No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 204 (เล่ม 70)

โบกขรณีเกลื่อนกล่นด้วยพวงผ้า คือพวงผ้าอันหาด่ามิได้ มีผ้าปัตตุณณะ
และผ้าจีนะเป็นต้น ประดับตกแต่งด้วยพวงรัตนะทั้ง ๗. ดาดาษด้วย
ดอกไม้ คือดาดาษด้วยดอกไม้หอมมีจำปา สฬละ และจงกลนีเป็นต้น
วิจิตรงดงามด้วยดี. สระโบกขรณีมีอะไรอีกบ้าง ? คือสระโบกขรณีอบ
อวลด้วยสุคนธชาติอันมีกลิ่นหอมน่าพอใจยิ่ง. เจิมด้วยของหอมไว้โดยรอบ
คือประดับด้วยของหอมที่เอานิ้วทั้ง ๕ ไล้ทาไว้ สระโบกขรณีอันมีอยู่ใน
ทิศทั้ง ๔ ของปราสาท มุ่งด้วยเครื่องมุงเหมคือมุงด้วยเครื่องมุงอันเป็น
ทอง และเพดานทอง ดาดาษแผ่เต็มไปด้วยปทุมและอุบล ปรากฏเป็น
สีทองในรูปทอง สระโบกขรณีฟุ้งไปด้วยละอองเรณูของดอกปทุม คือ
ขจรขจายไปด้วยละอองธุลีของดอกปทุม งดงามอยู่.
รอบ ๆ เวชยันตปราสาทของเรา มีต้นไม้มีต้นจำปาเป็นต้นออก
ดอกทุกต้น นี้เป็นต้นไม้ดอก. ดอกไม้ทั้งหลายหล่นมาเองแล้วลอยไป
โปรยปราสาท อธิบายว่า โปรยลงเบื้องบนปราสาท.
มีอธิบายว่า ในเวชยันตปราสาทของเรานั้น มีนกยูงฟ้อน มีหมู่
หงส์ทิพย์ คือหงส์เทวดาส่งเสียงร้อง หมู่นกการวิก คือโกกิลาที่มีเสียง
เพราะขับขาน คือทำการขับร้อง และหมู่นกอื่น ๆ ที่ไม่สำคัญ ก็ร่ำร้อง
ด้วยเสียงอัน ไพเราะอยู่โดยรอบปราสาท.
รอบ ๆ ปราสาท มีกลองขึงหนังหน้าเดียวและกลองขึงหนังสอง-
หน้าเป็นต้นทั้งหมดได้ดังขึ้น คือได้ตีขึ้น พิณนั้นทั้งหมดซึ่งมีสายมิใช่น้อย
ได้ดีดขึ้น คือส่งเสียง. สังคีตทุกชนิด คือเป็นอเนกประการ จงเป็นไป
คือจงบรรเลง อธิบายว่า จงขับขานขึ้น.

204
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 205 (เล่ม 70)

ในพุทธเขตมีกำหนดเพียงใด คือในที่มีประมาณเท่าใด ได้แก่
ในหมื่นจักรวาล และในจักรวาลอื่นจากหมื่นจักรวาลนั้น บัลลังก์ทอง
สมบูรณ์ด้วยความโชติช่วง คือสมบูรณ์ด้วยรัศมี ไม่มีช่องว่าง ใหญ่โต
สำเร็จด้วยรัตนะทั่วทุกด้าน คือเขาทำขจิตด้วยรัตนะทั้ง ๗ จงตั้งอยู่ ต้นไม้
ประดับประทีป คือต้นไม้มีน้ำมันตามประทีปจงลุกเป็นไฟโพลงอยู่ คือ
สว่างด้วยประทีปรอบ ๆ ปราสาท. เป็นไม้ประทีปติดต่อกันไปเป็นหมื่นดวง
คือเป็นหมื่นดวงติดต่อกันกับหมื่นดวง จงเป็นประทีปรุ่งเรื่องเป็นอัน
เดียวกัน คือเป็นประดุจประทีปดวงเดียวกัน อธิบายว่า จงลุกโพลง.
หญิงคณิกาคือหญิงฟ้อนผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับ หญิงขับร้อง
คือผู้ทำเสียงด้วยปาก จงฟ้อนไปรอบ ๆ ปราสาท. หมู่นางอัปสรคือหมู่
หญิงเทวดา จงฟ้อนรำ. สนามเต้นรำต่าง ๆ คือมณฑลสนามเต้นรำ
ต่าง ๆ มีสีเป็นอเนกประการ จงฟ้อนรำรอบ ๆ ปราสาท ชื่อว่าเขา
เห็นกันทั่วไป อธิบายว่า จงปรากฏ.
อธิบายว่า ในครั้งนั้น เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดินามว่าติโลกวิชัย
ให้ยกธงทั้งปวงมี ๕ สี คือมีสี ๕ สี มีสีเขียวและสีเหลืองเป็นต้น วิจิตร
คืองดงามด้วยสีหลายหลาก บนยอดไม้ บนยอดเขา คือยอดเขาหิมพานต์
และเขาจักรวาลเป็นต้น บนยอดเขาสิเนรุ และในที่ทั้งปวง ในจักรวาล
ทั้งสิ้น.
อธิบายว่า พวกคนคือคนจากโลกอื่น พวกนาคจากโลกนาค
พวกคนธรรพ์และเทวดาจากเทวโลก ทั้งหมดจงมาคือจงเข้ามา. พวก
คนเป็นต้นเหล่านั้นนมัสการ คือทำการนอบน้อมเรา กระทำอัญชลี คือ
ทำกระพุ่มมือ แวดล้อมเวชยันตปราสาทของเรา.

