หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 29 (เล่ม 68)

ภิกษุรู้จักสัมมาสมาธิว่าเป็นสัมมาสมาธิ,
ภิกษุรู้จักมิจฉาสมาว่าเป็นมิจฉาสมาธิ. ความรู้
ของเธอนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ.๑
ท่านกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้นก็เพื่อจะให้ญาณ กล่าวคือ ความเห็น
ชอบว่า เมื่อสัมมาทิฏฐิเป็นประธานสำเร็จ แล้วก็จักรู้ความที่มิจฉาทิฏฐิ
ทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิดังนี้ ให้สำเร็จก่อน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนอุทายี เธอจงงดขันธ์ส่วนอดีตและ
อนาคตไว้ก่อน เราจักแสดงธรรมแต่เธอว่า เมื่อ
เหตุนี้มี ผลนี้ก็ย่อม เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด,
เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้ก็ย่อมไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ
ผลนี้ก็ย่อมดับ ดังนี้.๒
และ เพราะเว้นปุพพันตทิฏฐิและอปรันตทิฏฐิแล้วกล่าวญาณเท่านั้น
ท่านจึงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
อย่าเลย สุภัททะ ข้อที่ถามว่า สมณ-
พราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ตรัสรู้ตามปฏิญญา
ของตน ๆ หรือ หรือว่าทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือ
๑. ม.อุ. ๑๔/๒๕๔. ๒. ม.ม. ๑๓/๓๗๑.

29
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 30 (เล่ม 68)

ว่าบางพวกไม่ได้ตรัสรู้ดังนี้นั้นจงงดไว้ก่อน. ดูก่อน
สุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่เธอ เธอจงตั้งใจ
ฟังธรรมนั้น จงมนสิการให้ดี, เราจักแสดง
ณ บัดนี้" ดังนี้.๑
และ เพราะเว้นวาทะของพวกสมณพราหมณ์ปุถุชนฝ่ายปรัปปวาท
ทั้งหลายเสีย แล้วแสดงอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ และ เพราะ
ญาณ กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิในอัฏฐังคิกมรรคเป็นประธาน ท่านจึง
กล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย องค์แห่งการบรรลุ
โสดาบัน ๔ อย่างเหล่านี้ คือ
๑. สปฺปุริสสํเสโว การคบหากับสัตบุรุษ
๒. สทฺธมฺมสฺสวนํ การฟังพระสัทธรรม
๓. โยนิโสมนสิกาโร การทำไว้ในใจโดยแยบคาย
๔. ธมฺมานุธมฺมปฏิปตฺติ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม.๒
และตรัสว่า
๑. ที.มหา. ๑๐/๑๓๘. ๒. ที.ปา. ๑๑/๒๔๐.

30
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 31 (เล่ม 68)

กุลบุตรเกิดสัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปใกล้
เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ ย่อม
เงี่ยหูลง เมื่อเงี่ยหูลงแล้ว ย่อมฟังธรรม ครั้น
ฟังธรรมแล้ว ย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณา
เนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อ
ความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนซึ่งความพินิจ เมื่อ
ธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะ ย่อมเกิด เมื่อ
เกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว
ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความ
เพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้ว ย่อมกระทำให้แจ้งชัด
ซึ่งปรมัตถสัจจะนั้นด้วยกาย และเห็นแจ้งแทง
ตลอดซึ่งปรมัตถสัจจะนั้นด้วยปัญญา๑ ดังนี้
และตรัสว่า
พระตถาคต อุบัติขึ้นในโลกนี้ ฯลฯ
พระตถาคตนั้นทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น๒
ดังนี้.
ท่านกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้นทำ สุตมยญาณ ไว้เป็นญาณต้น
โดยอนุโลมสุตตันตบทมิใช่น้อยตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้เป็นอาทิ.
๑. ม.ม. ๑๓/๒๓๘. ๒. ที.มหา. ๙/๑๐๒.

