No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 19 (เล่ม 68)

ปฏิเสธว่า นี้มิใช่กิจของปฏิสัมภิทา แล้วกล่าวว่า ธรรมดาภาษา
สัตว์ทั้งหลายย่อมเรียนเอาได้ แล้วยกอุทาหรณ์นี้ขึ้นมาสาธกว่า
จริงอยู่ มารดาและบิดา เอากุมารน้อยในคราวยังเป็นทารกอยู่
ให้นอนบนเตียงหรือ แล้วพูดภาษานั้น ๆ ทำกิจนั้น ๆ อยู่. ทารกกำหนด
ภาษานั้น ๆ ของมารดาและบิดาเหล่านั้นว่า คำนี้ท่านผู้นี้พูด, คำนี้
ท่านผู้นี้พูด ครั้นวันผ่านมาเวลาผ่านไป ก็ย่อมรู้ภาษาทั้งหมดได้.
มารดาเป็นชาวทมิฬ, บิดาเป็นชาวอันธกะ ทารกของมารดาบิดาเหล่า
นั้น ถ้าได้ยินคำพูดของมารดาก่อน, ก็จักพูดภาษาทมิฬ ถ้าได้ยิน
คำพูดของบิดาก่อนก็จักพูดภาษาอันธกะ. แต่ถ้าไม่ได้ยินคำพูดของมารดา
และบิดาทั้ง ๒ นั้น ก็จักพูดภาษามาคธี๑
แม้ทารกใดเกิดในป่าใหญ่ไม่มีบ้าน คนอื่นที่ชื่อว่าจะพูดด้วย
ก็ไม่มีในที่นั้น, ทารกนั้นเมื่อจะเริ่มพูดตามธรรมดาของตน ก็จักพูด
ภาษามาคธีนั้นแล. ภาษามาคธีมีมากในที่ทั้งปวง คือ ในนรก, ใน
กำเนิดดิรัจฉาน, ในเปตติวิสัย, ในมนุษยโลก ในเทวโลก. บรรดา
ภาษาของสัตว์ในภูมินั้น ๆ ภาษาที่เหลือ เช่น โอฏฏภาษา, กิราตภาษา,
อันธกภาษา, โยนกภาษาและทมิฬภาษาเป็นต้น ย่อมดิ้นได้, มาคธี-
ภาษานี้เพียงภาษาเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นพรหมโวหารและอริยโวหาร
ตามเป็นจริง ย่อมไม่ดิ้น.
๑. มาคธิกภาสํ = ภาษาของชนชาวมคธ.

19
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 20 (เล่ม 68)

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงยกพระพุทธพจน์คือพระ-
ไตรปิฎกขึ้นสู่แบบแผน ก็ทรงยกขึ้นไว้ในภาษามาคธีเท่านั้น. เพราะ
เหตุไร ? ก็เพราะเพื่อจะนำอรรถะมาให้รู้ได้โดยง่าย. จริงอยู่ พระ-
พุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผนด้วยมาคธีภาษา ยังไม่บรรลุถึงคลองแห่ง
โสตประสาทของพระอริยบุคคลผู้บรรลุปฏิสัมภิทานั้น เป็นการเนิ่นช้า.
แต่เมื่อโสตประสาทพอพระพุทธพจน์กระทบแล้วเท่านั้น เนื้อความก็
ปรากฏตั้งร้อยนัย พันนัย. ก็พระพุทธพจน์ที่ยกขึ้นสู่แบบแผ่นด้วย
ภาษาอื่น ก็ย่อมต้องเรียนเอาแบบตีความแล้วตีความเล่า. อันธรรมดาว่า
การเรียนพระพุทธพจน์แม้มากมายแล้วบรรลุปฏิสัมภิทา ย่อมไม่มีแก่
ปุถุชน, แต่พระอริยสาวกที่จะชื่อว่าไม่บรรลุปฏิสัมภิทานั้น ย่อมไม่มีเลย.
บทว่า ญาเณสุ ญานํ ความว่า ความรู้แตกฉานในญาณทั้ง ๓
เหล่านั้น ของพระอริยบุคคลผู้กระทำญาณอันมีในที่ทั้งปวงให้เป็น
อารมณ์แล้วพิจารณาอยู่, หรือว่า ญาณอันถึงความกว้างขวางในญาณ
ทั้ง ๓ เหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งอารมณ์และกิจเป็นต้น ชื่อว่าปฏิภาณ
ปฏิสัมภิทา.
ก็บัณฑิตพึงทราบ ปฏิสัมภิทา ๔ เหล่านี้ว่า ย่อมถึงซึ่งประเภท
ในฐานะ ๒. ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕. ย่อมถึงซึ่งประเภทในฐานะ ๒
เป็นไฉน ? คือ ในเสกขภูมิ ๑ อเสกขภูมิ ๑.

