท่านเรียกว่า อาณัติ คือ สั่งบังคับ. เพราะเหตุนั้น ภิกษุใดถูกอุปัชฌาย์ผลัก
ออกด้วยประณามนิสัย โดยนัยพระบาลีนี้ว่า ฉันประณามเธอ หรือว่า อย่า
เข้ามา ณ ที่นี้ หรือว่า จงขนบาตรจีวรของเธอออกไปเสีย หรือว่า เธอไม่
ต้องอุปัฏฐากฉันดอกดังนี้ก็ดี โดยนัยพ้นจากบาลีเป็นต้นว่า เธออย่าบอกลาเข้า
บ้านกะฉันเลย ดังนี้ก็ด็ ภิกษุนั้น พึงขอให้อุปัชฌาย์อดโทษ. ถ้าท่านไม่ยอม
อดโทษให้แต่แรก. พึงยอมรับทัณฑกรรมแล้ว ขอให้ท่านอดโทษด้วยตนเอง
๓ ครั้งก่อน, ถ้าท่านไม่ยอมอดโทษให้ พึงเชิญพระมหาเถระที่อยู่ในวัดนั้นให้
ช่วยขอโทษแทน. ถ้าท่านไม่ยอมอดโทษพึงวานภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในวัดใกล้

218
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 219 (เล่ม 6)

เคียงให้ช่วยขอโทษแทน. ถ้าถึงอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ยังไม่ยอมอดโทษให้ พึง
ไปในที่อื่นแล้ววอยุ่ในสำนักของภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสภาคแก่อุปัชฌาย์ ด้วยคิดว่า
แม้ไฉนอุปัชฌาย์ได้ทราบว่า อยู่ในสำนักของภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสภาคของเรา
จะพึงอดโทษให้บ้าง. ถ้าถึงอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ยังไม่ยอมอดโทษให้, พึงอยู่
ในที่นั้นเสียเถิด, ถ้าไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้ด้วยโทษมีข้าวแพงเป็นต้น. จะมายัง
วัดที่อยู่เดิมนั้นแล้ว ถือนิสัยอยู่ในสำนักภิกษุอื่นก็ควร, วินิจฉัยในการสั่งบังคับ
เท่านี้ .
ว่าด้วยองค์เป็นเหตุระงับนิสัยจากอาจารย์
บรรดาองค์ ๖ ซึ่งเป็นเหตุให้นิสัยระงับจากอาจารย์ ในองค์นี้ คือ
อาจารย์หลักไปเสียก็ดี มีวินิจฉัยว่า อาจารย์บ่งองค์บอกลาแล้วหลักไป บาง
องค์ไม่บอกลา. ถึงอันเตวาสิกก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน. ในอาจารย์และอันเตวา
สิก ๒ ฝ่ายนั้น ถ้าอันเตวาสิกบอกลาอาจารย์ว่า ผมอยากไปที่โน้น ด้ายกรณียกิจ
เฉพาะบางอย่างขอรับ และเธออันอาจารย์ถามว่า จักไปเมื่อไร ? จึงตอบว่า
จักไปในเวลาเย็น หรือจักลุกขึ้นไปในกลางคืน พออาจารย์รับว่า ดีละ นิสัย
ระงับในทันที. แต่ถ้า เมื่อเธอกล่าวว่า ผมอยากไปที่โน้น ขอรับ อาจารย์
ตอบว่า เธอจักเที่ยวบิณฑบาตที่บ้านโน้นก่อน ภายหลังจักรู้ และภิกษุนั้นรับ
ว่า ดีแล้ว ถ้าเธอไปจากบ้านนั้น เป็นอันไปด้วยดี, แต่ถ้าไม่ไป นิสัยไม่
ระงับ. ถ้าแม้ เมื่ออันเตวาสิกกล่าวว่า ผมจะไป แต่อาจารย์สั่งว่า อย่าพึงไป
ก่อน กลางดือหารือกันแล้วจึงค่อยรู้ ดังนี้ ครั้นหารือกันแล้วจึงไป เป็นอัน
ไปด้วยดี ถ้าไม่ไป นิสัยไม่ระงับ. แต่สำหรับอันเตวาสิกผู้ไม่บอกลาอาจารย์
ก่อนหลีกไป นิสัยระงับในเมื่อล่วงอุปจารสีมาไป, เมื่อกลับเสียแต่ภายในอุปจาร

