No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 554 (เล่ม 66)

มิได้ดับ มิได้ให้ลุก ดับแล้วดำรงอยู่ ดำรงอยู่เพราะเป็นผู้ประกอบด้วย
ศีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์
เป็นอเสขะ แทงตลอดอริยสัจแล้วดำรงอยู่ ก้าวล่วงตัณหาอย่างนี้แล้วจึง
ดำรงอยู่ ดับไฟกิเลสแล้วดำรงอยู่ ดำรงอยู่เพราะไม่ต้องไป ยึดถือเอายอดชัย
แล้วดำรงอยู่ ดำรงอยู่ในความซ่องเสพวิมุตติ ดำรงอยู่ด้วยความเมตตา
กรุณา มุทิตา อุเบกขาอันบริสุทธิ์ ดำรงอยู่ด้วยความบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว
ดำรงอยู่ในความเป็นผู้ไม่แข็งกระด้าง ด้วยตัณหา ทิฏฐิ มานะ อันบริสุทธิ์
ดำรงอยู่เพราะเป็นผู้หลุดพ้น ดำรงอยู่เพราะเป็นผู้สันโดษ ดำรงอยู่ใน
ส่วนสุดรอบแห่งขันธ์ ธาตุ อายตนะ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร
วัฏฏะ ดำรงอยู่ในภพอันมีในที่สุด ดำรงอยู่ในอัตภาพอันมีในที่สุด ทรง
ไว้ซึ่งร่างกายมีในที่สุด.
สมจริงดังประพันธ์คาถาว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีภพนี้เป็นที่สุด มีอัตภาพนี้
เป็นทีหลัง มิได้มีชาติ มรณะและสงสาร ไม่มีภพใหม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าคงที่ เพราะอรรถว่า ข้ามแล้วอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้คงที่ เพราะอรรถว่า พ้นแล้วอย่าง
ไร ? พระทัยของพระมีผู้พระภาคเจ้าพ้นแล้ว พ้นวิเศษ พ้นดีแล้ว จากราคะ
โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ
ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความ
แข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความประมาท กิเลสทั้งปวง
ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความ

554
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 555 (เล่ม 66)

เดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็น
ผู้คงที่ เพราะอรรถว่า พ้นแล้วอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกซึ่งธรรม
นั้น ๆ อย่างไร ? พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออก
ว่า เป็นผู้มีศีล ในเมื่อศีลมีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า เป็น
ผู้มีศรัทธา ในเมื่อศรัทธามีอยู่. ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า
เป็นผู้มีวิริยะ ในเมื่อวิริยะมีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า
เป็นผู้มีสติ ในเมื่อสติมีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า เป็น
ผู้มีสมาธิ ในเมื่อสมาธิมีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า เป็น
ผู้มีปัญญา ในเมื่อปัญญามีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า
เป็นผู้มีวิชชา ๓ ในเมื่อวิชชามีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกว่า
เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ในเมื่ออภิญญามีอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้คงที่เพราะทรงแสดง
ออกว่า เป็นผู้มีพละ ๑๐ ในเมื่อพละมีอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็น
ผู้คงที่เพราะทรงแสดงออกซึ่งธรรมนั้น ๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ไม่อาศัย ผู้คงที่.
ว่าด้วยวัตถุแห่งความหลอกลวง ๓ อย่าง
[๘๙๗] ชื่อว่า ผู้ไม่ทรงหลอกลวง ในคำว่า ผู้ไม่หลอกลวง
ผู้มาเป็นพระคณาจารย์ มีอธิบายว่า วัตถุแห่งความหลอกลวง ๓ อย่าง คือ
วัตถุแห่งความหลอกลวงกล่าวด้วยการซ่องเสพปัจจัย ๑ วัตถุแห่งความ
หลอกลวงกล่าวด้วยอิริยาบถ ๑ วัตถุแห่งความหลอกลวงกล่าวด้วยการพูด
เลียบเคียง ๑.