20
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 21 (เล่ม 68)

ใน ๒ ภูมินั้น ปฏิสัมภิทาของพระมหาเถระ ๘๐ องค์ มีพระ-
เถระผู้มีนามอย่างนี้ คือ พระสารีบุตรแถระ. พระมหาโมคคัลลานเถระ,
พระมหากัสสปเถระ, พระมหากัจจายนเถระ, พระมหาโกฏฐิตเถระ
เป็นต้น ถึงซึ่งประเภทใน อเสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาของพระอริยบุคคล
ทั้งหลายมีพระอริยบุคคลผู้มีนามอย่างนี้ คือพระอานนทเถระ, ท่าน
จิตตคฤหบดี ท่านธรรมมิกอุบาสก, ท่านอุบาลีคฤหบดี, ขุชชุตตรา-
อุบาสิกา เป็นต้น ถึงซึ่งประเภทใน เสกขภูมิ, ปฏิสัมภิทาย่อมถึงซึ่ง
ประเภทในภูมิ ๒ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิสัมภิทา ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ เป็นไฉน ? ย่อม
ผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการ คือ ด้วยอธิคม, ด้วยปริยัติ, ด้วย
สวนะ, ด้วยปริปุจฉา, ด้วยบุปพพโยคะ.
ในเหตุ ๕ ประการเหล่านั้น การบรรลุพระอรหัต ชื่อว่า อธิคม.
ก็ปฏิสัมภิทาของผู้บรรลุพระอรหัต ย่อมผ่องใส.
พระพุทธพจน์ ชื่อว่า ปริยัติ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้เรียนพระ-
พุทธพจน์นั้น ย่อมผ่องใส.
การฟังพระสัทธรรม ชื่อว่า สวนะ. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้สนใจ
เรียนธรรมโดยเคารพ ย่อมผ่องใส.

21
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 22 (เล่ม 68)

กถาเป็นเครื่องวินิจฉัย คัณฐีบทและอรรถบท ในพระบาลีและ
อรรถกถาเป็นต้น ชื่อว่า ปริปุจฉา. ก็ปฏิสัมภิทาของผู้ที่สอบสวน
อรรถในพระพุทธพจน์ทั้งหลายมีพระบาลีเป็นต้นที่ตนเรียนแล้ว ย่อม
ผ่องใส.
การบำเพ็ญเพียรในวิปัสสนากรรมฐานอยู่เนือง ๆ จนกระทั่งถึง
สังขารุเปกขาญาณอันเป็นที่ใกล้อนุโลมญาณและโคตรภูญาณ เพราะ
ความที่การบำเพ็ญวิปัสสนานั้น อันพระโยคาวจรเคยปฏิบัติแล้วปฏิบัติ
เล่ามาในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ ชื่อว่า ปุพพโยคะ. ก็
ปฏิสัมภิทาของผู้บำเพ็ญเพียรมาแล้วในปางก่อน ย่อมผ่องใส ปฏิสัมภิทา
ย่อมผ่องใสด้วยเหตุ ๕ ประการเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
ก็ในบรรดาเหตุทั้ง ๕ เหล่านี้ เหตุ ๓ เหล่านี้ คือ ปริยัติ,
สวนะ, ปริปุจฉา เป็นเหตุมีกำลังเพื่อความแตกฉานแล. ปุพพโยคะ
เป็นปัจจัยมีกำลังเพื่อ. การบรรลุพระอรหัต.
ถามว่า หมวด ๓ แห่งเหตุมีปริยัติเป็นต้น ย่อมมีเพื่อความ
แตกฉาน ไม่มีเพื่อความบรรลุหรือ ?
ตอบว่า มี, แต่ไม่ใช่อย่างนั้น. เพราะปริยัติ, สวนะ และ
ปริปุจฉา จะมีในปางก่อนหรือไม่ก็ตาม แต่เว้นการพิจารณาสังขาร
ธรรมด้วยการบำเพ็ญเพียรในปางก่อน และการพิจารณาสังขารในปัจจุ-
บันเสียแล้ว ชื่อว่า ปฏิสัมภิทา ก็มีไม่ได้. เหตุและปัจจัยทั้ง ๒ นี้