205
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 206 (เล่ม 70)

พระเจ้าจักรพรรดิติโลกวิชัยนั้น ครั้นพรรณนาอานุภาพปราสาท
และอานุภาพของตนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะให้ถือเอาผลบุญที่คนทำไว้
ด้วยสมบัติ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยํ กิญฺจิ กุสลํ กมฺมํ ดังนี้. อธิบายว่า
กิริยากล่าวคือกุศลกรรมอย่างไดอย่างหนึ่งที่จะพึงการทำมีอยู่ กุศลกรรม
ที่จะพึงทำทั้งหมดนั้น เราทำแล้วด้วยกาย วาจา และใจ คือด้วยไตร-
ทวาร ให้เป็นอันทำดีแล้ว คือให้เป็นอันทำด้วยดีแล้วในไตรทศ อธิบายว่า
กระทำให้ควรแก่การเกิดขึ้นในภพดาวดึงส์.
เมื่อจะให้ถือเอาอีกจึงกล่าวว่า เย สตฺตา สญฺณิโน ดังนี้เป็นต้น
ในคำนั้นมีอธิบายว่า สัตว์เหล่าใด จะเป็นมนุษย์ เทวดาหรือพรหมก็ตาม
ที่มีสัญญา คือประกอบด้วยสัญญามีอยู่ และสัตว์เหล่าใดที่ไม่มีสัญญา คือ
เว้นจากสัญญา ได้แก่สัตว์ผู้ไม่มีสัญญาย่อมมีอยู่ สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจง
เป็นผู้มีส่วนบุญที่เรากระทำแล้ว คือจงเป็นผู้มีบุญ
พระโพธิสัตว์เมื่อจะให้ถือเอาแม้อีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เยสํ กตํ
ดังนี้. อธิบายว่า บุญที่เราทำแล้วอันชน นาค คนธรรพ์และเทพเหล่าใด
รู้ดีแล้วคือทราบแล้ว เราให้ผลบุญแก่นรชนเป็นต้นเหล่านั้น นรชน
เป็นต้นเหล่าใด ไม่รู้ว่าเราให้บุญที่เราทำแล้วนั้น เทพทั้งหลายจงไปแจ้ง
ให้รู้ อธิบายว่า จงบอกผลบุญนั้นแก่นรชนเป็นต้นเหล่านั้น.
สัตว์เหล่าใดในโลกทั้งปวงผู้อาศัยอาหารเลี้ยงชีวิต สัตว์เหล่านั้น
ทั้งหมดจงได้โภชนะอันพึงใจทุกอย่างด้วยใจของเรา คือด้วยจิตของเรา
อธิบายว่า จงได้ด้วยบุญฤทธิ์ของเรา.
ทานใดเราได้ให้แล้ว ด้วยจิตใจอันเลื่อมใส เรานำมาแล้ว คือยัง
ความเลื่อมใสให้เกิดขึ้นแล้ว ในทานนั้นด้วยจิตใจ. พระสัมพุทธเจ้าทุก

206
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 207 (เล่ม 70)

