No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 564 (เล่ม 66)

สยดสยอง ไม่พึงเป็นผู้ขลาด ไม่ขยาด ไห่หวาดหวั่น ไม่หนี ละความ
กลัว ความหวาดเสียว ปราศจากขนลุกชูชัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
อันเป็นเหตุให้ภิกษุไม่พึงหวั่นไหว.
[๙๑๐] คำว่า ในที่นอนที่นั่งอันไม่มีเสียงกึกก้อง ความว่า ใน
เสนาสนะอันมีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา
เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ในที่นอนที่นั่งอันไม่มีเสียงกึกก้อง เพราะเหตุนั้น พระสารีบุตร
เถระจึงทูลถามว่า
ในที่นอนทั้งหลายอันสูงและต่ำ ภิกษุร้องอยู่ เพราะ
ในที่นั้นมีอารมณ์อันน่าหวาดเสียว อันเป็นเหตุให้ภิกษุไม่
พึงหวั่นไหว ในที่นอนที่นั่งอันไม่มีเสียงกึกก้อง.
[๙๑๑] เมื่อภิกษุไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป ภิกษุพึงปราบปราม
อันตรายเหล่าใด ในที่นอนที่นั่งอันสงัด อันตรายเหล่านั้น
มีเท่าไรในโลก.
ว่าด้วยอันตราย ๒ อย่าง
[๙๑๒] คำว่า มีเท่าไร ในคำว่า อันตรายเหล่านั้นมีเท่าไร
ในโลก ความว่า มีเท่าไร มีประมาณเท่าไร มีกำหนดเท่าไร มีมาก
เท่าไร ชื่อว่าอันตราย ได้แก่อันตราย ๒ อย่าง คืออันตรายปรากฏ ๑
อันตรายปกปิด ๑.
อันตรายปรากฏเป็นไฉน ? ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี

564
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 565 (เล่ม 66)

เสือดาว หมาป่า โค กระบือ ช้าง งู แมลงป่อง ตะขาบ โจร คน
ที่ทำกรรมชั่ว คนที่เตรียมทำกรรมชั่ว โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น
โรคกาย โรคศีรษะ โรคในหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด
โรคไขหวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เชื่อมซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ
โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรค
มองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคหูด โรคละลอก
โรคคุดทะราด โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม
โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็น
สมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธสันนิบาต อาพาธเกิดแต่
ฤดูแปรปรวน อาพาธเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธเกิดแต่ความ
เพียรเกินกำลัง อาพาธเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน
ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ความสัมผัสแห่ง
เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลาน อันตรายเหล่านั้น เรียกว่า
อันตรายปรากฏ.
อันตรายปกปิดเป็นไฉน ? กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
กามฉันทนิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจนิวรณ์
วิจิกิจฉานิวรณ์ ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความ
ลบหลู่คุณท่าน ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ มารยา โอ้อวด
ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความ
ประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความ
เร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง อันตราย
เหล่านี้ เรียกว่า อันตรายปกปิด.

565
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 566 (เล่ม 66)

