No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 604 (เล่ม 66)

เสนาสนะอันสงัด หรือในธรรมทั้งหลายอันเป็นอธิกุศลอื่น ๆ เพราฉะนั้น
จึงชื่อว่า พึงปราบความไม่ยินดีในที่นอนอันสงัด.
[๙๕๖] คำว่า พึงปราบธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน ๔ อย่าง
ความว่า พึงปราบ ข่ม ครอบงำ กำจัด ย่ำยี ซึ่งธรรมอันเป็นเหตุ
แห่งความรำพัน ๔ อย่าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงปราบธรรมอันเป็น
เหตุแห่งความรำพัน ๔ อย่าง เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า
ภิกษุทำปัญญาไว้เบื้องหน้า มีปีติงาม พึงข่มอันตราย
เหล่านั้น พึงปราบความไม่ยินดีในที่นอนอันสงัด พึง
ปราบธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน ๔ อย่าง.
[๙๕๗] เราจักฉันอะไร เราจักฉันที่ไหน วันนี้เรานอนลำบาก
หนอ พรุ่งนี้เราจักนอนที่ไหน ภิกษุผู้เสขะ พึงบำบัด
เสียซึ่งวิตกเหล่านี้อันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน พึงเป็นผู้
ไม่มีกังวลท่องเที่ยวไป.
ว่าด้วยความวิตกอันเป็นที่ตั้งความรำพัน
[๙๕๘] คำว่า เราจักฉันอะไร ในคำว่า เราจักฉันอะไร เราจัก
ฉันที่ไหน ความว่า เราจักฉันอะไร คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง
ปลา หรือเนื้อ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราจักฉันอะไร. คำว่า เราจัก
ฉันที่ไหน ความว่า เราจักฉันที่ไหน คือ ในสกุลกษัตริย์ สกุลพราหมณ์

604
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 605 (เล่ม 66)

สกุลแพศย์ หรือสกุลศูทร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราจักฉันอะไร
เราจักฉันที่ไหน.
[๙๕๙] คำว่า วันนี้เรานอนลำบากหนอ พรุ่งนี้เราจักนอนที่ไหน
ความว่า คืนนี้เรานอนลำบากบนแผ่นกระดาน บนเสื่อ บนท่อนหนัง
บนเครื่องลาดด้วยหญ้า บนเครื่องลาดด้วยใบไม้ หรือบนเครื่องลาดด้วยฟาง
คืนพรุ่งนี้เราจักนอนสบายที่ไหน คือที่เตียง ที่ตั้ง ที่ฟูก ที่หมอน ที่วิหาร
ที่เรือนมีหลังคาแถบเดียว ที่ปราสาท ที่เรือนมีหลังคาโล้น หรือที่ถ้ำ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า วันนี้เรานอนลำบากหนอ พรุ่งนี้เราจักนอน
ที่ไหน.
[๙๖๐] คำว่า ซึ่งวิตกเหล่านี้อันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน ความ
ว่า ซึ่งวิตกอันปฏิสังวยุตด้วยบิณฑบาต ๒ อย่าง ซึ่งวิตกอันปฏิสังยุตด้วย
เสนาสนะ ๒ อย่าง อันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน คือ เป็นฐานแห่งความ
ปรับทุกข์ เป็นมูลฐานแห่งความรำพัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ซึ่งวิตก
เหล่านี้อันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน.
อธิบายคำว่าเสขะและคำว่าศึกษา
[๙๖๑] ชื่อว่า เสขะ ในคำว่า ภิกษุผู้เสขะพึงบำบัดเสีย พึง
เป็นผู้ไม่มีกังวลท่องเที่ยวไป ความว่า เพราะเหตุไรจึงเรียกว่า เสขะ
เพราะศึกษาจึงชื่อว่า เสขะ ศึกษาอะไร ศึกษาอธิศีลบ้าง ศึกษา
อธิจิตบ้าง ศึกษาอธิปัญญาบ้าง อธิศีลสิกขาเป็นไฉน ฯลฯ นี้ชื่อว่า
อธิปัญญาสิกขา. ภิกษุคำนึงถึงสิกขาสมมตินี้ ก็ชื่อว่า ศึกษา รู้ก็ชื่อว่า
ศึกษา เห็นก็ชื่อว่า ศึกษา พิจารณาก็ชื่อว่า ศึกษา ตั้งจิตก็ชื่อว่า ศึกษา