555
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 556 (เล่ม 66)

วัตถุแห่งความหลอกลวงกล่าวด้วยการซ่องเสพปัจจัยเป็นไฉน ?
พวกคฤหบดีในโลกนี้ ย่อมนิมนต์ภิกษุด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ภิกษุนั้นมีความปรารถนาลามก อันความ
ปรารถนาครอบงำ มีความต้องการด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร อาศัยความเป็นผู้อยากได้มาก ย่อมบอกคืน
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร พูดอย่างนี้ว่า
ประโยชน์อะไรแก่สมณะด้วยจีวรมีค่ามาก การที่สมณะเที่ยวเลือกเก็บ
ผ้าเก่าจากป่าช้า กองหยากเยื่อ หรือร้านตลาด แล้วทำสังฆาฏิใช้ เป็น
การสมควร ประโยชน์อะไรแก่สมณะด้วยบิณฑบาตมีค่ามาก การที่สมณะ
สำเร็จความเป็นอยู่ ด้วยก้อนข้าวที่ได้มาด้วยปลีแข้ง โดยความประพฤติ
แสวงหา เป็นการสมควร ประโยชน์อะไรแก่สมณะด้วยเสนาสนะมีค่ามาก
การที่สมณะอยู่โคนต้นไม้ อยู่ที่ป่าช้า หรืออยู่ที่แจ้ง เป็นการสมควร
ประโยชน์อะไรแก่สมณะด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขารมีค่ามาก การที่สมณะ
พึงทำยาด้วยน้ำมูตรเน่าหรือชิ้นลูกสมอ เป็นการสมควร ภิกษุนั้นอาศัย
ความเป็นผู้อยากได้มาก จึงทรงจีวรที่เศร้าหมอง ฉันบิณฑบาตที่
เศร้าหมอง ซ่องเสพเสนาสนะที่เศร้าหมอง และฉันคิลานปัจจัยเภสัช-
บริขารที่เศร้าหมอง พวกคฤหบดีเห็นภิกษุนั้นแล้ว ย่อมทราบอย่างนี้ว่า
สมณะนี้เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วย
หมู่คณะ ปรารภความเพียร มีวาทะกำจัดกิเลส ก็ยิ่งนิมนต์เธอด้วยจีวร
บิณฑบาตเสนาสนะคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ภิกษุนั้นก็กล่าวว่า เพราะ
ประกอบด้วยเหตุ ๓ ประการ กุลบุตรผู้มีศรัทธา ก็ประสบบุญมาก คือ
เพราะประจวบด้วยศรัทธา ๑ เพราะประจวบด้วยไทยธรรม ๑ เพราะ

556
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 557 (เล่ม 66)

ประจวบด้วยทักขิไณยบุคคล ๑ ท่านทั้งหลายมีศรัทธานี้อยู่ มีไทยธรรมนี้
อยู่ ทั้งอาตมาก็เป็นปฏิคาหก (ผู้ทักขิไณยบุคคล) ถ้าอาตมาจักไม่รับ
ท่านทั้งหลายก็จักเสื่อมจากบุญไป อาตมาไม่มีความต้องการด้วยปัจจัยนี้
ก็แต่ว่าอาตมาจะรับด้วยความอนุเคราะห์ท่านทั้งหลาย จำเดิมแต่นั้น ภิกษุ
นั้นก็รับจีวรมาก รับบิณฑบาตมาก รับเสนาสนะมาก รับคิลานปัจจัย-
เภสัชบริขารมาก ความทำหน้ายู่ยี่ ความเป็นผู้มีหน้ายู่ยี่ ความหลอกลวง
กิริยาที่หลอกลวง ความเป็นผู้หลอกลวง เห็นปานนี้ เรียกว่า วัตถุแห่ง
ความหลอกลวงกล่าวด้วยการซ่องเสพปัจจัย.
วัตถุแห่งความหลอกลวงกล่าวด้วยอิริยาบถเป็นไฉน ? ภิกษุบาง
รูปในธรรมวินัยนี้ มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ
มีความประสงค์ในการยกย่อง คิดว่า ประชุมชนจักยกย่องเราด้วยอุบาย
อย่างนี้ จึงสำรวมการเดิน สำรวมการยืน สำรวมการนั่ง สำรวมการนอน
ย่อมตั้งสติเดิน ตั้งสติยืน ตั้งสตินั่ง ตั้งสตินอน ทำเหมือนภิกษุมีสมาธิเดิน
ทำเหมือนภิกษุมีสมาธิยืน ทำเหมือนภิกษุมีสมาธินั่ง ทำเหมือนภิกษุมี
สมาธินอน และทำเหมือนภิกษุที่เจริญอาปาถกฌาน (เจริญฌานต่อหน้า
พวกมนุษย์) การดังใจทำ การทำ ก้าวดำรงอิริยาบถ ความทำหน้ายู่ยี่
ความเป็นผู้มีหน้ายู่ยี่ ความหลอกลวง กิริยาที่หลอกลวง ความเป็นผู้
หลอกลวง เห็นปานนี้ เรียกว่า วัตถุแห่งความหลอกลวงกล่าวอันตราย
อิริยาบถ.
วัตถุแห่งดงามหลอกลวงกล่าวด้วยการพูดเลียบเคียงเป็นไฉน ?
ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนา
ครอบงำ มีความประสงค์ในการยกย่อง คิดว่า ประชุมชนจักยกย่องเรา
ด้วยอุบายอย่างนี้ จึงกล่าววาจาอิงอริยธรรม คือ พูดว่า สมณะใดทรงจีวร