31
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 32 (เล่ม 68)

ก็ญาณกถานี้นั้น แบ่งออกเป็น ๒ คือ อุทเทส ๑ นิทเทส ๑.
ในอุทเทส ท่านแสดงญาณ ๗๓ ด้วยสามารถแห่งมาติกาโดยนัยเป็นต้น
ว่า โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย ญาณํ ซึ่งแปลว่า ปัญญาในการ
ทรงจำธรรมที่ได้ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณ ดังนี้.
ในนิทเทส ท่านแสดงญาณ ๗๓ เหล่านั้นนั่นแหละ อย่าง
พิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า กถํ โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย
ญาณํ. อิเม ธมฺมา อภิญฺเญยฺยาติ โสตาวธานํ, ตํปชานนา
ปญฺญา สุตมเย ญาณํ ซึ่งแปลว่า ปัญญาในการทรงจำธรรมที่ได้
ฟังมาแล้ว เป็นสุตมยญาณอย่างไร ? ปัญญาอันเป็นเครื่องทรงจำธรรม
ที่ได้ฟังมาแล้ว คือเป็นเครื่องรู้ชัดซึ่งธรรมที่ได้สดับมาแล้วนั้นว่า
ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่งดังนี้ เป็นสุตมยญาณดังนี้.
จบ คันถารัมภกถา

32
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 33 (เล่ม 68)

มหาวรรค
อรรถกถาญาณกถามาติกา
๑. อรรถกถาสุตมยญาณุทเทส
ว่าด้วย สุตมยญาณ
ในอุทเทสนั้นเบื้องแรก พึงทราบ โสต ศัพท์ ในคำนี้ว่า
โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย ญาณํ มีประเภทแห่งอรรถเป็นอเนก.
จริงอย่างนั้น โสต ศัพท์นั้นย่อมปรากฏ
ในอรรถว่า มังสโสตะ, โสตวิญญาณ,
ญาณโสตะ, กระแสแห่งตัณหาเป็นต้น, สายธาร
แห่งกระแสน้ำ, อริยมรรค, และแม้ในความสืบ
ต่อแห่งจิต.
ก็ โสต ศัพท์ นี้ ย่อมปรากฏในอรรถว่า มังสโสตะ ได้ในคำ
เป็นต้นว่า โสตายตนะ, โสตธาตุ และโสตินทรีย์.๑
ปรากฏในอรรถว่า โสตวิญญาณ ได้ในคำเป็นต้นว่า ได้ยิน
เสียงด้วยโสตะ๒.
๑. อภิ. วิ. ๓๕/ ๑๐๑. ๒. ม.มู. ๑๒/ ๑๔.

33
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 34 (เล่ม 68)

ปรากฏในอรรถ ญาณโสตะ ได้ในคำเป็นต้นว่า ได้ยินเสียง
ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์๑
ปรากฏในธรรมทั้ง ๕ มีตัณหาเป็นต้น ได้ในคำเป็นต้นว่า
คำว่า กระแสเหล่าใดในโลก ความว่า กระแสเหล่านี้ใด เรา
บอกแล้ว กล่าวแล้ว แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แต่งตั้งแล้ว
เปิดเผยแล้ว จำแนกแล้ว ทำให้ตื้นขึ้นแล้ว ประกาศแล้ว,
นี้อย่างไร ? คือ กระแสตัณหา, กระแสทิฏฐิ, กระแสกิเลส,
กระแสทุจริต, กระแสอวิชชา๒.
ปรากฏในอรรถว่า สายธารแห่งกระแสน้ำ ได้ในคำเป็นต้นว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วแล ซึ่งท่อนไม้
ท่อนใหญ่ถูกกระแสน้ำพัดไปในแม่น้ำคงคา๓.
ปรากฏในอรรถว่า อริยมรรค ได้ในคำเป็นต้นว่า ดูก่อน
อาวุโส คำนี้ เป็นชื่อของอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ คือ โสตะ.
ปรากฏในอรรถว่า ความสืบต่อแห่งจิต ได้ในคำเป็นต้นว่า และ
ย่อมรู้กระแสวิญญาณของบุรุษ ซึ่งขาดแล้วโดยส่วน ๒ คือ
ทั้งที่ไม่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ทั้งที่ไม่ตั้งอยู่ในปรโลก๔.
๑. ที.ปา. ๑๑/๔๓๑. ๒. ขุ.จูฬ. ๓๐/๗๖. ๓. สํ.สฬา. ๑๘/๓๒๕.
๔. ที.ปา. ๑๑/๗๙.