22
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 23 (เล่ม 68)

รวมกันช่วยอุปถัมภ์ปฏิสัมภิทากระทำให้ผ่องใสได้ ด้วยประการฉะนี้.
ยังมีอาจารย์พวกอื่นอีก ได้กล่าวไว้ว่า
ปุพพโยคะ ๑, พาหุสัจจะ ๑, เทศภาษา ๑,
อาคม ๑, ปริปุจฉา ๑, อธิคม ๑, ครุสันนิสสัย ๑,
และมิตตสมาบัติ ๑. รวม ๘ ประการนี้ ล้วนเป็น
ปัจจัยแก่ปฏิสัมภิทา ดังนี้.
บรรดาธรรมทั้ง ๘ ประการนั้น นัยดังที่กล่าวแล้วแล ชื่อว่า
ปุพพโยคะ.
ความฉลาดในศาสตร์นั้น ๆ และศิลปายตนะทั้งหลาย ชื่อว่า
พาหุสัจจะ.
ความฉลาดในภาษา ๑๐๑ ภาษา ความฉลาดในภาษามาคธีโดย
วิเศษ ชื่อว่า เทศภาษา.
การเรียนพระพุทธพจน์โดยที่สุดแม้เพียงโอปัมมวรรค ชื่อว่า
อาคม.
การวินิจฉัยไต่สวนอรรถะแม้ในคาถา ๑ ชื่อว่า ปริปุจฉา.
การเป็นพระโสดาบันก็ดี การเป็นพระสกทาคามีก็ดี การเป็น
พระอนาคามีก็ดี การเป็นพระอรหันต์ก็ดี ชื่อว่า อธิคม.
การอยู่ในสำนักครูผู้มากด้วยสุตะและปฏิภาณ ชื่อว่า ครุสัน-
นิสสัย.

23
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 24 (เล่ม 68)

การได้มิตรเห็นปานนั้นนั่นแล ชื่อว่า มิตตสมบัติ
บรรดาธรรมทั้ง ๘ ประการนั้น พระพุทธเจ้าหลาย และ
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย อาศัย ปุพพโยคะและอธิคม แล้วบรรลุ
ปฏิสัมภิทา ส่วนพระสาวกทั้งหลายอาศัยเหตุเหล่านี้แม้ทั้งหมดแล้ว
จึงบรรลุปฏิสัมภิทา.
ก็ในการบรรลุปฏิสัมภิทา ไม่มีการบำเพ็ญเพียรในกรรมฐาน
ภาวนาโดยเฉพาะอีก, ส่วนพระเสกขบุคคลมีผละและวิโมกขะของ
พระเสกขะเป็นที่สุด การบรรลุปฏิสัมภิทา ก็ย่อมมีได้.
อธิบายว่า ปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ย่อมสำเร็จแก่บรรดาพระอริยะ
บุคคลด้วยอริยผลทั้งหลายนั่นแล ดุจทสพลญาณสำเร็จแก่พระตถาคต
ทั้งหลายฉะนั้น. ทางแห่งปฏิสัมภิทา ๔ เหล่านี้ ฉะนั้นจึงชื่อว่า ปฏิ-
สัมภิทามรรค, ปกรณ์ คือปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า ปฏิสัมภิทามรรค.
ปกรณ์, ชื่อว่า ปกรณ์ เพราะอรรถว่า อรรถอันลึกซึ้ง แยกโดย
ประเภทต่าง ๆ ในปฏิสัมภิทานี้ ท่านกล่าวกระทำโดยประการต่าง ๆ.
ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้น สมบูรณ์ด้วยอรรถะ, พยัญชนะ,
ลึกซึ้ง, มีอรรถลึกซึ้ง, ประกาศโลกุตระ, ประกอบด้วยสุญญตา, ให้
สำเร็จผลวิเศษในการปฏิบัติ, ห้ามอกุศลอันเป็นปฏิปักษ์, เป็นรตนากร
บ่อเกิดแห่งญาณอันประเสริฐของพระโยคาวจร, เป็นเหตุอันวิเศษใน
การเยื้องกรายธรรมกถาของพระธรรมกถึกทั้งหลาย, เป็นเครื่องนำออก