219
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 220 (เล่ม 6)

สีมา นิสัยยังไม่ระงับ ก็ถ้า อาจารย์บอกลาอันเตวาสิกว่า ฉันจักไปที่โน้นนะ
คุณ, และเมื่ออันเตวาสิกถามว่า จักไปเมื่อไร ? ตอบว่า เวลาเย็น หรือตอน
กลางคืน, พออันเตวาสิกรับว่า ดีแล้ว นิสัยระงับทันที. แต่ถ้าอาจารย์บอกว่า
พรุ่งนี้ฉันจักเที่ยวบิณฑบาตแล้วเลยไป ฝ่ายอันเตวาสิก รับว่า ดีแล้ว นิสัย
ยังไม่ระงับก่อนตลอดวันหนึ่ง ต่อวันรุ่งขึ้นจึงระงับ. อาจารย์บอกว่า ฉันจัก
ไปบิณฑบาตที่บ้านโน้นแล้ว จึงจะรู้ว่า จะไปหรือไม่ไป ถ้าไม่ไป นิสัยไม่
ระงับ. ถ้าแม้เมื่ออาจารย์บากกว่าจะไป แล้วถูกอันเตวาสิกหน่วงไว้ว่า อย่าพึง
ไปก่อน กลางคืนหารือกัน แล้วจึงค่อยทราบ, แม้หารือกันแล้วไม่ไป นิสัยก็ไม่
ระงับ. ถ้าอันเตวาสิกและอาจารย์ทั้ง ๒ ต่างออกนอกสีมาไป ด้วยกรณียกิจ
บางอย่าง ลำดับนั้น ถ้าเมื่อจิตคิดจะไปเกิดขึ้น อาจารย์ไม่ทันบอกลา ไปเสีย
แล้วกลับแต่เพียงใน ๒ เลฑฑุบาต. นิสัยยังไร่ระงับ ถ้าล่วง ๒ เลฑฑุบาต
ออกไปแล้วจึงกลับ, นิสัยย่อมระงับ. อาจารย์และอุปัชฌาย์ อยู่ในวัดที่อยู่อื่น
ล่วง ๒ เลฑฑุบาตออกไปนิสัยระงับ. อาจารย์ลาสิกขา มรณภาพ ไปเข้ารีตเสีย
นิสัยระงับทันที.
ส่วนในการสั่งบังคับวินิจฉัยว่า ถ้าแม้อาจารย์เป็นผู้มีปารถนาจะสลัด
จริง ๆ จึงผลักออกเสียด้วยประณามนิสัย. แต่อันเตวาสิกยังเป็นผู้ถืออาลัยอยู่ว่า
อาจารย์ประฌามเราเสียก็จริง แต่ว่าท่านยังเป็นผู้อ่อนโยนด้วยน้ำใจ ดังนี้
นิสัยยังไม่ระงับ. ถ้าแม้อาจารย์มีอาลัย แต่อันเตวาสิกหมดอาลัยทอดธุระว่า
คราวนี้ เราจักไม่อาศัยอาจารย์นี้อยู่ แม้อย่างนั้น นิสัยย่อมยังไม่ระงับ. และ
ด้วยข้อที่ทั้ง ๒ ฝ่ายยังมีอาลัย นิสัยย่อมไม่ระงับแท้. ในเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายทอด
ธุระ นิสัยจึงระงับ. อันเตวาสิกผู้ประณาม ควรยอมรับทัณฑกรรม. แล้วขอ
ให้อาจารย์อดโทษ ๓ ครั้ง ถ้าท่านไม่อดโทษให้ พึงปฏิบัติโดยนัยที่กล่าวแล้ว
ในอุปัชฌาย์.