34
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 35 (เล่ม 68)

ก็โสตศัพท์ในที่นี้ พึงหมายเอา มังสโสตะ.
ชื่อว่า โสตาวธาน เพราะอรรถว่า ทรงไว้ กำหนดไว้ ตั้งไว้
ด้วยโสตะนั้น เป็นเหตุ หรือเป็นเหตุให้สำเร็จ. ชื่อว่า โสตาวธาน
นั้นอย่างไร ? คือ สุตะ. ก็ธรรมชาติที่รู้แจ้ง กำหนดได้โดยครรลอง
แห่งโสตทวาร ชื่อว่า สุตะ ดุจในคำเป็นต้นว่า เป็นผู้สดับมาก
เป็นผู้ทรงสุตะ เป็นผู้สั่งสมสุตะ๑, สุตะนั้น ในที่นี้ท่านกล่าวว่า
โสตาวธาน. ปัญญาที่เป็นไปในสุตะกล่าวคือโสตาวธานนั้น ชื่อว่า
โสตาวธาเน ปญฺญา.
ก็ บทว่า ปญฺญา ได้แก่ปัญญาโดยอรรถว่าเป็นเครื่องทำให้
รู้ชัด กล่าวคือ เป็นเครื่องทำอรรถะนั้น ๆ ให้ปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง
ธรรมชาติใด ย่อมรู้ธรรมทั้งหลายโดยประการนั้น ๆ คือ โดยอนิจ-
ลักษณะเป็นต้น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น จึงชื่อว่า ปัญญา.
พึงทราบ สุต ศัพท์ ทั้งทีมีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรคในคำนี้ว่า
สุตมเย ญาณํ ดังนี้ ก่อน
สุตศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า ไป.
ปรากฏ, กำหนัด, ประกอบเนือง ๆ, สั่งสม,
สัททารมณ์, รู้ได้ ตามครรลองแห่งโสตทวาร.
๑. ม.มุ. ๑๒/๓๗๖.

35
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 36 (เล่ม 68)

จริงอย่างนั้น สุตศัพท์ มีอรรถว่า ไป ได้ในคำเป็นต้นว่า
เสนาย ปสุโต เสนาเคลื่อนไป.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า มีธรรมอันปรากฏแล้ว ได้ในคำเป็นต้นว่า
สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต มีธรรมอันสดับแล้วเห็นอยู่.๑
สุตศัพท์ มีอรรถว่า กำหนัดและไม่กำหนัด ได้ในคำเป็นต้นว่า
อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส๒ ภิกษุณีกำหนัดยินดีแล้วต่อ
บุรุษบุคคลผู้ไม่กำหนัดยินดีแล้ว.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า ประกอบเนือง ๆ ได้ในคำเป็นต้นว่า เย
ฌานปสุตา ธีรา๓ กุลบุตรเหล่าใดประกอบเนืองๆ ในฌาน กุลบุตร
เหล่านั้น ชื่อว่า นักปราชญ์.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า สั่งสมได้ในคำเป็นต้นว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ
ปสุตํ อนปฺปกํ๔ บุญมิใช่น้อยอันท่านทั้งหลายสั่งสมไว้แล้ว.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า สัททารมณ์ ได้ในคำเป็นต้นว่า ทิฏฺฐํ สุตฺ
มุตํ วิญฺญาตํ๕ รูปอันเราเห็นแล้ว เสียงอันเราได้ยินแล้ว หมวด ๓ แห่ง
อารมณ์อันเราทราบแล้วอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว.
๑. ขุ.อุ. ๒๕/๕๑. ๒. วิ.ภิกฺขุนี. ๓/๑. ๓. ขุ.ธ. ๒๕/๒๔.
๔. ขุ.ขุ. ๒๕/๘. ๕. ม.ม. ๑๒/๒๘๑.