พระองค์ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า และพระสาวกของพระชินเจ้า เราผู้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้บูชาแล้ว.
ด้วยกรรมที่เราทำดีแล้วนั้น คือด้วยกุศลกรรมที่เราเชื่อแล้วกระทำ
ไว้ และด้วยการตั้งเจตนาไว้ คือด้วยความปรารถนาที่ทำไว้ด้วยใจ เรา
ละคือทิ้งร่างกายมนุษย์ ได้แก่สรีระของมนุษย์ แล้วได้ไปสู่ดาวดึงส-
เทวโลก อธิบายว่า เราได้เกิดขึ้นในดาวดึงสเทวโลกนั้น เหมือนหลับ
แล้วตื่นขึ้นฉะนั้น.
แต่นั้น พระเจ้าจักรพรรดิติโลกวิชัยได้สวรรคตแล้ว จำเดิมแต่นั้น
เรารู้จักภพ ๒ ภพ คือชาติ ๒ ชาติที่มาถึง คือความเป็นเทวดา ได้แก่
อัตภาพของเทวดา และความเป็นมนุษย์ คืออัตภาพของมนุษย์. นอกจาก
๒ ชาติ เราไม่รู้จัก คือไม่เห็นคติอื่น คือความอุปบัติอื่น อันเป็นผลแห่ง
ความปรารถนาด้วยใจคือด้วยจิต อธิบายว่า เป็นผลแห่งความปรารถนา
ที่เราปรารถนาแล้ว.
บทว่า เทวานํ อธิโก โหมิ ความว่า ถ้าเกิดในเทวดา เราได้
เป็นผู้ยิ่งคือเป็นใหญ่ ได้แก่เป็นผู้ประเสริฐสุดกว่าเทวดาทั้งหลาย ด้วย
อายุ วรรณะ พละ และเดช. ถ้าเกิดในมนุษย์ เราย่อมเป็นใหญ่ใน
มนุษย์ คือเป็นอธิบดี เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ทั้งหลาย อนึ่ง เราเป็นพระ-
ราชาผู้เพียบพร้อม คือสมบูรณ์ด้วยรูปอันยิ่ง คือด้วยรูปสมบัติ และด้วย
ลักษณะ คือลักษณะส่วนสูงและส่วนใหญ่ ไม่มีผู้เสมอ คือเว้นคนผู้เสมอ
ด้วยปัญญา ได้แก่ปัญญาเครื่องรู้ปรมัตถ์ในภพที่เกิดแล้ว ๆ อธิบายว่า
ไม่มีใคร ๆ เสมอเหมือนเรา.

207
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 208 (เล่ม 70)

เพราะผลบุญอันเป็นบุญสมภารที่เรากระทำไว้แล้ว โภชนะอัน
ประเสริฐอร่อยมีหลายอย่างคือมีประการต่าง ๆ รัตนะทั้ง ๗ มากมายมี
ประมาณไม่น้อย และผ้าปัตตุณณะและผ้าโกเสยยะเป็นต้นหลายชนิด คือ
เป็นอเนกประการ จากฟากฟ้าคือนภากาศมา คือเข้ามาหาเรา ได้แก่สำนัก
เราโดยเร็วพลัน ในภพที่เกิดแล้ว ๆ.
เราเหยียดคือชี้มือไปยังที่ใด ๆ จะเป็นที่แผ่นดิน บนภูเขา บน
อากาศ ในน้ำ และในป่า ภักษาทิพย์คืออาหารทิพย์ย่อมเข้ามา คือ
เข้ามาหาเรา ได้แก่สำนักเราจากที่นั้น ๆ อธิบายว่า ย่อมปรากฏขึ้น.
อนึ่ง รัตนะทั้งปวง ของหอมมีจันทน์เป็นต้นทุกอย่าง ยานคือพาหนะ
ทุกชนิด มาลาคือดอกไม้ทั้งหมดมีจำปา กากะทิงและบุนนาคเป็นต้น
เครื่องอลังการคือเครื่องอาภรณ์ทุกชนิด นางทิพกัญญาทุกนาง น้ำผึ้ง
และน้ำตาลกรวดทุกอย่าง ของเคี้ยวคือของควรเคี้ยวมีขนมเป็นต้นทุกชนิด
ย่อมเข้ามา คือย่อมเข้ามาหาเราคือสำนักเราโดยลำดับ.
บทว่า สมฺโพธิวรปตฺติยา แปลว่า เพื่อต้องการบรรลุมรรคญาณ
ทั้ง ๔ อันสูงสุด. อธิบายว่า เราได้กระทำ คือบำเพ็ญอุดมทานใด เพราะ
อุดมทานนั้น เรากระทำภูเขาหินให้บันลือเป็นอันเดียวกันทั้งสิ้น ให้
กระหึ่มเสียงดัง คือเสียงกึกก้องมากมาย ยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก ได้แก่
มนุษยโลกและเทวโลกทั้งสิ้นให้ร่าเริง คือทำให้ถึงความโสมนัส จะได้
เป็นพระพุทธเจ้าผู้มีกิเลสดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก คือในสกลโลก
ทั้ง ๓.
บทว่า ทิสา ทสวิธา โลเก ความว่า ในจักรวาลโลก มีทิศ
อยู่ ๑๐ อย่าง คือ ๑๐ ส่วน ที่สุดย่อมไม่มีแก่ผู้ไป คือผู้ดำเนินไปอยู่