220
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 221 (เล่ม 6)

ในข้อซึ่งว่า หรือถึงความพบปะกับอุปัชฌาย์ นี้ พึงทราบการพบปะกัน
ด้วยอำนาจการได้เห็นและได้ยิน. ก็ถ้าสัทธิวิหาริกอาศัยอาจารย์อยู่ เห็น
อุปัชฌาย์ไหว้พระเจดีย์อยู่ในวัคที่อยู่เดียวกันหรือเที่ยวบิณฑบาตอยู่ในบ้านเดียว
กัน นิสัยย่อมระงับ. อุปัชฌาย์เห็น แต่สัทธิวิหาริกไม่เห็น นิสัยไม่ระงับ
สัทธิวิหาริกเห็น อุปัชฌาย์เดินทางไป หรือไปทางอากาศ ทราบว่า เป็นภิกษุ
แต่ไกล แต่ไม่ทราบว่า อุปัชฌาย์ นิสัยไม่ระงับ. ถ้าทราบ นิสัยระงับ
อุปัชฌาย์อยู่บนปราสาท สัทธิวิหาริกอยู่ข้างล่างแต่ไม่ทันเห็นท่าน ดื่มยาคูแล้ว
หลีกไป หรือไม่ทันเห็นท่านซึ่งนั่งที่หอฉัน ฉัน ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้วหลีกไป
หรือไม่ทันเห็นท่านแม้นั่งในมณฑปทีฟังธรรม ฟังธรรมแล้วหนีไป, นิสัยไม่
ระงับ พึงทราบการพบปะกันด้วยอำนาจการเห็นก่อนด้วยประการฉะนี้.
ส่วนการพบปะกันด้วยอำนาจการได้ยิน พึงทราบดังนี้:-
ถ้าเมื่ออุปัชฌาย์กล่าวธรรมอยู่ หรือทำอนุโมทนาอยู่ ในวัดที่อยู่ก็ดี
ในละแวกบ้านก็ดี สัทธิวิหาริกได้ยินเสียงแล้ว จะได้ว่า เสียงอุปัชฌาย์ของเรา
นิสัยระงับ เมื่อจำไม่ได้ ไม่ระงับ. วินิจฉัยในการพบปะกันเท่านี้.
โสฬสปัญจกวินิจฉัย
ลักษณะแห่งอุปัชฌาย์อาจารย์ โดยย่ออันใด ที่พระผู้มีพระภาคะเจ้าตรัส
ไว้ในหนหลังว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาดสามารถมีพรรษาครบ
๑๐ หรือเกินกว่า ๑๐ ให้กุลบุตรอุปสมบท ให้นิสัย ดังนี้, บัดนี้ เพื่อแสดงลักษณะ
อันนั้น โดยพิสดาร จึงตรัสดำว่า ปญฺจหื ภิกฺขเว องฺเคหิ สมนฺนาคเตน
เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ปญฺจหิ องฺเคหิ ได้แก่องค์ไม่เป็น
คุณ ๕. จริงอยู่ ภิกษุนั้นเป็นผู้ชื่อว่าประกอบด้วยองค์ไม่เป็นคุณก็เพราะไม่ประ
กอบด้วยกองแห่งธรรม ๕ มีกองศีลเป็นต้น.

221
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 222 (เล่ม 6)

