No Favorites


หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 194 (เล่ม 6)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ควรประณาม
๑. หาความรักใคร่อย่างยิ่งในอาจารย์มิได้.
๒. หาความเลื่อมใสอย่างยิ่งมิได้.
๓. หาความละอายอย่างยิ่งมิได้.
๔. หาความเคารพอย่างยิ่งมิได้ และ
๕. หาความหวังดีต่ออย่างยิ่งมิได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ควร
ประณาม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ควรประณาม
๑. มีความรักใคร่อย่างยิ่งในอาจารย์.
๒. มีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง.
๓. มีความละอายอย่างยิ่ง.
๔. มีความเคารพอย่างยิ่ง และ
๕ มีความหวังดีต่ออย่างยิ่ง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ควร
ประณาม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อาจารย์เมื่อไม่
ประณาม มีโทษ เมื่อประณาม ไม่มีโทษ คือ:-
๑. หาความรักใคร่อย่างยิ่งในอาจารย์มิได้
๒. หาความเลื่อมใสอย่างยิ่งมิได้.

194
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 195 (เล่ม 6)

๓. หาความละอายอย่างยิ่งมิได้.
๔. หาความเคารพอย่างยิ่งมิได้ และ
๕. หาความหวังดีต่ออย่างยิ่งมิได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล อาจารย์
เมื่อไม่ประณาม มีโทษ เมื่อประณาม ไม่มีโทษ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ อาจารย์เมื่อ
ประณาม มีโทษ เมื่อไม่ประณาม ไม่มีโทษ คือ:-
๑. มีความรักใคร่อย่างยิ่งในอาจารย์.
๒. มีความเลื่อมใสอย่างยิ่ง.
๓. มีความละอายอย่างยิ่ง.
๔. มีความเคารพอย่างยิ่ง และ
๕. มีความหวังดีต่ออย่างยิ่ง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันเตวาสิกผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล อาจารย์
เมื่อประณาม มีโทษ เมื่อไม่ประณาม ไม่มีโทษ.
การให้นิสัย
[๙๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายคิดว่า เรามีพรรษาได้ ๑๐ แล้ว
เรามีพรรษาได้ ๑๐ แล้ว ดังนี้ แต่ยังเป็นผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ย่อมให้นิสัย
ปรากฏว่าพวกอาจารย์เป็นผู้เขลา พวกอันเตวาสิกเป็นผู้ฉลาด ปรากฏว่าพวก
อาจารย์เป็นผู้ไม่เฉียบแหลม พวกอันเตวาสิกเป็นผู้เฉียบแหลม ปรากฏว่าพวก
อาจารย์เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย พวกอันเตวาสิกเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก, ปรากฏ
ว่าพวกอาจารย์เป็นผู้มีปัญญาทราม พวกอันเตวาสิกเป็นผู้มีปัญญา.

195
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 196 (เล่ม 6)

บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . . ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้อ้างว่า เรามีพรรษาได้ ๑๐ แล้ว เรามีพรรษาได้ ๑๐
แล้ว ดังนี้ แต่ยังเป็นผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม ให้นิสัย ปรากฏว่าพวกอาจารย์
เป็นผู้เขลา พวกอันเตวาสิกเป็นผู้ฉลาด ปรากฏว่าพวกอาจารย์เป็นผู้ไม่
เฉียบแหลม พวกอันเตวาสิกเป็นผู้เฉียบแหลม ปรากฏว่าพวกอาจารย์เป็นผู้
ได้ยินได้ฟังน้อย พวกอันเตวาสิกเป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก, ปรากฏว่าพวกอาจารย์
เป็นผู้มีปัญญาทราม พวกอันเตวาสิกเป็นผู้มีปัญญา แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคะเจ้าทรงสอบถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุ
ทั้งหลายอ้างว่า เรามีพรรษาได้ ๑๐ แล้ว เรามีพรรษาได้ ๑๐ แล้ว ดังนี้ แต่
ยังเป็นผู้เขลาไม่เฉียบแหลม ให้นิสัย ปรากฏว่าพวกอาจารย์เป็นผู้เขลา . . .พวก
อันเตวาสิก เป็นผู้มีปัญญา จริงหรือ ?
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน. . . ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เขลา ไม่เฉียบแหลม
ไม่พึงให้นิสัย รูปใดให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถมีพรรษาได้
๑๐ หรือมีพรรษาเกิน ๑๐ ให้นิสัย.