605
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 606 (เล่ม 66)

น้อมใจไปด้วยศรัทธาก็ชื่อว่า ศึกษา ประคองความเพียรก็ชื่อว่า ศึกษา
เข้าไปตั้งสติก็ชื่อว่า ศึกษา ตั้งจิตไว้ก็ชื่อว่า ศึกษา รู้ชัดด้วยปัญญาก็ชื่อว่า
ศึกษา รู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งก็ชื่อว่า ศึกษา กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
ก็ชื่อว่า ศึกษา ละธรรมที่ควรละก็ชื่อว่า ศึกษา ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่
ควรทำให้แจ้งก็ชื่อว่า ศึกษา เจริญธรรมที่ควรเจริญก็ชื่อว่า ศึกษา คือ
ย่อม ประพฤติเอื้อเฟื้อ ย่อมประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดี ย่อมสมาทานศึกษา
เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า เสขะ ภิกษุผู้เสขะศึกษาแม้อธิศีล แม้อธิจิต
แม้อธิปัญญา เพื่อบำบัด กำจัด ละเว้น สงบ สละคืน ระงับเสีย
ภิกษุผู้เสขะเมื่อนึกถึงสิกขา ๓ นี้ก็พึงศึกษา เมื่อรู้ก็พึงศึกษา ฯลฯ เมื่อ
ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งก็พึงศึกษา คือพึงประพฤติเอื้อเฟื้อ
ประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดี สมาทานประพฤติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุผู้
เสขะพึงบำบัดเสีย.
ว่าด้วยการเที่ยวไปโดยไม่มีกังวล
[๙๖๒] คำว่า พึงเป็นผู้ไม่มีกังวลท่องเที่ยวไป ความว่า ภิกษุ
เป็นผู้มีกังวลท่องเที่ยวไปอย่างไร ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ประ-
กอบด้วยความกังวลสกุล ด้วยความกังวลคณะ ด้วยความกังวลอาวาส
ด้วยความกังวลจีวร ด้วยความกังวลบิณฑบาต ด้วยความกังวลเสนาสนะ
ด้วยความกังวลคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ภิกษุเป็นผู้มีกังวลท่องเที่ยวไป
อย่างนี้.
ภิกษุเป็นผู้ไม่มีกังวลท่องเที่ยวไปอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่เป็นผู้ประกอบด้วยความกังวลสกุล ไม่เป็นผู้ประกอบด้วยความกังวล

606
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 607 (เล่ม 66)