ข้อว่า น อุปสมฺปาเทตพฺพํ ได้แก่ ไม่พึงเป็นอุปัชฌาย์ให้กุลบุตร
อุปสมบท.
ข้อว่า น นิสฺสโย ทาตพฺโพ ได้แก่ ไม่พึงเป็นอาจารย์ให้นิสัย.
ก็คำว่า อเสเขน เป็นต้น ในองค์ ๕ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
หมายเอา ศีล สมาธิ ปัญญา ผล และ ปัจจเวกขณญาณแห่งพระอรหันต์.
ก็สามปัญจกะข้างต้นเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้
ไม่สมควร หาได้ตรัสด้วยอำนาจองค์แห่งอาบัติไม่.
ก็แล บรรดาปัญจกะเหล่านี้ เฉพาะ ๓ ปัญญขกะ มีคำเป็นต้น ว่า
อเสขน ลีลกฺขนฺเธน ๑ อตฺตนา น อเสเขน ๑ อสฺสทฺโธ ๑ ทรงทำการ
ห้ามด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้ไม่สมควร หาได้ทรงทำด้วยอำนาจองค์แห่งอาบัติไม่.
จริงอยู่ ภิกษุใด ไม่ประกอบด้วยกองธรรม ๕ ของพระอเสขะมีกองศีลเป็นต้น
ทรงไม่สามารถชักนำผู้อื่นในกองธรรมเหล่านั้น, แต่เป็นผู้ประกอบด้วยโทษมี
อัสสัทธิยะเป็นเต้น ปกครองบริษัท, บริษัทของภิกษุนั้น ย่อมเสื่อมจากคุณทั้ง
หลายมีศีลเป็นต้นแท้ ย่อมไม่เจริญ. เพราะเหตุ นั้น คำเป็นต้นว่า อันภิกษุ
นั้นไม่พึงให้กุลบุตรอุปสมบท ดังนี้ จึงชื่อว่า ตรัสด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้ไม่
สมควร หาได้ตรัสด้วยอำนาจองค์แห่งอาบัติไม่. อันการที่พระขีณาสพเท่านั้น
เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้วหามิได้ ถ้า
จักเป็นอันทรงอนุญาตเฉพาะพระขีณาสพนั้นเท่านั้นไซร้ พระองค์คงไม่ตรัสคำ
ว่า ถ้าความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นแก่อุปัชฌาย์ ดังนี้ เป็นต้น ก็เพราะเหตุที่บริษัท
ของพระขีณาสพ ไม่เสื่อมจากคุณทั้งหลายมีศีลเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสคำเป็นต้นว่า:- ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ พึงให้กุลบุตร
อุปสมบทได้ ดังนี้ .
ในองค์ทั้งหลายเเป็นต้นว่า อธิสีเล สีลวิปิปนฺโน มีวินิจฉัยว่า ภิกษุ
ผู้ต้องอาบัติปาราชิกสังฆาทิเสส ชื่อว่าผู้วิบัติด้วยศีลในอธิศีล. ผู้ต้องอาบัติ ๕

222
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 223 (เล่ม 6)

กองนอกจากนี้ ชื่อว่าผู้วิบัติด้วยอาจาระในอัชฌาจาร. ผู้ละสัมมาทิฏฐิเสีย
ประกอบด้วยอันตคาหิกมิจฉาทิฏฐิ ชื่อว่าผู้วิบัติด้วยทิฏฐิในอติทิฏฐิ. สุตะมี
ประมาณเท่าใดอันภิกษุผู้ปกครองบริษัทพึงปรารถนา เพราะปราศจากสุตะนั้น
ชื่อว่าผู้มีสุตะน้อย. เพราะไม่รู้ส่วนที่เธอควรรู้มีอาบัติเป็นต้น จึงชื่อว่าผู้มี
ปัญญาทราม. ก็ในปัญจกะนี้ สามบทเบื้องต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วย
อำนาจแห่งภิกษุผู้ไม่สมควรเท่านั้น สองบทเบื้องปลายตรัสด้วยอำนาจองค์แห่ง
อาบัติ.
ข้อว่า อาปตฺตึ น ชานาติ มีความว่า เมื่อสัทธิวิหาริกหรืออัน
เตวาสิกบอกว่า กรรมเช่นนี้ ผมทำเข้าแล้ว ดังนี้ เธอไม่ทราบว่า ภิกษุนี้
ต้องอาบัติชื่อนี้.
ข้อว่า วุฏฺฐานํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้จักว่า ความออกจาก
อาบัติ ที่เป็นวุฏฐาานคามินี หรือเทศนาคามินี เป็นอย่างนี้. ในปัญจกะนี้
๒ บทเบื้องต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจแห่งภิกษุผู้ไม่สมควร สาม
บทเบื้องปลาย ตรัสด้วยอำนาจองค์แห่งอาบัติ.
ข้อว่า อภิสมาจาริกาย สิกฺขาย มีความว่า เป็นผู้ไม่สามารถ
เพื่อจะแนะนำในขันธกวรรค.
ข้อว่า อาทิสมาจาริกาย มีความว่า เป็นผู้ไม่สามารถเพื่อจะแนะ
นำในพระบัญญัติควรศึกษา.
ข้อว่า อภิธมฺเม มีความว่า เป็นผู้ไม่สามารถเพื่อจะแนะนำในนาม
รูปปริจเฉท.
ข้อว่า อภิวินเย มีความว่า เป็นผู้ไม่สามารถจะแนะนำในวินัยปิฎก
ล้วน. ส่วนสองบทว่า วิเนตุํ น ปฏิพโล มีความว่าย่อมไม่อาจเพื่อให้
ศึกษาในทุกอย่าง.

223