24
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 25 (เล่ม 68)

จากทุกข์ของผู้กลัวภัยในสังสารวัฏ, มีประโยชน์ในการยังความชุ่มชื่น
ให้เกิดเพราะเห็นอุบายในการออกจากทุกข์นั้น, และมีประโยชน์ในการ
ทำลายอกุศลธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อนิสสรณธรรม๑นั้น และมีประโยชน์
ให้เกิดความยินดีในหทัยแก่กัลยาณชน โดยการเปิดเผยอรรถแห่งบท
พระสูตรมีเนื้อความอันลึกซึ้งมิใช่น้อย อันท่านพระสารีบุตรผู้ธรรม
เสนาบดี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ธรรมราชาภาษิตแล้ว เมื่อประทีป
ดวงใหญ่กล่าวคือพระสัทธรรม รุ่งเรืองแล้วด้วยแสงประทีปดวงใหญ่
คือพระสัพพัญญุตญาณที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว
โดยไม่ขัดข้อง ส่องสว่างกระจ่างไปทั่วทุกสถาน มีพระทัยสนิทเสน่หา
ประกอบไปด้วยพระมหากรุณาแผ่กว้างไปในปวงชน เพื่อกำจัดความ
มืดมนอนธการ กล่าวคือกิเลส ด้วยพระมหากรุณาในเวไนยชน ด้วย
การยกพระสัทธรรมนั้นขึ้นอธิบายให้กระจ่างแจ้งแก่ปวงชน ด้วยความ
เสน่หา ปรารถนาความรุ่งเรืองแห่งพระสัทธรรมไปตราบเท่า ๕,๐๐๐
พระพรรษา ผู้มีเจตจำนงค้ำจุนโลก ตามเยี่ยงอย่างพระศาสดา อัน
ท่านพระอานันทเถระสดับภาษิตนั้นแล้วยกขึ้นรวบรวมไว้ในคราวทำ
ปฐมมหาสังคีติ ตามที่ได้สดับมาแล้วนั่นแล.
ในปิฎกทั้ง ๓ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ
พระอภิธรรมปิฎก, ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้น นับเนื่องในพระ-
สุตตันตปิฎก.
๑. ธรรมเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ (ทุกฺขนิสฺสรณํ)

25
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 26 (เล่ม 68)

ในนิกายใหญ่ทั้ง ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย
อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย, ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้น นับเนื่อง
ในขุททกนิกาย.
ในองค์แห่งสัตถุศาสน์ทั้ง ๙ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ
คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธรรมะ เวทัลละ, ปฏิสัม-
ภิทามรรคปกรณ์นี้นั้น นับสงเคราะห์เข้าใน ๒ องค์ คือ เคยยะ และ
เวยยากรณะ ตามที่เป็นได้.
ก็บรรดาพระธรรมขันธ์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันพระ-
อานันทเถระผู้ธรรมภัณฑาคาริก อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นสู่
เอตทัคคะใน ๕ ตำแหน่ง ปฏิญญาไว้อย่างนี้ว่า
ธรรมเหล่าใดอันเป็นไปแก่ข้าพเจ้า ธรรม
เหล่านั้น ข้าพเจ้าเรียนจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐
พระธรรมขันธ์, จากภิกษุอื่น ๒,๐๐๐ พระธรรม
ขันธ์ จึงรวมเป็น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดังนี้
ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้นั้นนับเข้าในพระธรรมขันธ์ มากกว่า
ร้อย ในธรรมขันธ์ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่เรียนจากภิกษุ.
ปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์ มี ๓ วรรค คือ มหาวรรค, มัชฌิม-
วรรค, และจูฬวรรค.

