No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 624 (เล่ม 66)

[๙๘๐] ลำดับต่อไป ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติศึกษา เพื่อกำจัด
ราคะเหล่าใด ราคะเหล่านั้น เป็นธุลี ๕ ประการในโลก
พึงปราบปราม ราคะในรูป เสียง กลิ่น รส และ
ผัสสะ.
ว่าด้วยธุลี ๕ ประการ
[๙๘๑] บทว่า อถ ในคำว่า ลำดับต่อไป...ราคะเหล่านั้น เป็น
ธุลี ๕ ประการในโลก เป็นบทสนธิ เป็นบทอุปสัค เป็นบทปทปูรณะ
เป็นศัพท์ประชุมอักขระ เป็นศัพท์สละสลวยด้วยพยัญชนะ เป็นลำดับบท.
คำว่า ธุลี ๕ ประการ คือราคะในรูป ราคะในเสียง ราคะในกลิ่น
ราคะในรส ราคะในโผฏฐัพพะ. อนึ่ง ได้แก่ราคะดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า
ราคะเรากล่าวว่าเป็นธุลี มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี.
คำว่า ธุลี เป็นชื่อของราคะ บัณฑิตทั้งหลายนั้นละธุลี
นี้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี.
โทสะเรากล่าวว่าเป็นธุลี มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี.
คำว่า ธุลี เป็นชื่อของโทสะ บัณฑิตทั้งหลายนั้นละธุลี.
นี้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากธุลี.
โมหะเรากล่าวว่าเป็นธุลี มิได้กล่าวละอองว่าเป็นธุลี.
คำว่า ธุลี เป็นชื่อของโมหะ. บัณฑิตทั้งหลายนั้น ละ
ธุลีนี้แล้ว ย่อมอยู่ในศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าผู้ปราศจาก
ธุลี.

624
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 625 (เล่ม 66)

คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก
ธาตุโลก อายตนโลก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ลำดับต่อไป... ราคะ
เหล่านั้นเป็นธุลี ๕ ประการในโลก.
[๙๘๒] คำว่า ราคะเหล่าใด ในคำว่า ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ
ศึกษาเพื่อกำจัดราคะเหล่าใด ความว่า ราคะในรูป ราคะในเสียง
ราคะในกลิ่น ราคะในรส ราคะในโผฏฐัพพะ. คำว่า เป็นผู้มีสติ
ความว่า ความระลึก ความระลึกถึง ความระลึกเฉพาะ สติความระลึก
ความทรงจำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่หลงลืม สตินทรีย์ สติพละ
สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ เอกายนมรรค นี้เรียกว่า สติ. ภิกษุเป็นผู้ถึง
เข้าไปถึง เข้าไปถึงพร้อม ไปใกล้ ไปใกล้พร้อม ประกอบด้วยสตินี้
ภิกษุนั้นเรียกว่า มีสติ.
สิกขา ในคำว่า พึงศึกษา มี ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตต-
สิกขา อธิปัญญาสิกขา อธิศีลสิกขาเป็นไฉน ฯลฯ นี้ชื่อว่า อธิปัญญา
สิกขา.
คำว่า พึงเป็นผู้มีสติศึกษาเพื่อกำจัดราคะเหล่าใด ความว่า บุคคล
ผู้มีสติ พึงศึกษาแม้อธิศีล ศึกษาแม้อธิจิต ศึกษาแม้อธิปัญญา เพื่อ
กำจัด เพื่อกำจัดเฉพาะ เพื่อละ เพื่อสงบ เพื่อสละคืน เพื่อระงับ ซึ่ง
ราคะเหล่าใด คือ ราคะในรูป ราคะในเสียง ราคะในกลิ่น ราคะในรส
ราคะในโผฏฐัพพะ นึกถึงอยู่ ชื่อว่า พึงศึกษาสิกขา ๓ นี้ รู้ก็ชื่อว่าพึง
ศึกษา ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ก็ชื่อว่าพึงศึกษา พึง
ประพฤติเอื้อเฟื้อ พึงประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดี สมาทาน ประพฤติไป
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงเป็นผู้มีสติศึกษาเพื่อกำจัดราคะเหล่าใด.