196
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 197 (เล่ม 6)

นิสัยระงับจากอุปัชฌาย์และอาจารย์
[๙๗] ก็โดยสมัยนั้นแล เมื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์หลีกไปเสียก็ดี สึก
เสียก็ดี ถึงมรณภาพก็ดี ไปเข้ารีดเดียรถีย์ก็ดี ภิกษุทั้งหลายไม่รู้ว่านิสัยระงับ
พวกเธอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยระงับจากอุปัชฌายะ ๕ อย่าง ดังนี้ คือ:-
๑. อุปัชฌายะหลีกไป
๒. สึกเสีย
๓. ถึงมรณภาพ
๔. ไปเข้ารีดเดียรถีย์ และ
๕. สั่งบังคับ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยระงับจากอุปัชฌายะ ๕ อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยระงับจากอาจารย์ ๖ อย่าง ดังนี้ คือ:-
๑. อาจารย์หลีกไป.
๒. สึกเสีย.
๓. ถึงมรณภาพ.
๔. ไปเข้ารีดเดียรถีย์.
๕. สั่งบังคับ และ
๖. ไปร่วมเข้ากับอุปัชฌายะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิสัยระงับจากอาจารย์ ๖ อย่างนี้ แล.
การให้นิสัย จบ

197
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 198 (เล่ม 6)

องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ให้อุปสมบท ๑๖ หมวด
กัณหปักษ์ ๑
[๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ
๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสชะ และ
๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
ศุกลปักษ์ ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ พึงให้อุปสมบท พึง
ให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และ
๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ นี้แล พึงให้อุปสมบท
พึงให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.

198
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 199 (เล่ม 6)

กัณหปักษ์ ๒
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. ตนเองไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ และไม่
ชักชวนผู้อื่นในกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ตนเองไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ และ
ไม่ชักชวนผู้อื่นในกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.
๓. ตนเองไม่ประกอบด้วยกองปัญญา อัน เป็นของพระอเสขะ และ
ไม่ชักชวนผู้อื่นในกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ตนเองไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และ
ไม่ชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และ
๕. ตนเองไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระ
อเสขะ และไม่ชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
ศุกลปักษ์ ๒
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ พึงให้อุปสมบท พึง
ให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. ตนเองประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ และชักชวน
ผู้อื่นในกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ.
๒. ตนเองประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ และชัก
ชวนผู้อื่นในกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ.

199
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 200 (เล่ม 6)

๓. ตนเองประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ และชัก
ชวนผู้อื่นในกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ.
๔. ตนเองประกอบด้วยกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และชัก
ชวนผู้อื่นในกองวิมุตติ อันเป็นของพระอเสขะ และ
๕. ตนเองประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ
และชักชวนผู้อื่นในกองวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นของพระอเสขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล พึงให้อุปสมบท
พึงให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
กัณหปักษ์ ๓
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา.
๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ.
๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ.
๔. เป็นผู้เกียจคร้าน และ
๕. เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงไห้สามเณรอุปัฏฐาก.
ศุกลปักษ์ ๓
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ พึงให้อุปสมบท พึง
ให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-

200
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 201 (เล่ม 6)

๑. เป็นผู้มีศรัทธา.
๒. เป็นผู้มีหิริ.
๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ.
๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร และ
๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล พึงให้อุปสมบท
พึงให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
กัณหปักษ์ ๔
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีกไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏราก คือ:-
๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล.
๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาระ.
๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง.
๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย และ
๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบทไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
ศุกลปักษ์ ๔
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ พึงให้อุปสมบท พึง
ให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-

201
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 202 (เล่ม 6)

๑. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล.
๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาระ.
๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง.
๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก และ
๕. เป็นผู้มีปัญญา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล พึงให้อุปสมบท
พึงให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
กัณหปักษ์ ๕
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สานเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. ไม่สามารถจะพยาบาลเอง หรือให้ผู้อื่นพยาบาลอันเตวาสิก หรือ
สัทธิวิหาริกผู้อาพาธ.
๒. ไม่สามารถจะระงับเอง หรือหาผู้อื่นให้ช่วยระงับความกระสัน.
๓. ไม่สามารถจะบรรเทาเอง หรือหาผู้อื่นให้ช่วยบรรเทา ความเบื่อ
หน่ายอันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม.
๔. ไม่รู้จักอาบัติ และ
๕. ไม่รู้จักวิธีออกจากอาบัติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
ศุกลปักษ์ ๕
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ พึงให้อุปสมบท พึง
ให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-

202
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 203 (เล่ม 6)

๑. อาจจะพยาบาลเองหรือให้ผู้อื่นพยาบาลอันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริก
ผู้อาพาธ.
๒. อาจจะระงับเอง หรือหาผู้อื่นให้ช่วยระงับความกระสัน.
๓. อาจจะบรรเทาเอง หรือหาผู้อื่นให้ช่วยบรรเทาความเบื่อหน่าย
อันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม.
๔. รู้จักอาบัติ และ
๕. รู้จักวิธีออกจากอาบัติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล พึงให้อุปสมบท
พึงให้นิสัย พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.
กัณหปักษ์ ๖
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ:-
๑. ไม่อาจจะฝึกปรืออันเตวาสิกหรือสัทธิวิหาริก ในสิกขาอันเป็น
อภิสมาจาร.
๒. ไม่อาจจะแนะนำในสิกขา อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์.
๓. ไม่อาจจะแนะนำในธรรมอันยิ่งขึ้นไป.
๔. ไม่อาจจะแนะนำในวินัยอันยิ่งขึ้นไป และ
๕. ไม่อาจจะเปลื้องความเห็นผิดอันเกิดขึ้นแล้วโดยธรรม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่พึงให้
อุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก.

203