26
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 27 (เล่ม 68)

ในวรรคหนึ่ง ๆ มีวรรคละ ๑๐ กถา รวมเป็น ๓๐ กถา มี
ญาณกถาเป็นต้น มีมาติกากถาเป็นปริโยสาน. ข้าพเจ้าจะพรรณนา
เนื้อความแห่งบทที่ไม่ซ้ำกันตามลำดับแห่งปฏิสัมภิทามรรคปกรณ์นี้ที่
กำหนดโดยส่วนเดียว ด้วยประการฉะนี้.
ก็ปกรณ์นี้ อันกุลบุตรทั้งผู้สวดทั้งผู้แสดงโดยปาฐะโดยอรรถ
ก็พึงสวดพึงแสดงโดยเคารพเถิด, ถึงแม้จะเรียนก็พึงเรียนพึงทรงจำไว้
โดยเคารพเถิด. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะปกรณ์นี้เป็นปกรณ์มี
อรรถลึกซึ้ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่โลก เพื่อความดำรงมั่นอยู่ในโลก.
หากจะมีคำถามว่า ในกลา ๓๐ กถาถ้วนนั้น เพราะเหตุไรท่าน
จงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น ? ก็ตอบว่า เพราะญาณเป็นเบื้องต้นแห่ง
การปฏิบัติ เพราะเป็นธรรมเครื่องชำระมลทินแห่งการปฏิบัติ.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุเพราะเหตุนั้นแหละ เธอจง
ยังเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายให้บริสุทธิ์ก่อน,
เบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายคืออะไร ? คือศีล
อันบริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง ดังนี้๑.
ก็ญาณกล่าวคือสัมมาทิฏฐิ ท่านกล่าวแล้วด้วยบทว่า อุชุกา ทิฏฺฐิ
แม้เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวญาณกถาไว้แต่ต้น. แม้คำอื่นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้อีกว่า
๑. สํ.มหา. ๑๙/๖๘๗.

27
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ – หน้าที่ 28 (เล่ม 68)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง ๘ นั้น
สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธาน, ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็สัมมาทิฏฐิ ย่อมเป็นประธานอย่างไร ? คือ ภิกษุ
รู้จักสัมมาทิฏฐิว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้จักมิจฉาทิฏฐิ
ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมา-
ทิฏฐิ.
ภิกษุรู้จักสัมมาสังกัปปะว่าเป็นสัมมาสัง-
กัปปะ, รู้จักมิจฉาสังกัปปะว่าเป็นมิจฉาสังกัปปะ.
ภิกษุรู้จักสัมมาวาจาว่าเป็นสัมมาวาจา,
รู้จักมิจฉาวาจาว่าเป็นมิจฉาวาจา.
ภิกษุรู้จักสัมมากัมมันตะว่าเป็นสัมมากัม-
มันตะ, รู้จักมิจฉากัมมันตะว่าเป็นมิจฉากัมมันตะ.
ภิกษุรู้จักสัมมาอาชีวะว่าเป็นสัมมาอาชีวะ,
ภิกษุรู้จักมิจฉาอาชีวะว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ.
ภิกษุรู้จักสัมมาวายามะว่าเป็นสัมมาวายา-
มะ, ภิกษุรู้จักมิจฉาวายามะว่าเป็นมิจฉาวายามะ.
ภิกษุรู้จักสัมมาสติว่าเป็นสัมมาสติ, ภิกษุ
รู้จักมิจฉาสติว่าเป็นมิจฉาสติ.

28