625
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 626 (เล่ม 66)

[๙๘๓] คำว่า พึงปราบปรามราคะเหล่านั้น คือ ราคะในรูป
เสียง กลิ่น รส และผัสสะ ความว่า พึงปราบ ปราบปราม ครอบงำ
ครอบงำเฉพาะ กำจัด ย่ำยี ซึ่งราคะในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏ-
ฐัพพะทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึ่งปราบปรามราคะเหล่านั้น คือ
ราคะในรูป เสียง กลิ่น รส และผัสสะ เพราะเหตุนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ลำดับต่อไป ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติศึกษาเพื่อกำจัดราคะ
เหล่าใด ราคะเหล่านั้นเป็นธุลี ๕ ประการในโลก ภิกษุ
พึงปราบปรามราคะเหล่านั้น คือราคะในรูป เสียง กลิ่น
รส และผัสสะ.
[๙๘๔] ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว พึงกำจัดฉันทะ
ในธรรมเหล่านั้น ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณาธรรม
โดยชอบตามกาล เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น พึง
กำจัดความมืดเสีย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดังนี้.
[๙๘๕] คำว่า เหล่านั้น ในคำว่า พึงกำจัดฉันทะในธรรม
เหล่านั้น ความว่า ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ. ชื่อว่าฉันทะ
คือความพอใจในกาม ความกำหนัดในกาม ความเพลินในกาม ความ
ปรารถนาในกาม ความเสน่หาในกาม ความเร่าร้อนในกาม ความหลง
ในกาม ความติดใจในกาม กามโอฆะ กามโยคะ กามุปาทาน กาม-
ฉันทนิวรณ์ในกามทั้งหลาย. คำว่า พึงกำจัดฉันทะในธรรมเหล่านั้น
ความว่า พึงกำจัด กำจัดเฉพาะ ละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึง

626
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 627 (เล่ม 66)

ความไม่มี ซึ่งฉันทะในธรรมเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงกำจัด
ฉันทะในธรรมเหล่านั้น.
[๙๘๖] ชื่อว่า ภิกษุ ในคำว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษ
ดีแล้ว คือภิกษุผู้เป็นกัลยาณปุถุชน หรือภิกษุผู้เสขะ. คำว่า มีสติ ความว่า
ความระลึก ความระลึกถึง ฯลฯ สัมมาสติ สติสัมโพชฌงค์ เอกายนมรรค
นี้เรียกว่า สติ. ภิกษุเป็นผู้เข้าถึง ฯลฯ ประกอบด้วยสตินี้ ภิกษุนั้น
เรียกว่ามีสติ. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ. คำว่า เป็นผู้มีจิต
พ้นวิเศษดีแล้ว ความว่า จิตของภิกษุผู้เข้าปฐมฌาน พ้น พ้นวิเศษ
พ้นวิเศษดีแล้วจากนิวรณ์ทั้งหลาย. จิตของภิกษุผู้เข้าทุติยฌาน พ้น พ้น-
วิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากวิตกและวิจาร. จิตของภิกษุผู้เข้าตติยฌาน พ้น
พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากปีติ. จิตของภิกษุผู้เข้าจตุตถฌาน พ้น พ้น-
วิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากสุขและทุกข์. จิตของภิกษุผู้เข้าอากาสานัญจาย-
ตนฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากรูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตต-
สัญญา. จิตของภิกษุผู้เข้าวิญญานัญจายตนฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษ-
ดีแล้วจากอากาสานัญจายตนสัญญา. จิตของภิกษุผู้เข้าอากิญจัญญายตนฌาน
พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากวิญญาณัยจายตนสัญญา. จิตของภิกษุผู้
เข้าเนวสัญญานาสัญญาตนฌาน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากอากิญ-
จัญญจายตนสัญญา. จิตของพระโสดาบัน พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้ว
จากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย และ
จากเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับวิจิกิจฉาเป็นต้นนั้น. จิตของพระ-
สกทาคามี พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจากกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย
อย่างหยาบ และจากเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับกามราคานุสัย

627
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 628 (เล่ม 66)

เป็นต้นนั้น. จิตของพระอนาคามี พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจาก
กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ จากกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัยส่วน
ละเอียด และจากเหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับกามราคสังโยชน์
เป็นต้นนั้น. จิตของพระอรหันต์ พ้น พ้นวิเศษ พ้นวิเศษดีแล้วจาก
รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธจัจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัย
อวิชชานุสัย เหล่ากิเลสที่ตั้งอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับรูปราคะเป็นต้นนั้น และ
จากสรรพนิมิตภายนอก. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิต
พ้นวิเศษดีแล้ว.
ว่าด้วยจิตที่เป็นกาลของสมถะและวิปัสสนา
[๙๘๗] คำว่า ตามกาล ในคำว่า ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณา
ธรรมโดยชอบตามกาล ความว่า เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่านเป็นกาลของสมถะ
เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกาลของวิปัสสนา.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
โยคีผู้ใด ย่อมประคองจิตในกาล ย่อมข่มจิตใน
กาลอื่น ย่อมให้จิตรื่นเริงโดยกาล ย่อมตั้งจิตไว้ในกาล
ย่อมวางเฉยตามกาล โยคีผู้นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดในกาล
ความประคองจิตควรมีในกาลไหน ความข่มจิตควรมีใน
กาลไหน กาลเป็นที่ให้จิตรื่นเริงควรมีในกาลไหน และ
กาลของสมถะเป็นกาลเช่นไร บัณฑิตย่อมแสดงกาลเป็น
ที่วางเฉยแห่งจิตของโยคีบุคคลอย่างไร เมื่อจิตของโยคี
บุคคลย่อหย่อน เป็นกาลที่ควรประคองไว้ เมื่อจิตของ

628
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 629 (เล่ม 66)

โยคีบุคคลฟุ้งซ่านเป็นกาลที่ควรข่มไว้ โยคีบุคคลพึงยัง
จิตที่ถึงความแช่มชื่นให้รื่นเริงในกาลนั้น จิตเป็น
ธรรมชาติรื่นเริงไม่ย่อหย่อน ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมมีในกาล
ใด กาลนั้นเป็นกาลของสมถะ ใจพึงยินดีในภายใน
อุบายนั้นนั่นแหละ จิตเป็นธรรมชาติตั้งมั่น ย่อมมีใน
กาลใด ในกาลนั้น โยคีบุคคลพึงวางเฉยไว้ซึ่งจิตที่ตั้งมั่น
แล้วด้วยปัญญา ธีรชนผู้รู้แจ้งกาล ทราบกาล ฉลาดใน
กาล พึงกำหนดอารมณ์อันเป็นนิมิตของจิต ตลอดกาล
ตามกาล อย่างนี้.
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุนั้น... ตามกาล. คำว่า เมื่อกำหนดพิจารณา
ธรรมโดยชอบ ความว่า เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดยชอบ สังขาร
ทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯลฯ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็น
ธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดยชอบ.
[๙๘๘] คำว่า มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ในคำว่า เป็นผู้มีจิต
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น พึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดังนี้ ความว่า เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีใจไม่
กวัดแกว่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น. คำว่า
ภิกษุนั้นฟังคำจัดความมืด ความว่า พึงขจัด กำจัด ละ บรรเทา
ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความมืดคือราคะ ความมืดคือโทสะ
ความมืดคือโมหะ ความมืดคือมานะ ความมืดคือทิฏฐิ ความมืดคือกิเลส