557
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 558 (เล่ม 66)

อย่างนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก สมณะใดทรงบาตรอย่างนี้... ทรงภาชนะ
โลหะอย่างนี้ ... ทรงธมกรกอย่างนี้ .. . ทรงผ้ากรองน้ำอย่างนี้ ... ถือ
ลูกกุญแจอย่างนี้... สวมรองเท้าอย่างนี้. .. ใช้ประคดสำหรับคาดกาย
อย่างนี้... ใช้สายโยกบาตอย่างนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก พูดว่า สมณะ
ใด มีอุปัชฌายะอย่างนี้ มีอาจารย์อย่างนี้ ... มีพวกร่วมอุปัชฌายะอย่าง
นี้ ... มีพวกร่วมอาจารย์อย่างนี้ ... มีมิตรอย่างนี้ ... มีพวกอย่างนี้ ...
มีพวกที่คบกันมาอย่างนี้ ... มีสหายอย่างนี้ ... สมณะนั้นมีศักดิ์มาก
พูดว่า สมณะใดอยู่ในวิหารเช่นนี้ ... อยู่ในเรือนมีหลังคาแถบเดียว
อย่างนี้ ... อยู่ในปราสาทอย่างนี้ ... อยู่ในเรือนมีหลังคาโล้นอย่างนี้...
อยู่ในถ้ำอย่างนี้ ... อยู่ในที่เร้นอย่างนี้ ... อยู่ในกุฎีอย่างนี้ . . . อยู่ใน
เรือนยอดอย่างนี้ ... อยู่ในซุ้มประตูอย่างนี้ ... อยู่ในโรงกลมอย่างนี้ ...
อยู่ในโรงที่พัก (ปะรำ) อย่างนี้ ... อยู่ในศาลาที่ประชุมอย่างนี้ ... อยู่
ในมณฑปอย่างนี้ ... อยู่ที่โคนต้นไม้อย่างนี้... สมณะนั้นมีศักดิ์มาก
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้วางหน้าเฉยเมย ทำหน้ายู่ยี่ หลอกลวง ปลิ้นปล้อน
ตลบตะแลง อันผู้อื่นสรรเสริญ ด้วยความที่ตนวางหน้าว่า สมณะนี้ได้
วิหารสมบัติอันมีอยู่เห็นปานนี้ ภิกษุนั้น ย่อมกล่าวถ้อยคำเช่นนั้น อัน
ปฏิสังยุตด้วยโลกุตรธรรม และนิพพาน อันลึกลับ สุขุม ละเอียด ปิดบัง
ความท่าหน้ายู่ยี่ ความเป็นผู้มีหน้ายู่ยี่ ความหลอกลวง กิริยาที่หลอกลวง
ความเป็นผู้หลอกลวง เห็นปานนี้ เรียกว่า วัตถุแห่งควานหลอกลวง
กล่าวด้วยการพูดเลียบเคียง.
วัตถุแห่งความหลอกลวง ๓ อย่างนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้
แล้ว ทรงละ ตัดขาด ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว

558
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 559 (เล่ม 66)