คณะ อาวาส จีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ภิกษุ
เป็นผู้ไม่มีกังวลท่องเที่ยวไปอย่างนี้.
สมจริงดังภาษิตว่า
ภิกษุทั้งหลายไปมคธรัฐ ไปโกศลรัฐ มีอยู่ ภิกษุที่
ไปมคธรัฐบางพวก เที่ยวไปต่างหมู่ แต่วัชชีภูมิ เป็นผู้
ไม่มีกังวลยู่ ความเที่ยวไปให้ประโยชน์สำเร็จ ความ
เที่ยวไปดีให้ประโยชน์สำเร็จ ความเป็นผู้ไม่กังวลอยู่ ให้
ประโยชน์สำเร็จทุกเมื่อ การถามถึงประโยชน์เป็นกรรม
ของผู้ขยัน นั่นเป็นความเสมอกันแห่งความไม่กังวล
ดังนี้.
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุผู้เสขะพึงบำบัดเสีย พึงเป็นผู้ไม่มีกังวล
ท่องเที่ยวไป เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
เราจักฉันอะไร เราจักฉันที่ไหน วันนี้เรานอนลำบาก
หนอ พรุ่งนี้เราจักนอนที่ไหน ภิกษุผู้เสขะพึงบำบัดเสีย
ซึ่งวิตกเหล่านี้ อันเป็นที่ตั้งแห่งความรำพัน พึงเป็นผู้
ไม่มีกังวลท่องเที่ยวไป.
[๙๖๓] ภิกษุนั้นในธรรมวินัย ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่มใน
กาล พึงรู้จักประมาณเพื่อสันโดษ ภิกษุนั้นสำรวมใน
ปัจจัยเหล่านั้น เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในบ้าน แม้ถูกเขาด่า
ก็ไม่ควรกล่าววาจาหยาบ.

607
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 608 (เล่ม 66)

ว่าด้วยได้อาหารและเครื่องนุ่งห่มโดยธรรม
[๙๖๔] ชื่อว่า อาหาร ในคำว่า ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่ม
ในกาล คือข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ. ชื่อว่า เครื่องนุ่งห่ม
ได้แก่จีวร ๖ ชนิด คือ ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน
ผ้าด้ายเจือไหม. คำว่า ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่มในกาล ความว่า
ภิกษุนั้นได้จีวรและบิณฑบาต มิใช่ได้ด้วยการหลอกลวง มิใช่ได้ด้วย
การพูดเลียบเคียง มิใช่ได้ด้วยการบอกใบ้ มิใช่ได้ด้วยความกำจัดคุณเขา
มิใช่ได้ด้วยการแสวงหาลาภด้วยลาภ มิใช่ได้ด้วยการให้ฟืน มิใช่ได้ด้วย
การให้ไม้ไผ่ มิใช่ได้ด้วยการให้ใบไม้ มิใช่ได้ด้วยการให้ดอกไม้ มิใช่
ได้ด้วยการให้ผลไม้ มิใช่ได้ด้วยการให้เครื่องอาบน้ำ มิใช่ได้ด้วยการ
ให้จุรณ มิใช่ได้ด้วยการให้ดินเหนียว มิใช่ได้ด้วยการให้ไม้สีฟัน มิใช่
ได้ด้วยการให้น้ำบ้วนปาก มิใช่ได้ด้วยคำพูดมุ่งให้เขารักตน มิใช่ได้ด้วย
ถ้อยคำเหลวไหลดังแกงถั่ว มิใช่ได้ด้วยกิริยาประจบเขา มิใช่ได้ด้วยความ
เป็นผู้นั่งบนตั่ง (ด้วยความตีสนิทเขา) มิใช่ได้ด้วยวิชาดูพื้นที่ มิใช่ได้ด้วย
ติรัจฉานวิชา มิใช่ได้ด้วยอังควิชา (รู้จักลักษณะดีร้ายของหญิงชาย) มิใช่
ได้ด้วยนักขัตวิชา (รู้จักฤกษ์ยาม) มิใช่ได้ด้วยการเดินเป็นทูต มิใช่ได้
ด้วยความเป็นผู้รับใช้ มิใช่ได้ด้วยความเป็นผู้เดินสาสน์ มิใช่ได้ด้วย
เวชกรรม มิใช่ได้ด้วยนวกรรม มิใช่ได้ด้วยการให้ก้อนข้าวและก้อนข้าว
ตอบแทน มิใช่ได้ด้วยการให้และการเพิ่มให้ ได้รับได้เฉพาะ โดยธรรม
สม่ำเสมอ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่มในกาล.