208
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 209 (เล่ม 70)

ในส่วนนั้น. ครั้งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ในที่ที่เราไปแล้ว ๆ หรือใน
ทิศาภาคนั้น มีพุทธเขตคือพุทธวิสัยนับไม่ถ้วน คือยกเว้นการนับ.
บทว่า ปภา ปกิตฺติตา ความว่า ในกาลเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ครั้งนั้น รัศมีของเรา รัศมีคือแสงสว่างของจักรแก้ว และแก้วมณีเป็นต้น
นำรัศมีมา คือเปล่งรัศมีเป็นคู่ ๆ ปรากฏแล้ว ในระหว่างนี้ คือใน
ระหว่างหมื่นจักรวาล มีข่ายคือหมู่รัศมีได้มีแสงสว่างกว้างขวาง คือ
มากมาย.
บทว่า เอตฺตเก โลกธาตุมฺหิ ความว่า ในหมื่นจักรวาล ชนทั้งปวง
ย่อมดู คือเห็นเรา. เทวดาทั้งปวงจนกระทั่งเทวโลกจงอนุวรรตน์ตาม คือ
เกื้อกูลเรา.
บทว่า วิสิฏฺฐมธุนาเทน แปลว่า ด้วยเสียงบันลืออันไพเราะสละ
สลวย. บทว่า อมตเภริมาหนึ แปลว่า เราตีกลองอมตเภรี ได้แก่
กลองอันประเสริฐ. ชนทั้งปวงในระหว่างนี้ คือระหว่างหมื่นจักรวาลนี้
จงฟัง คือจงใส่ใจวาจาที่เปล่งคือเสียงอันไพเราะของเรา.
เมื่อฝนคือธรรมตกลง คือเมื่อฝนมีอรรถอันเป็นปรมัตถ์ ลึกซึ้ง
ไพเราะ สุขุม อันเป็นโวหารของพระธรรมเทศนานั้น ตกลงมาด้วยการ
บันลืออันล้วนแล้วด้วยพระธรรนเทศนา ภิกษุและภิกษุณีเป็นต้นทั้งหมด
จงเป็นผู้ไม่มีอาสวะคือไม่มีกิเลส ด้วยอานุภาพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
บทว่า เยตฺถ ปจฺฉิมกา สตฺตา มีอธิบายว่า บรรดาสัตว์คือบริษัท ๔
อันเป็นหมวดหมู่นี้ สัตว์เหล่าใดเป็นปัจฉิมกสัตว์ คือเป็นผู้ต่ำสุดด้วย
อำนาจคุณความดี สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด จงเป็นพระโสดาบัน.

209
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 210 (เล่ม 70)