629
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 630 (เล่ม 66)

ความมืดคือทุจริต อันทำให้บอด ทำให้ไม่มีจักษุ ทำให้ไม่มีฌาน ดับ
ปัญญา เป็นฝักฝ่ายความลำบาก ไม่ให้เป็นไปเพื่อนิพพาน. คำว่า ภควา
เป็นคำเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภควา เพราะ-
อรรถว่า ผู้ทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ ทำลาย
ทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำลายกิเลส เพราะอรรถว่า ทรงจำแนก ทรง
แจกแจง ทรงจำแนกเฉพาะซึ่งธรรมรัตนะ เพราะอรรถว่า ทรงทำที่สุด
แห่งภพทั้งหลาย เพราะอรรถว่า มีพระกายอันทรงอบรมแล้ว มีศีลอัน
อบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะ
และป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชน
ผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกออก
เร้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
อันมีอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔
อรูปสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘ อภิภายตนะ ๘
อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งสมาบัติ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ภควา.

630
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 631 (เล่ม 66)

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งสัญญาภาวนา ๑๐ กสิณ-
สมาบัติ ๑๐ อานาปานสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัป-
ปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรค
มีองค์ ๘ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งตถาคตพลญาณ ๑๐ เวสา-
รัชญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา พระบิดา พระภาดา
พระภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา มิได้
เฉลิมให้ พระนามว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม (พระนามมีใน
อรหัตผลในลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็นสัจฉิกาบัญญัติ พร้อมด้วยการ
ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงโพธิพฤกษ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุด
ขึ้น พึงกำจัดความมืด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดังนี้ เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุเป็นผู้มีสติ มีจิตพ้นวิเศษแล้ว พึงกำจัดฉันทะใน
ธรรมเหล่านั้น ภิกษุนั้น เมื่อกำหนดพิจารณาธรรมโดย
ชอบตามกาล เป็นผู้มีจิตเป็นธรรมเอกผุดขึ้น พึงกำจัด
ความมืด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดังนี้ ฉะนี้แล.
จบสารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖
สุตตนิทเทส ๑๖ นิทเทสในอัฏฐกวรรคจบบริบูรณ์

631
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 632 (เล่ม 66)

อรรถกถาสารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖
พึงทราบวินิจฉัยในสารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖ มีคำเริ่มต้นว่า
น เม ทิฏฺโฐ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเลย ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อิโต ปุพฺเพ ก่อนแต่นี้ คือ ก่อนแต่พระ-
ศาสดาเสด็จหยั่งลงที่สังกัสสนครนี้. บทว่า วคฺคุวโท คือ มีกระแสเสียง
อันไพเราะ. บทว่า ตุสิตา คณิมาคโต พระศาสดาเสด็จจากดุสิตมาสู่
ความเป็นคณาจารย์ คือเสด็จมาจากดุสิต เพราะเคลื่อนจากดุสิตมาสู่ครรภ์
พระมารดา. ชื่อว่า คณี เพราะเป็นคณาจารย์ หรือว่าเสด็จมาจากเทวโลก
ชื่อว่า ดุสิต. เพราะเป็นที่ยินดี แล้วมาเป็นคณาจารย์. หรือว่าเสด็จมาเป็น
คณาจารย์ของพระอรหันต์ทั้งหลายผู้ยินดีแล้ว.
บทว่า อิมินา จกฺขุนา ด้วยจักษุนี้ คือ ด้วยมังสจักษุตามปกติอัน
เนื่องอยู่ในอัตภาพนี้. บทว่า อิมินา อตฺตภาเวน คือ ด้วยอัตภาพครั้ง
สุดท้ายนี้. บทว่า ตาวตึสภวเน คือ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. บทว่า
ปาริจฺฉตฺตกมูเล ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ คือภายใต้ไม้ทองหลาง. บทว่า
ปณฺฑุกมฺพลสิลายํ ปัณฑุกัมพลสิลาอาสน์ คือหลังแผ่นหินเช่นกับผ้า
กัมพลสีแดง. บทว่า วสฺสํ วุฏฺโฐ คือ ประทับจำพรรษา. บทว่า
เทวคณปริวุโต อันหมู่เทวดาห้อมล้อมแล้ว. บทว่า โอติณฺโณ คือ
เสด็จลงแล้ว. บทว่า อิมํ ทสฺสนํ ปุพฺเพ คือ เว้นการเห็นครั้งนี้ ไม่
เคยเห็นมาก่อนเลย. บทว่า น ทิฏฺโฐ คือ ไม่เคยเห็นในกาลอื่น. บทว่า
ขตฺติยสฺส วา คือ ไม่เคยได้ยินต่อกษัตริย์ตรัสบอก. แม้ในพราหมณ์
เป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