608
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 609 (เล่ม 66)

ความรู้จักประมาณ ๒ อย่าง
[๙๖๕] คำว่า ภิกษุนั้นพึงรู้จักประมาณ ในคำว่า ภิกษุนั้นใน
ธรรมวินัยนี้... พึงรู้จักประมาณเพื่อสันโดษ ความว่า รู้จักประมาณโดย
เหตุ ๒ อย่าง คือรู้จักประมาณโดยการรับ ๑ รู้จักประมาณโดยการ
บริโภค ๑.
ภิกษุรู้จักประมาณโดยการรับอย่างไร เมื่อทายกถวายสิ่งของแม้
น้อย ภิกษุก็รับเพื่อความเอ็นดูแก่สกุล เพื่อความรักษาสกุล เพื่อ
อนุเคราะห์แก่สกุล เมื่อทายกถวายสิ่งของแม้มาก ภิกษุรับจีวรพอบริหาร
กาย รับบิณฑบาตพอบริหารท้อง ภิกษุรู้จักประมาณโดยการรับ
อย่างนี้.
ภิกษุรู้จักประมาณโดยการบริโภคอย่างไร ภิกษุพิจารณาโดย
อุบายอันแยบคายแล้วจึงใช้จีวร เพื่อบำบัดความหนาว เพื่อบำบัดความ
ร้อน เพื่อบำบัดสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดดและสัตว์เสือกคลาน
เพื่อจะปกปิดอวัยวะที่ให้ความละอายกำเริบ เป็นกำหนดเท่านั้น ภิกษุ
พิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้ว จึงฉันบิณฑบาต ไม่ฉันเพื่อเล่น ไม่ฉัน
เพื่อเมา ไม่ฉันเพื่อประดับ ไม่ฉันเพื่อตกแต่ง ฉันเพื่อความดำรงกายนี้
เพื่อให้กายนี้เป็นไป เพื่อเว้นความลำบากแห่งกายนี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่
พรหมจรรย์ ด้วยมนสิการว่า เราจะบำบัดเวทนาเก่า จักไม่ให้เวทนา
ใหม่เกิดขึ้น ความเป็นไปสะดวก ความไม่มีโทษ ความผาสุกจักมีแก่เรา
ดังนี้ เป็นกำหนดเท่านั้น ภิกษุพิจารณาโดยอุบายอันแยบคาย แล้วจึง
เสพเสนาสนะ เพื่อบำบัดความหนาว เพื่อบำบัดความร้อน เพื่อบำบัด
สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดดและสัตว์เสือกคลาน เพื่อความบรรเทา

609
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 610 (เล่ม 66)

อันตรายอันเกิดแต่ฤดู เพื่อความยินดีในความหลีกเร้น เป็นกำหนด
เท่านั้น ภิกษุพิจารณาโดยอุบายอันแยบคายแล้วจึงใช้คิลานปัจจัย เภสัช-
บริขาร เพื่อบำบัดทุกขเวทนา อันเกิดเพราะธาตุกำเริบ ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว
เพื่อความลำบากเป็นอย่างยิ่งเป็นกำหนดเท่านั้น ภิกษุรู้จักประมาณโดย
การบริโภคอย่างนี้.
คำว่า ภิกษุนั้นพึงรู้จักประมาณ คือ รู้ รู้ทั่ว รู้แจ้ง รู้แจ้งเฉพาะ
แทงตลอด ซึ่งประมาณ โดยเหตุ ๒ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ภิกษุนั้นพึงรู้จักประมาณ.
[๙๖๖] คำว่า ในธรรมวินัยนี้... เพื่อสันโดษ ความว่า ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวร และกล่าวคุณแห่งความสันโดษด้วย
จีวรตามมีตามได้ ทั้งไม่ถึงความแสวงหาผิดอันไม่สมควรเพราะเหตุแห่ง
จีวร ไม่ได้จีวรก็ไม่สะดุ้ง และได้จีวรแล้วก็ไม่ติดใจ ไม่หลง ไม่พัวพัน
เห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดทุกข์ บริโภคอยู่ ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น
ด้วยความสันโดษด้วยจีวรตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน ไม่
เกียจคร้าน มีความรู้สึกตัว มีสติ ในจีวรสันโดษนั้น ภิกษุนี้เรียกว่า
เป็นผู้ดำรงอยู่ในวงศ์ของพระอริยะที่ทราบกันว่าเป็นวงศ์เลิศ อันมีมาแต่
โบราณ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ และ
กล่าวคุณแห่งความสันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ ทั้งไม่ถึงความ
แสวงหาผิดอันไม่สมควรเพราะเหตุแห่งบิณฑบาต ไม่ได้บิณฑบาตก็ไม่
สะดุ้ง และได้บิณฑบาตแล้วก็ไม่ติดใจ ไม่หลง ไม่พัวพัน เห็นโทษ
มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดทุกข์ บริโภคอยู่ ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยความ

610
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 611 (เล่ม 66)

สันโดษด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน
มีความรู้สึกตัว มีสติ ในบิณฑบาตสันโดษนั้น ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้
ดำรงอยู่ในวงศ์ของพระอริยะที่ทราบกันว่าเป็นวงศ์เลิศ อันมีมาแต่โบราณ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุสันโดษด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ และกล่าว
คุณแห่งความสันโดษด้วยเสนาสนะ ทั้งไม่ถึงความแสวงหาผิดอันไม่สมควร
เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ ไม่ได้เสนาสนะก็ไม่สะดุ้ง และได้เสนาสนะแล้ว
ก็ไม่ติดใจ ไม่หลง ไม่พัวพัน เห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดทุกข์
บริโภคอยู่ ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น ด้วยความสันโดษ ด้วยเสนาสนะตามมี
ตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีความรู้สึกตัว มีสติ
ในเสนาสนะสันโดษนั้น ภิกษุนี้เรียกว่า เป็นผู้ดำรงอยู่ในวงศ์แห่งพระ-
อริยะที่ทราบกันว่าเป็นวงศ์เลิศ อันมีมาแต่โบราณ.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุสันโดษด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมี
ตามได้ และกล่าวคุณแห่งความสันโดษด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมี
ตามได้ ทั้งไม่ถึงความแสวงหาผิดอันไม่สมควรเพราะเหตุแห่งคิลานปัจจัย
เภสัชบริขาร ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขารก็ไม่สะดุ้ง ได้คิลานปัจจัย
เภสัชบริขารแล้วก็ไม่ติดใจ ไม่หลง ไม่พัวพัน เห็นโทษ มีปัญญาเป็น
เครื่องสลัดทุกข์ บริโภคอยู่ ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นด้วยความสันโดษด้วย
คิลานปัจจัยเภสัชบริขารตามมีตามได้นั้น ก็ภิกษุใดเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจ-
คร้าน มีความรู้สึกตัว มีสติ ในคิลานปัจจัยเภสัชบริขารสันโดษนั้น ภิกษุ
นี้เรียกว่า เป็นผู้ดำรงอยู่ในวงศ์แห่งพระอริยะที่ทราบกันว่าเป็นวงศ์เลิศ
อันมีมาแต่โบราณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นในธรรมวินัยนี้...
พึงรู้จักประมาณเพื่อสันโดษ.

611
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 612 (เล่ม 66)