ในคราวเป็นพระเจ้าจักรพรรดิโลกวิชัยนั้น เราได้ให้ทานที่ควร
ให้ บำเพ็ญศีลบารมีโดยไม่เหลือ บรรลุถึงบารมี คือที่สุดในเนกขัม
คือเนกขัมมบารมี พึงเป็นผู้บรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด คือมรรคญาณ
ทั้ง ๔.
เราสอบถามบัณฑิต คือนักปราชญ์ผู้มีปัญญา คือถามว่า ท่านผู้
เจริญ อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล
คนทำอะไรจึงจะเป็นผู้มีส่วนแห่งสวรรค์และนิพพานทั้งสอง อธิบายว่า
บำเพ็ญปัญญาบารมี ด้วยประการอย่างนี้. บทว่า กตฺวา วีริยมุตฺตมํ
ได้แก่ การทำความเพียรอันสูงสุด คือ ประเสริฐสุด ได้แก่ ไม่ขาดตอน
ในการยืนและการนั่งเป็นต้น อธิบายว่า บำเพ็ญวิริยบารมี. เราถึงบารมี
คือที่สุดแห่งอธิวาสนขันติที่คนร้ายทั้งสิ้นไม่ทำความเอื้อเฟื้อ คือได้บำเพ็ญ
ขันติบารมีแล้ว พึงบรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด คือความเป็นพระ-
พุทธเจ้าอันอุดม.
บทว่า กตฺวา ทฬฺหมธิฏฺฐานํ ความว่า เรากระทำอธิษฐานบารมี
มั่นโดยไม่หวั่นไหวว่า แม้เมื่อสรีระและชีวิตของเราจะพินาศไป เราจัก
ไม่งดเว้นบุญกรรม บำเพ็ญที่สุดแห่งสัจบารมีว่า แม้เมื่อศีรษะจะขาด เรา
จักไม่กล่าวมุสาวาท ถึงที่สุดแห่งเมตตาบารมี โดยนัยมีอาทิว่า สัตว์
ทั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้มีความสุข ไม่มีโรคป่วยไข้ แล้วบรรลุพระสัม-
โพธิญาณอันสูงสุด.
เราเป็นผู้เสมอ คือมีใจเสมอในอารมณ์ทั้งปวง คือในการได้สิ่งมี
ชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต ในการไม่ได้สิ่งเหล่านั้น ในสุขทางกายและทางใจ
ในทุกข์เช่นนั้นคือที่เป็นไปทางกายและทางใจ ในการยกย่องที่ชนผู้มี

210
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 211 (เล่ม 70)

ความเอื้อเฟื้อกระทำ และในการดูหมิ่น บำเพ็ญอุเบกขาบารมี บรรลุแล้ว
อธิบายว่า พึงบรรลุพระสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
ท่านทั้งหลายจงเห็นคือรู้ความเกียจคร้าน คือความเป็นผู้เกียจคร้าน
โดยความเป็นภัย คือโดยอำนาจว่าเป็นภัยว่า มีส่วนแห่งอบายทุกข์ เห็น
คือรู้ความไม่เกียจคร้าน คือความเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน ความประพฤติอัน
ไม่หดหู่ ชื่อว่าความเพียรโดยความเกษม คือโดยอำนาจความเกษมว่า มี
ปกติให้ไปสู่นิพพาน แล้วจงเป็นผู้ปรารภความเพียร. นี้เป็นพุทธานุสาสนี
คือนี้เป็นความพร่ำสอนของพระพุทธเจ้า.
บทว่า วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา ความว่า ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาท
คือการทะเลาะโดยความเป็นภัย เห็นคือรู้ว่า ความวิวาทมีส่วนแห่งอบาย
และเห็นคือรู้ความไม่วิวาท คือความงดเว้นจากการวิวาทว่าเป็นเหตุให้
บรรลุพระนิพพาน แล้วจงเป็นผู้สมัครสมานกัน คือมีจิตมีอารมณ์เลิศ
เป็นอันเดียว เป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน คือสละสลวย งดงามด้วยเมตตา
อันดำเนินไปในธุระหน้าที่. กถาคือการเจรจา การกล่าวนี้เป็นอนุสาสนี
คือเป็นการให้โอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ท่านทั้งหลายจงเห็น คือจงรู้ความประมาท คือการอยู่โดยปราศจาก
สติ ในการยืนและการนั่งเป็นต้น โดยความเป็นภัยว่า เป็นเหตุให้เป็นไป
เพื่อความทุกข์ ความเป็นผู้มีรูปชั่วและความเป็นผู้มีข้าวน้ำน้อยเป็นต้น
และเป็นเหตุให้ไปสู่อบายเป็นต้น ในสถานที่เกิดแล้ว ๆ แล้วจงเห็นคือ
จงรู้อย่างชัดแจ้งถึงความไม่ประมาท คือการอยู่ด้วยสติในอิริยาบถทั้งปวง
โดยเป็นความเกษม คือโดยความเจริญว่า เป็นเหตุเครื่องบรรลุพระ-
นิพพาน แล้วจงอบรม คือจงเจริญ จงใส่ใจถึงมรรคมีองค์ ๘ คือมรรค

211
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 212 (เล่ม 70)