ที่ชื่อว่า อันตราย เพราะอรรถว่ากระไร จึงชื่อว่า อันตราย
เพราะอรรถว่า ครอบงำ จึงชื่อว่า อันตราย เพราะอรรถว่า เป็นไปเพื่อ
ความเสื่อม จึงชื่อว่า อันตราย เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศล
ทั้งหลาย จึงชื่อว่า อันตราย.
เพราะอรรถว่า ครอบงำอย่างไร จึงชื่อว่า อันตราย. อันตราย
เหล่านั้น ย่อมครอบงำ ปราบปราม กดขี่ ท่วมทับ กำจัด ย่ำยี ซึ่ง
บุคคลนั้น เพราะอรรถว่า ครอบงำอย่างนี้ จึงชื่อว่า อันตราย.
เพราะอรรถว่า เป็นไปเพื่อความเสื่อมอย่างไร จึงชื่อว่า อันตราย.
อันตรายเหล่านั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อม เพื่ออันตรธานไปแห่งกุศล
ธรรมทั้งหลาย. อันตรายเหล่านั้นย่อมเป็นไป เพื่อความเสื่อม เพื่ออันตร-
ธานไปแห่งกุศลธรรมเหล่าไหน ? อันตรายเหล่านั้นย่อมเป็นไปเพื่อความ
เสื่อม เพื่ออันตรธานไปแห่งกุศลธรรมเหล่านี้ คือความปฏิบัติชอบ
ความปฏิบัติสมควร ความปฏิบัติไม่เป็นข้าศึก ความปฏิบัติเป็นไปตาม
ประโยชน์ ความปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ความทำให้บริบูรณ์ในศีล
ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ
ความประกอบเนือง ๆ ในความเป็นผู้ตื่น สติสัมปชัญญะ ความประกอบ
เนือง ๆ ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ความประกอบเนือง ๆ ในการเจริญ
สัมมัปปธาน ๔ ความประกอบเนือง ๆ ในการเจริญอิทธิบาท ๔ ความ
ประกอบเนือง ๆ ในการเจริญอินทรีย์ ๕ ความประกอบเนือง ๆ ในการ
เจริญพละ ๕ ความประกอบเนือง ๆ ในการเจริญโพชฌงค์ ๗ ความ
ประกอบเนือง ๆ ในการเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ อันตรายเหล่านั้นย่อม

566
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 567 (เล่ม 66)

เป็นไปเพื่อความเสื่อม เพื่ออันตรธานไปแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น เพราะ
อรรถว่า เป็นไปเพื่อความเสื่อมอย่างนี้ จึงชื่อว่า อันตราย.
เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศลธรรมทั้งหลายอย่างไร จึงชื่อว่า
อันตราย. อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นในอัตภาพนั้น อยู่
อาศัยในอัตภาพ เปรียบเหมือนเหล่าสัตว์ที่อาศัยรูย่อมอยู่ในรู ที่อาศัยน้ำ
ย่อมอยู่ในน้ำ ที่อาศัยป่าย่อมอยู่ในป่า ที่อาศัยต้นไม้ย่อมอยู่ที่ต้นไม้ฉันใด
อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นในอัตภาพนั้น อยู่อาศัยใน
อัตภาพ ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศลธรรม
ทั้งหลาย แม้อย่างนี้ จึงชื่อว่า อันตราย.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ผู้อยู่ร่วมกับกิเลสอันอยู่อาศัยในภายใน อยู่ร่วมกับกิเลสที่ฟุ้งซ่าน ย่อมอยู่
ลำบากไม่ผาสุก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้อยู่ร่วมกับกิเลสอันอยู่อาศัย
ในภายใน อยู่ร่วมกับกิเลสที่ฟุ้งซ่าน ย่อมอยู่ลำบากไม่ผาสุกอย่างไร.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลธรรมอันลามกมีความดำริอันซ่านไปในอารมณ์
อันเกื้อกูลแก่สังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะเห็นรูป
ด้วยจักษุ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น ย่อมอยู่ซ่านไปในภายในแห่ง
ภิกษุนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ภิกษุนั้นจึงเรียกว่า ผู้อยู่ร่วมกับกิเลสอัน
อยู่อาศัยในภายใน อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น ย่อมกลุ้มรุมภิกษุนั้น
เพราะเหตุดังนี้นั้น ภิกษุนั้นจึงเรียกว่า อยู่ร่วมกับกิเลสที่ฟุ้งซ่าน อีก
ประการหนึ่ง อกุศลธรรมอันลามกมีความดำริอันซ่านไปในอารมณ์ อัน
เกื้อกูลแก่สังโยชน์ย่อมเกิดแก่ภิกษุ เพราะได้ยินเสียงด้วยหู ... เพราะสูด
กลิ่นด้วยจมูก ... เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น ... เพราะได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วย

567
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 568 (เล่ม 66)