ว่าด้วยการสำรวม
[๙๖๗] คำว่า ภิกษุนั้นสำรวมในปัจจัยเหล่านั้น ในคำว่า ภิกษุ
นั้นสำรวมในปัจจัยเหล่านั้น เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในบ้าน ความว่า
สำรวม คุ้มครอง รักษา ระวัง ในจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย
เภสัชบริขารแม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นสำรวมในปัจจัย
เหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นสำรวม คุ้มครอง รักษา ระวังในอายตนะ
ทั้งหลาย แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นสำรวมในปัจจัย
เหล่านั้น. คำว่า เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในบ้าน ความว่า เป็นผู้สำรวม
ระวัง ระวังเฉพาะ คุ้มครอง ครอบครอง รักษา สังวร เที่ยวไปในบ้าน
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นสำรวมในปัจจัยเหล่านั้น เป็นผู้สำรวม
เที่ยวไปในบ้าน.
ว่าด้วยการไม่ด่าตอบคนที่ด่า
[๙๖๘] คำว่า แม้ถูกเขาด่าก็ไม่ควรกล่าววาจาหยาบ ความว่า
ถูกเขาด่า แช่ง ดูหมิ่น เสียดสี ติเตียน ค่อนว่าเข้าแล้ว ไม่พึงกล่าว
ตอบผู้ที่กล่าว ไม่พึงด่าตอบผู้ที่ด่า ไม่พึงแช่งตอบผู้ที่แช่ง ไม่พึงหมายมั่น
ตอบผู้ที่หมายมั่นด้วยถ้อยคำหยาบ กระด้าง ไม่ควรทำความทะเลาะ ไม่
ควรทำความหมายมั่น ไม่ควรทำความแก่งแย่ง ไม่ควรทำความวิวาท
ไม่ควรทำความทุ่มเถียง พึงละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี
ซึ่งความทะเลาะ ความหมายมั่น ความแก่งแย่ง ความวิวาท ความทุ่มเถียง
พึงเป็นผู้งดเว้น เว้นขาด ออก สลัดออก ปล่อยเสีย ไม่เกี่ยวข้องซึ่ง
ความทะเลาะ ความหมายมั่น ความแก่งแย่ง ความวิวาทและความทุ่มเถียง

612
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 613 (เล่ม 66)

พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แม้ถูกเขาด่าก็
ไม่ควรกล่าววาจาหยาบ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุนั้นในธรรมวินัยนี้ ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่ม
ในกาล พึงรู้จักประมาณเพื่อสันโดษ ภิกษุนั้นสำรวมใน
ปัจจัยเหล่านั้น เป็นผู้สำรวมเที่ยวไปในบ้าน แม้ถูกเขาด่า
ก็ไม่ควรกล่าววาจาหยาบ.
[๙๖๙] ภิกษุพึงเป็นผู้สำรวมจักษุ ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า
พึงเป็นผู้ขวนขวายในฌาน พึงเป็นผู้ตื่นอยู่มาก พึงเป็น
ผู้ปรารภอุเบกขามีจิตตั้งมั่น และพึงเข้าไปตัดความตรึก
ธรรมที่อาศัยอยู่แห่งความตรึก และความรำคาญ.
ว่าด้วยการสำรวมจักษุ
[๙๗๑] พึงทราบอธิบาย ในคำว่า พึงเป็นผู้สำรวมจักษุ ไม่พึง
เป็นผู้โลเลเพราะเท้า ดังต่อไปนี้.
ภิกษุเป็นผู้ทอดจักษุไปอย่างไร ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้เป็นผู้
โลเลเพราะจักษุ ประกอบด้วยความเป็นผู้โลเลเพราะจักษุ คิดว่า เราพึง
เห็นรูปที่ยังไม่ได้เห็น พึงผ่านเลยรูปที่ได้เห็นแล้ว ดังนี้ จึงเป็นผู้ประกอบ
เนือง ๆ ซึ่งความเที่ยวไปนาน ซึ่งความเที่ยวไปไม่แน่นอน เพื่อ
เห็นรูป จากอารามนี้ ไปยังอารามโน้น จากสวนนี้ไปยังสวนโน้น จาก
บ้านนี้ไปยังบ้านโน้น จากนิคมนี้ไปยังนิคมโน้น จากนครนี้ไปยังนคร
โน้น จากแคว้นนี้ไปยังแคว้นโน้น จากชนบทนี้ไปยังชนบทโน้น ภิกษุ
เป็นผู้ทอดจักษุไปแม้อย่างนี้.

613