632
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 633 (เล่ม 66)

พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า มธุรวโท มีพระกระแสเสียงอัน
เสนาะดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า มีพระกระแสเสียงอันเสนาะ เพราะพระศาสดาตรัสไพเราะ
สมบูรณ์ด้วยพยัญชนะ. ชื่อว่า มีกระแสเสียงเป็นที่ตั้งแห่งความรัก เพราะ
พระองค์ตรัสชวนให้เกิดความรัก ควรแก่ความรัก. ชื่อว่า มีพระกระแส
เสียงดูดดื่มหทัย เพราะพระองค์ตรัสดูดดื่มหทัยซึ้งเข้าไปในดวงจิต ชื่อว่า
มีพระกระแสเสียงเพราะดุจนกการเวก เพราะพระองค์มีพระกระแสเสียง
ไพเราะดุจนกการเวก. บทว่า วิสฺสฏฺโฐ จ เป็นเสียงไม่ขัดข้อง คือ
ไม่แหบเครือ ไม่ติดขัด. บทว่า วิญฺเญยฺโย จ เป็นเสียงที่ผู้ฟังรู้
ได้ง่าย คือชัดเจน. บทว่า มญฺชุ จ เป็นเสียงไพเราะ คืออ่อนหวาน.
บทว่า สวนีโย จ เป็นเสียงน่าฟังคือเสนาะ. บทว่า พินฺทุ จ คือ เป็น
เสียงกลมกล่อม. บทว่า อวิสารี จ เป็นเสียงไม่แปร่ง คือไม่พร่า.
บทว่า คมฺภีโร จ เป็นเสียงลึก คือซึ้ง. บทว่า นินฺนาทิ จ เป็นเสียงก้อง
คือมีกังวาน. บทว่า อสฺส คือ ของพระศาสดาพระองค์นั้น. บทว่า
พหิทฺธา ปริสาย คือ ภายนอกบริษัท. บทว่า น นิจฺฉรติ คือ
ไม่ออกไป. เพราะอะไร. เพราะพระผู้มีพระสุรเสียงเสนาะเห็นปานนี้
จงอย่าหายไปโดยไม่มีเหตุผล. บทว่า พฺรหฺมสโร มีพระสุรเสียงเหมือน
พรหม คือชนเหล่าอื่นมีเสียงขาดไปบ้าง มีเสียงแตกไปบ้าง มีเสียงเหมือน
กาบ้าง. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ มีพระสุรเสียงเช่นกับเสียงของ
มหาพรหม. เพราะเสียงของมหาพรหมแจ่มใส เพราะไม่แหบเครือด้วยดี
และเสมหะ. แม้กรรมที่พระองค์ทรงกระทำไว้ ก็ทำให้ที่ตั้งของเสียง
บริสุทธิ์. เสียงตั้งขึ้นตั้งแต่พระนาภี เพราะเป็นที่ตั้งบริสุทธิ์จึงแจ่มใส

633