กาย... เพราะรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้น
ย่อมอยู่ซ่านไปในภายในแห่งภิกษุนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ภิกษุนั้นจึง
เรียกว่า ผู้อยู่ร่วมกับกิเลสอันอยู่อาศัยในภายใน อกุศลธรรมอันลามก
เหล่านั้น ย่อมกลุ้มรุมภิกษุนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ภิกษุนั้นจึงเรียกว่า
ผู้อยู่ร่วมกับกิเลสที่ฟุ้งซ่าน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่อยู่ร่วมกับกิเลส
อันอยู่อาศัยในภายใน ผู้อยู่ร่วมกับกิเลสที่ฟุ้งซ่าน ย่อมอยู่ลำบากไม่ผาสุก
อย่างนี้แล เพราะฉะนั้น เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศลธรรม
ทั้งหลายแม้อย่างนี้ จึงชื่อว่า อันตราย.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ธรรม ๓ ประการ นี้ เป็นมลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็น
ข้าศึกในภายใน เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นศัตรูในภายใน ธรรม
๓ ประการเป็นไฉน ? คือโลภะ เป็นมลทินในภายใน... เป็นศัตรูใน
ภายใน โทสะ เป็นมลทินในภายใน... เป็นศัตรูในภายใน โมหะ เป็น
มลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็นข้าศึกในภายใน เป็นเพชฌ-
ฆาตในภายใน เป็นศัตรูในภายใน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๓ ประการ
นี้แล เป็นมลทินในภายใน เป็นอมิตรในภายใน เป็นข้าศึกในภายใน
เป็นเพชฌฆาตในภายใน เป็นศัตรูในภายใน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง
แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
โลภะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิด โลภะยังจิตให้
กำเริบ โลภะเป็นภัยเกิดในภายใน พาลชนย่อมไม่รู้สึก
ภัยนั้น คนผู้โลภย่อมไม่รู้อรรถ คนผู้โลภย่อมไม่เห็น
๑. ขุ. อํ. ๒๕/ข้อ ๒๖๘.

568
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 569 (เล่ม 66)

ธรรม ความโลภครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อ
ย่อมมีในขณะนั้น.
โทสะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เกิด โทสะยังจิตให้
กำเริบ โทสะเป็นภัยเกิดในภายใน พาลชนย่อมไม่รู้สึก
ภัยนั้น คนผู้โกรธย่อมไม่รู้อรรถ คนผู้โกรธย่อมไม่เห็น
ธรรม ความโกรธครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อ
ย่อมมีในขณะนั้น.
โมหะยังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เถิด โมหะยังจิตให้
กำเริบ โมหะเป็นภัยเกิดในภายใน พาลชนย่อมไม่รู้สึก
ภัยนั้น คนผู้หลงย่อมไม่รู้อรรถ คนผู้หลงย่อมไม่เห็น
ธรรม ความหลงครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อ
ย่อมมีในขณะนั้น.
เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศลทั้งหลายแม้อย่างนี้ จึงชื่อว่า อันตราย.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนมหาบพิตร ธรรม
๓ ประการแล เมื่อเกิดขึ้นในภายในแห่งบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อมิใช่
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก ธรรม ๓ ประการ
เป็นไฉน ? คือโลภะเมื่อเกิดขึ้นในภายในแห่งบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อมิใช่
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก โทสะเมื่อเกิดขึ้นใน
ภายในแห่งบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อ
ความอยู่ไม่ผาสุก โมหะเมื่อเกิดขึ้นในภายในแห่งบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อมิใช่
ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก ดูก่อนมหาบพิตร

569
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 570 (เล่ม 66)

ธรรม ๓ ประการนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในภายในแห่งบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อ
มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่ผาสุก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลง
แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า๑
โลภะ โทสะ และโมหะ เกิดขึ้นในตน ย่อมกำจัด
บุรุษผู้มีจิตลามก เหมือนขุยไผ่กำจัดไม้ไผ่ฉะนั้น.
เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศลธรรมทั้งหลายแม้อย่างนี้ จึงชื่อว่า
อันตราย.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส๒ไว้ว่า
ราคะ และโทสะ มีอัตภาพนี้เป็นเหตุ เกิดแต่อัตภาพ
นี้ ไม่ยินดีกุศล ยินดีแต่กามคุณ หำให้ขนลุกขนพอง
บาปวิตกในใจตั้งขึ้นแต่อัตภาพนี้แล้วผูกจิตไว้ เหมือน
พวกเด็กผูกกาไว้ที่ข้อเท้า ฉะนั้น.
เพราะอรรถว่า เป็นที่อยู่แห่งอกุศลธรรมทั้งหลายแม้อย่างนี้ จึงชื่อว่า
อันตราย. คำว่า ในโลก คือ ในมนุษยโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
อันตรายเหล่านั้นมีเท่าไรในโลก.
ว่าด้วยทิศที่ไม่เคยไป ( อมตนิพพาน)
[๙๑๓] คำว่า เมื่อภิกษุไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป ความว่า อมต-
นิพพาน คือความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความ
สิ้นตัณหา ความสำรอก ความดับ ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด
๑. ขุ. อิ. ๒๕/ข้อ ๒๒๘, ขุ. สุ. ๒๕/ข้อ ๓๒๐.

