No Favorites




หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 64 (เล่ม 6)

อยู่ ครั้น แล้วจึงตามไปสู่ที่นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเศรษฐี
ผู้คหบดีมาแต่ไกล ครั้นแล้วทรงพระดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงบันดาล
อิทธาภิสังขารให้เศรษฐีคหบดี นั่งอยู่ ณ ที่นี้ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้
แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขารดังพระพุทธดำริ ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้
เช้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นยสกุล-
บุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้รีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง บาง
ที่ท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้.
ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจว่า ได้ยินว่า เรานั่งอยู่ ณ ที่
นี้แหละจักเห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้ จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อเศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา
โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความ
ออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า เศรษฐีผู้คหบดี มีจิตสงบ
มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรง
ประกาศพระธรรนเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์
เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจาก
มลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับ
เป็นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั่นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจาก
มลทิน ควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น.
ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้
ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจาก

64
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 65 (เล่ม 6)

ถ้อยคำ แสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอน
ของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ
ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงาย
ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด
ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้ ข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอถึงพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระ-
พุทธเจ้าว่า เป็นอุบายสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น ได้เป็นอุบายสกล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรก
ในโลกะ
ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหัตต์
[๒๘] คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม แก่บิดา ของ
ยสกุลบุตร จิตของยสกุลบุตร ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้
แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ครั้งนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่า เมื่อแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตรอยู่ จิตของ
ยสกุลบุตร ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว พ้น
แล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์
บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขาร
นั้นได้แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขารนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็น
ยสกุลบุตรนั่งอยู่ ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อยส มารดาของเจ้า
โศกเศร้าคร่ำครวญถึง เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด ครั้งนั้น ยสกุลบุตร

65
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 66 (เล่ม 6)

ได้ชำเลืองดูพระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดีว่า ดูก่อนคหบดี
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะ
เพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้
แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนคหบดี
ยศกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์
ครั้งก่อน.
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรับรองว่า ดูก่อนคหบดี ยสกุลบุตรได้เห็นธรรม
ด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้
เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูก่อน
คหบดี ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกามเหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้ง
ก่อน.
เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้ง
หลาย เพราะไม่ถือมั่นนั้น เป็นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระ-
พุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้ามียศกุลบุตรเป็นปัจฉาสมณะ จงทรงรับ
ภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรับ โดยดุษณีภาพ ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้ว ได้ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ
แล้วกลับไป.
กาลเมื่อเศรษฐีผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน ยสกุลบุตรได้ทูลคำนี้ต่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้
อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า.

66
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 67 (เล่ม 6)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วได้ตรัสต่อไป
ว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงพระพฤติพรหมจรรย์เถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น.
สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์.
ยสบรรพชา จบ
มารดาและภรรยาเก่าของพระยสได้ธรรมจักษุ
[๒๙] ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอันตรวาสกแล้ว
ถือบาตรจีวรมีท่านพระยสเป็นปัจฉาสมณะ เสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่นิเวศน์
ของเศรษฐีผู้คหบดี ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย.
ลำดับนั้น มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส พากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค-
เจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุปุพ-
พิกถาแก่นางทั้งสองคือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความ
ต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า นางทั้งสองมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิต
ปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรม
เทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่
นางทั้งสอง ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อม
เป็นอย่างดี ฉะนั้น มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยสได้เห็นธรรมแล้ว ได้

67
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 68 (เล่ม 6)

บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความ
สงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่
ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะ
นัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบ
เหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่อง
ประทีปในที่มืดด้วยทั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ หม่อมฉันทั้งสองนี้
ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระ
องค์จงทรงจำหม่อมฉันทั้งสองว่า เป็นอุบายสิกาผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเติมแต่-
วันนี้เป็นต้นไป.
ก็มารดาและภรรยาเก่าของท่านพระยส ได้เป็นอุบายสิกา กล่าวอ้าง
พระรัตนตรัยเป็นชุดแรกในโลก ครั้งนั้น มารดาบิดาและภรรยาเก่าของท่าน
พระยส ได้อังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้าและท่านพระยส ด้วยขาทนียโภชนียาหาร
อันประณีตด้วยมือของตน ๆ จนให้ห้ามภัต ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้
มารดาบิดา และภรรยาเก่าของท่านพระยส เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
ด้วยธรรมมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะกลับไป.
สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของพระยสบรรพชา
[๓๐] สหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑
ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบ ๆ มาในพระนครพาราณสี
ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตร ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจาก

68
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 69 (เล่ม 6)

เรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า ธรรมวินัยและ
บรรพชาที่ยสกุลบุตร ปลงผมและหนวดนุ่งห่มกาสายะออกจากเรือนบวชเป็น.
บรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส
อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึงท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง
๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้
กราบทูลว่าพระพุทธเจ้าข้า สหายคฤหัสถ์ของข้าพระองค์ คนนี้ ชื่อ วิมล ๑
สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ เป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบ ๆ มาในพระ-
นครพาราณี. ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้า
พระองค์เหล่านี้ .
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศ
ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกาม
ทั้งหลายและอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า
พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่อง
ใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้น
แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศ-
จากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งมวล มีความคับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่
สะอาดปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อนเป็นอย่างดี ฉะนั้น พวกเขาได้เห็น
ธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้วได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว
ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้ว
กล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทใน

69
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 70 (เล่ม 6)

สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมา
เถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติ
พรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น.
ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วย
ธรรมีกถา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วย
ธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์.
สหายคฤหัสถ์ ๔ คน ของพระยสบรรพชา จบ
สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คน ของพระยสบรรพชา
[๓๑] สหายคฤหัสถ์ของท่านพระยส เป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน
เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบ ๆ กันมา ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรูปลงผมและหนวด
นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ครั้นทราบดังนั้นแล้ว
ได้ดำริว่า ธรรมวินัยและบรรรพชาที่ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า
กาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้
จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส อภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จึง
ท่านพระยสพาสหายคฤหัสถ์จำนวน ๕๐ คนนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวาย
บังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า สหาย-
คฤหัสถ์ของข้าพระองค์นี้เป็นชาวชนบท เป็นบุตรของสกุลเก่าสืบ ๆ กันมา
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้ .

70
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 71 (เล่ม 6)

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขา คือ ทรงประกาศ
ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราบ ความเศร้าหมองของกามทั้ง
หลายและอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า
พวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่อง
ใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้น
แสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศ-
จากธุลี ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดาได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นแล ดุจผ้าที่สะอาด
ปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี. ฉะนั้น พวกเขาได้เห็นธรรม
แล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้าม
ความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า
ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระพุทธเจ้าข้า ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนัก
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด
ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติ-
พรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์ โดยชอบเถิด.
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุเหล่านั้น .
ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้น ด้วย
ธรรมีกถา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วย
ธรรมีกถา จิตของภิกษุเหล่านั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.
สมัยนั้น มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๖๑ องค์.
สหายคฤหัสถ์ ๕๐ คนของพระยสบรรพชา จบ

71
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 72 (เล่ม 6)

เรื่องพ้นจากบ่วง
[๓๒] ครั้งนั้น พระผู้พระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นมนุษย์
แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์
พวกเธอจงเที่ยวจาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อนุเคราะห์
โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้
ไปรวมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุดจงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์
บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะไม่ได้
ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรม จักมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไป
ยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม.
เรื่องพ้นจากบ่วง จบ
เรื่องมาร
[๓๓] ครั้งนั้น มารผู้มีใจบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้น
แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า.
ท่านเป็นผู้อันบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ผูก
พันไว้แล้ว ท่านเป็นผู้อันเครื่องผูกใหญ่รัดรึงแล้ว แน่ะสมณะ ท่านจักไม่พ้น
เรา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้ง
ที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกใหญ่ ดู
ก่อนมาร ท่านถูกเรากำจัดเสียแล้ว.

72
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ – หน้าที่ 73 (เล่ม 6)

มารกราบทูลว่า บ่วงนี้เที่ยวไปได้ในอากาศ เป็นของมีในจิต สัญจร-
อยู่ เราจักผูกรัดท่านด้วยบ่วงนั้น แน่ะสมณะ ท่านจักไม่พ้นเรา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า เราปราศจากความพอใจในอารมณ์
เหล่ะนี้ คือ รูป เสีย กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดูก่อนมาร
ท่านถูกเรากำจัดเสียแล้ว.
ครั้งนั้น มารผู้มีใจบาปรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้จักเรา พระ-
สุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้แล้ว มีทุกข์ เสียใจ หายไปในที่นั้นเอง.
เรื่องมาร จบ
ทรงอนุญาตบรรพชาและอุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์
[๓๔] ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายพากุลบุตรผู้มุ่งบรรพชา และผู้
มุ่งอุปสมบทมาจาทิศต่าง ๆ จากชนบทต่าง ๆ ด้วยตั้งใจว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
จักให้พวกเขาบรรพชาอุปสมบท ในเพราะเหตุนั้น ทั้งพวกภิกษุ ทั้งกุลบุตร
ผู้มุ่งบรรพชา และกุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบทย่อมลำบาก.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ มีพระทัย
ปริวิตกเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า บัดนี้ ภิกษุทั้งหลายพากุลบุตรผู้มุ่งบรรพชาและ
อุปสมบทมาจากทิศต่าง ๆ จากชนบทต่าง ๆ ด้วยตั้งใจว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้าจักให้พวกเขาบรรพชา อุปสมบท ในเพราะเหตุนั้น ทั้งพวกภิกษุทั้งกุล
บุตรผู้มุ่งบรรพชา และอุปสมบท ย่อมลำบาก ผิฉะนั้น เราพึงอนุญาต
แก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่นแหละจงให้กุล
บุตรทั้งหลายบรรพชาอุปสมบทในทิศนั้น ๆ ในชนบทนั้น ๆา เถิด ครั้นเวลาเย็น

73