36
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 37 (เล่ม 68)

สุตศัพท์ มีอรรถว่า ทรงไว้ซึ่งสัททารมณ์อันตนรู้แล้วโดยครรลอง
แห่งโสตทวาร ได้ในคำเป็นต้นว่า พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร
สุตสนฺนิจโย๑ เป็นผู้สดับมาก เป็นผู้ทรงสุตะ เป็นผู้สั่งสมสุตะ. แต่
ในที่นี้ สุตะศัพท์มีอรรถว่า อันตนรู้แล้ว. เข้าไปทรงไว้แล้วโดย
ครรลองแห่งโสตทวาร.
บทว่า สุตมเย ญาณํ ความว่า ปัญญานี้ได้ ปรารภพระ-
สัทธรรม คือ สุตะนี้ ที่รู้แล้ว ทรงจำไว้ได้แล้ว กระทำให้เป็น
อารมณ์ เป็นไปแล้วในครั้งแรกและครั้งต่อ ๆ มา, ปัญญาญาณนั้น
ย่อมเป็นอันท่านกล่าวแล้วว่า สุตมเย ญาณํ ญาณอันสำเร็จแล้วด้วย
การฟัง, อธิบายว่า สุตมยํ ญาณํ นั่นเอง. ก็คำว่า สุตมเย นี้
เป็นปัจจัตตวัจนะ, ปัจจัตตวัจนะ ในคำเป็นต้นว่า น เหวํ วตฺตพฺเพ
ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น, วนปฺปคุมฺเพ ยถา ผุสฺสิตคฺเค พุ่มไม้ในไพร
มรยอดคือดอกบานสะพรั่ง, นตฺถิ อตฺตกาเร การกระทำของตน ไม่มี,
นตฺถิ ปรกาเร การกระทำของคนอื่น ไม่มี, นตฺถิ ปุริสกาเร การกระทำ
ของบุรุษ ไม่มี ดังนี้ ฉันใด แม้ในที่นี้ บทว่า สุตมเย ก็พึงเข้าใจ
ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า สุตมยํ ญาณนฺติ อตฺโถ
อธิบายว่า ญาณอันสำเร็จแล้วด้วยการฟัง ดังนี้.
๑. ม.มู. ๑๒/๓๗๖.

37
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 38 (เล่ม 68)

อีกอย่างหนึ่ง หมวดธรรมมีผัสสะเป็นต้น อันสำเร็จแล้วด้วย
การฟัง จึงชื่อว่า สุตมยะ, ญาณเป็นไปในหมวดแห่งธรรมที่ชื่อว่า
สุตมยะนั้น คือสัมปยุต กับด้วยสุตมยะนั้น ชื่อว่า สุตมเย ญาณํ.
ญาณนั้นนั่นแล ท่านกล่าวว่า ปัญญา เพราะไม่กำหนดก็เพื่อจะอธิบาย
โดยปริยาย ภายหลังจึงกล่าวกำหนดว่า ญาณ ท่านสาธุชนพึงทราบ
ตามที่กล่าวมานี้.
ก็ชื่อว่า ญาณ มีการแทงตลอดสภาวะเป็นลักษณะ หรือมี
การแทงตลอดอย่างไม่ผิดพลาดเป็นลักษณะ เหมือนการยิงลูกศรอัน-
นายขมังธนูผู้ชาญฉลาดยิงไปแล้วฉะนั่น.
มีการส่องซึ่งอารมณ์เป็นรส เหมือนดวงประทีปส่องสว่างฉะนั้น.
มีความไม่หลงเป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนพรานป่าบอกทางแก่
คนหลงทางฉะนั้น.
มีสมาธิเป็นปทัฏฐาน ตามพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุมีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.๑
ก็ในลักษณะเป็นต้น พึงทราบว่า สภาวะก็ดี สามัญญะก็ดี
ชื่อว่า ลักษณะ, กิจก็ดี สมบัติก็ดี ชื่อว่า รส, อาการที่ปรากฏก็ดี
ผลก็ดี ชื่อว่า ปัจจุปัฏฐาน, เหตุใกล้ ชื่อว่า ปทัฏฐาน ดังนี้.
๑. สํ. สฬา. ๑๘/๑๔๗.

38