570
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 571 (เล่ม 66)

เรียกว่าทิศที่ไม่เคยไป ทิศที่ยังไม่เคยไปโดยกาลยืดยาวนี้ ชื่อว่าทิศที่ไม่
เคยไป บุคคลพึงประคองภาชนะน้ำมัน อันเต็มเสมอขอบปาก เต็มเปี่ยม
ฉันใด พระโยคาวจรเมื่อปรารถนาทิศที่ยังไม่เคยไป ก็พึงรักษาจิตของตน
เนืองๆ ฉันนั้น เมื่อภิกษุไป ดำเนินไป ก้าวไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อภิกษุไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป.
[๙๑๔] คำว่า ภิกษุพึงปราบปรามอันตรายเหล่าใด ความว่า
ภิกษุพึงปราบปราม ครอบงำ กำจัด ขับไล่ ย่ำยีอันตรายเหล่าใด
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุพึงปราบปรามอันตรายเหล่าใด.
[๙๑๕] คำว่า ในที่นอนที่นั่งอันสงัด ความว่า ในที่นอนที่นั่ง
อันสงัดเป็นที่สุด ส่วนสุด ส่วนสุดรอบ เป็นส่วนสุดแห่งภูเขาหิน เป็น
ส่วนสุดแห่งป่า เป็นส่วนสุดแห่งน้ำ หรือเป็นส่วนสุดแห่งแม่น้ำ เป็น
สถานที่เขาไม่ไถ ไม่หว่าน ไม่เป็นอุปจารแห่งพวกมนุษย์ ล่วงเลยหมู่
ชน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ในที่นอนที่นั่งอันสงัด เพราะเหตุนั้น
พระสารีบุตรเถระจึงทูลถามว่า
เมื่อภิกษุไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป ภิกษุพึงปราบปราม
อันตรายเหล่าใด ในที่นอนที่นั่งอันสงัด อันตรายเหล่านั้น
มีเท่าไรในโลก.
[๙๑๖] เมื่อภิกษุอบรมตนอยู่ เธอพึงเป็นผู้มีคลองแห่งถ้อยคำ
อย่างไร พึงเป็นผู้มีโคจรในศาสนานี้อย่างไร พึงเป็น
ผู้มีศีลและวัตรอย่างไร.
[๙๑๗] คำว่า เธอพึงเป็นผู้มีคลองแห่งถ้อยคำอย่างไร ความว่า

571
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 572 (เล่ม 66)