ได้แก่อุบายเครื่องบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันมีองค์ประกอบ ๘ อย่าง
คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ. กถาคือการกล่าว ได้แก่การ
เจรจา การเปล่งวาจา นี้เป็นพุทธานุสาสนี อธิบายว่า เป็นความพร่ำสอน
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
บทว่า สมาคตา พหู พุทฺธา ความว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย
นับได้หลายแสนมาพร้อมกันแล้ว คือเป็นผู้ประชุมกันแล้ว และพระ-
อรหันตขีณาสพทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว คือเป็นผู้ประชุมกันแล้วโดย
ประการทั้งปวง ได้แก่โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย
จงนอบน้อม คือจงนมัสการกราบไหว้ ด้วยการกระทำความนอบน้อม
ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่ ซึ่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นผู้ควร
แก่การกราบไหว้.
ด้วยประการฉะนี้ คือด้วยประการดังเรากล่าวมาแล้วนี้ พระพุทธ-
เจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย คือใคร ๆ ไม่พึงอาจเพื่อจะคิด. ธรรมทั้งหลาย
มีอาทิ คือสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ มรรคมีองค์ ๘ ขันธ์ ๕ เหตุปัจจัย
อารัมมณปัจจัยเป็นต้น ชื่อว่า พุทธธรรม. อีกอย่างหนึ่ง สภาวะแห่งพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอจินไตย คือใคร ๆ ไม่อาจเพื่อจะคิด วิบากกล่าวคือ
เทวสมบัติ มนุษย์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายผู้เลื่อมใสในสิ่งที่เป็นอจินไตย คือในสิ่งที่พ้นจากวิสัยของการคิด
ย่อมเป็นอันใคร ๆ ไม่อาจคิด คือล่วงพ้นจากการที่จะนับจำนวน.
ก็ด้วยลำดับคำมีประมาณเท่านี้ อุปมาเหมือนคนเดินทาง เมื่อใครๆ
ถูกเขาถามว่า ขอจงบอกทางแก่เรา ก็บอกว่า จงละทางซ้ายถือเอาทาง

212
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ – หน้าที่ 213 (เล่ม 70)

ขวา ดังนี้แล้วก็ทำกิจที่ควรทำในคามนิคม และราชธานีให้สำเร็จโดยทาง
นั้น แม้จะไปใหม่อีกตามทางซ้ายมือสายอื่นที่เขาไม่ได้เดินกัน ก็ย่อม
ทำกิจที่ควรทำในคามและนิคมเป็นต้นให้สำเร็จได้ ฉันใด พุทธาปทาน
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นให้สำเร็จได้ด้วยอปทานที่เป็นฝ่ายกุศลแล้ว เพื่อ
ที่จะให้พุทธาปทานนั้นนั่นแลพิสดารออกไป ด้วยอำนาจอปทานที่เป็น
ฝ่ายอกุศลบ้าง จึงตั้งหัวข้อปัญหาไว้ดังนี้ว่า
การทำทุกรกิริยา ๑ การกล่าวโทษ ๑ การด่าว่า ๑ การ
กล่าวหา ๑ การถูกศิลากระทบ ๑ การเสวยเวทนาจากสะเก็ด
หิน ๑
การปล่อยช้างนาฬาคิรี ๑ การถูกผ่าตัดด้วยศัสตรา ๑ การ
ปวดศีรษะ ๑ การกินข้าวแดง ๑ ความเจ็บปวดสาหัสที่
กลางหลัง ๑ การลงโลหิต ๑ เหล่านี้เป็นเหตุฝ่ายอกุศล.
บรรดาข้อปัญหาเหล่านั้น ปัญหาข้อที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
การทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษา ชื่อว่า ทำทุกรกิริยา. ในกาล
แห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพราหมณ์
มาณพชื่อว่า โชติปาละ โดยที่เป็นชาติพราหมณ์จึงไม่เลื่อมใสในพระ-
ศาสนา เพราะวิบากของกรรมเก่าแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เขาได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ. จึงได้กล่าวว่า การตรัสรู้ของ
สมณะโล้นจักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้เป็นของที่ได้โดยยากยิ่ง เพราะ
วิบากของกรรมนั้น พระโพธิสัตว์นั้นจึงได้เสวยทุกข์มีนรกเป็นต้นหลาย
ร้อยชาติ ถัดมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนั่นแหละ เขาทำ
ชาติสงสารให้สิ้นไปด้วยกรรมที่ได้พยากรณ์ไว้นั้นนั่นแล ในตอนสุดท้าย

213