พระเถระ ย่อมทูลถามถึงความบริสุทธิ์แห่งวาจาว่า ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้
ประกอบด้วยคลองแห่งถ้อยคำเช่นไร คือด้วยคลองแห่งถ้อยคำที่ดำรงไว้
อย่างไร มีชนิดอย่างไร มีส่วนเปรียบอย่างไร.
ว่าด้วยความบริสุทธิ์แห่งวาจา
ความบริสุทธิ์แห่งวาจาเป็นไฉน ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละมุสาวาท
เป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท คือพูดจริง ดำรงคำจริง มีถ้อยคำมั่นคง มี
ถ้อยคำเชื่อถือได้ ไม่พูดให้เคลื่อนคลาดแก่โลก ละปิสุณาวาจา เป็นผู้เว้น
ขาดจากปิสุณาวาจา คือฟังจากข้างนี้แล้ว ไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลาย
คนหมู่นี้ หรือฟังจากข้างโน้นแล้ว ไม่มาบอกคนหมู่นี้ เพื่อทำลายคนหมู่
โน้น เป็นผู้สมานคนที่แตกกันบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันบ้าง
มีความพร้อมเพรียงเป็นที่มายินดี ยินดีในบุคคลที่พร้อมเพรียงกัน มีความ
เพลิดเพลินในบุคคลที่พร้อมเพรียงกัน กล่าววาจาที่ทำให้เขาพร้อมเพรียง
กันด้วยประการดังนี้ ละผรุสวาจา เป็นผู้เว้นขาดจากผรุสวาจา คือกล่าว
วาจาที่ไม่มีโทษ อันไพเราะโสต เป็นที่ตั้งแห่งความรัก หยั่งลงถึงหทัย
เป็นคำของชาวเมือง ที่คนหมู่มากพอใจ ชอบใจ ละสัมผัปปลาปะ เป็น
ผู้เว้นขาดจากสัมผัปปลาปะ คือพูดโดยกาลควร พูดจริง พูดอิงอรรถ
พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย กล่าววาจาเป็นหลักฐานมีที่อ้างอิง มีส่วนสุด
ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลควร เป็นผู้ประกอบด้วยวจีสุจริต ๔ กล่าว
วาจาปราศจากโทษ ๔ งด เว้น เว้น ขาด ออก สลัด พ้นขาด ไม่ประกอบ
ด้วยติรัจฉานกถา ๓๒ ประการ เป็นผู้มีจิตปราศจากเขตแดนกิเลสอยู่
ย่อมกล่าวกถาวัตถุ ๑๐ อย่าง คืออัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา

572
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 573 (เล่ม 66)

อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา
วิมุตติญาณทัสสนกถา ย่อมกล่าวสติปัฏฐานกถา สัมมัปปธานกถา
อิทธิบาทกถา อินทรียกถา พลกถา โพชฌงคกถา มรรคกถา ผลกถา
นิพพานกถา เป็นผู้ประกอบ สำรวม สำรวมเฉพาะ คุ้มครอง ปกครอง
รักษา ระวังด้วยวาจา นี้ชื่อว่าความบริสุทธิ์แห่งวาจา ภิกษุพึงเป็นผู้
ประกอบด้วยความบริสุทธิ์แห่งวาจาเช่นนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เธอพึง
เป็นผู้มีคลองแห่งถ้อยคำอย่างไร.
[๙๑๘] คำว่า เธอพึงเป็นผู้มีโคจรในศาสนานี้อย่างไร ความว่า
พระเถระย่อมทูลถามถึงโคจรว่า ภิกษุนั้น พึงเป็นผู้ประกอบด้วยโคจร
เช่นไร คือด้วยโคจรที่ดำรงไว้อย่างไร มีชนิดอย่างไร มีส่วนเปรียบ
อย่างไร อโคจรมีอยู่ โคจรมีอยู่.
ว่าด้วยอโคจร
อโคจรเป็นไฉน ? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีหญิงแพศยา
เป็นโคจรบ้าง เป็นผู้มีหญิงหม้ายเป็นโคจรบ้าง เป็นผู้มีสาวเทื้อเป็นโคจร
บ้าง เป็นผู้มีบัณเฑาะก์เป็นโคจรบ้าง เป็นผู้มีภิกษุณีเป็นโคจรบ้าง เป็น
ผู้มีโรงสุราเป็นโคจรบ้าง อยู่คลุกคลีด้วยพวกพระราชา พวกมหาอำมาตย์
ของพระราชา พวกเดียรถีย์ พวกสาวกของเดียรถีย์ ด้วยความคลุกคลี
กับคฤหัสถ์อันไม่สมควร.
อนึ่ง สกุลบางแห่งไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ไม่เป็นดุจบ่อน้ำ มัก
ด่า มักบริภาษ มุ่งความเสื่อม มุ่งสิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล มุ่งความ
ไม่สบาย มุ่งความไม่ปลอดโปร่งจากโยคกิเลส แก่พวกภิกษุ พวกภิกษุณี

573