ด้วยไฟคือญาณ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว จึงชื่อว่า
ผู้ไม่หลอกลวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่หลอกลวง
ว่าด้วยพระพุทธเจ้าทรงเป็นพระคณาจารย์
[๘๙๘] คำว่า ผู้มาเป็นพระคณาจารย์ ความว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้าชื่อว่า คณี เพราะอรรถว่า มีคณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า เป็นคณี
เพราะอรรถว่า เป็นพระคณาจารย์ ชื่อว่า เป็นคณี เพราะอรรถว่า เป็น
พระศาสดาของคณะ ชื่อว่า เป็นคณี เพราะอรรถว่า พระองค์ทรงบริหาร
คณะ ชื่อว่า เป็นคณี เพราะอรรถว่า พระองค์ตรัสสอนคณะ ชื่อว่า เป็น
คณี เพราะอรรถว่า พระองค์ทรงพร่ำสอนคณะ ชื่อว่า เป็นคณี เพราะ
อรรถว่า พระองค์มีความองอาจเสด็จเข้าไปสู่คณะ ชื่อว่า เป็นคณี เพราะ
อรรถว่า คณะย่อมฟังด้วยดีต่อพระองค์ เงี่ยโสตลงฟัง เข้าไปตั้งจิตเพื่อ
ความรู้ ชื่อว่า เป็นคณี เพราะอรรถว่า พระองค์ยังคณะให้ออกจากอกุศล
ให้ตั้งอยู่เฉพาะในกุศล. ชื่อว่า เป็นคณีของคณะภิกษุ ชื่อว่า เป็นคณีของ
คณะภิกษุณี ชื่อว่า เป็นคณีของคณะอุบาสก ชื่อว่า เป็นคณีของคณะ
อุบาสิกา ชื่อว่า เป็นคณีของคณะพระราชา ชื่อว่า เป็นคณีของคณะ
กษัตริย์ ชื่อว่า เป็นคณีของคณะพราหมณ์ ชื่อว่า เป็นคณีของคณะแพศย์
ชื่อว่า เป็นคณีของคณะศูทร ชื่อว่า เป็นคณีของคณะเทวดา ชื่อว่า เป็น
คณีของคณะพรหม พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มีหมู่ มีคณะ เป็นพระคณา-
จารย์ เสด็จมา เข้ามา เข้ามาพร้อม ถึงพร้อมแล้วซึ่งสังกัสสนคร เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่หลอกลวง ผู้มาเป็นพระคณาจารย์.

559
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 560 (เล่ม 66)

[๘๙๙] คำว่า ของคนหมู่มาก ในคำว่า ของคนหมู่มากซึ่งเนื่อง
ในศาสนานี้ ความว่า ของกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คฤหัสถ์
บรรพชิต เทวดา มนุษย์ เป็นอันมาก. คำว่า เนื่อง คือ เป็นผู้เนื่อง
มีความประพฤติเนื่องกัน เป็นผู้บำรุง เป็นศิษย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ของคนหมู่มากซึ่งเนื่องในศาสนานี้.
[๙๐๐] คำว่า เรามีความประสงค์ด้วยปัญหาจึงมา ความว่า
เราเป็นผู้มีความประสงค์ด้วยปัญหามาแล้ว คือเรามีความประสงค์เพื่อจะ
ทูลถามปัญหามาแล้ว เรามีความประสงค์เพื่อจะฟังปัญหามาแล้ว แม้ด้วย
เหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เรามีความประสงค์ด้วยปัญหาจึงมา. อีกอย่าง
หนึ่ง ความมา ความก้าวไปเฉพาะ ความเข้าไปหา ความเข้าไปนั่งใกล้
พึงมีแก่ชนทั้งหลาย ผู้มีความต้องการด้วยปัญหา ผู้ถามปัญหา ผู้ประสงค์
เพื่อจะฟังปัญหา แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เรามีความประสงค์
ด้วยปัญหาจึงมา. อีกอย่างหนึ่ง อาคม (สูตร) แห่งปัญหาของพระองค์มี
อยู่ พระองค์เป็นผู้สามารถจะตรัสถาม กล่าวแก้กับข้าพระองค์ ข้อนี้จง
เป็นภาระของพระองค์ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เรามีความประ-
สงค์ด้วยปัญหาจึงมา เพราะเหตุนั้น พระสารีบุตรเถระจึงกราบทูลว่า
ข้าพระองค์มีความประสงค์ด้วยปัญหา จึงมาถึงพระ-
พุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ไม่อาศัย ผู้คงที่ ผู้ไม่หลอกลวง ผู้
มาเป็นพระคณาจารย์ของคนหมู่มากซึ่งเนื่องในศาสนานี้.
[๙๐๑] เมื่อภิกษุเกลียดอยู่ ซ่องเสพที่นั่งอันว่างเปล่า รุกขมูล
สุสาน หรือที่นั่งในถ้ำแห่งบรรพตทั้งหลาย.

560
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 561 (เล่ม 66)

ว่าด้วยปฏิปทาของภิกษุ
[๙๐๒] คำว่า เมื่อภิกษุ ในคำว่า เนื้อภิกษุเกลียดอยู่ ความว่า
เมื่อภิกษุที่เป็นกัลยาณปุถุชน หรือที่เป็นเสขชน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เมื่อภิกษุ. คำว่า เกลียดอยู่ คือ เกลียด อึดอัด ระอา เบื่อหน่าย ด้วยชาติ
ชรา พยาธิ มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ทุกข์ในนรก
ทุกข์ในดิรัจฉานกำเนิด ทุกข์ในเปรตวิสัย ทุกข์ในมนุษย์ ทุกข์มีความเกิด
ในครรภ์เป็นมูล ทุกข์มีความตั้งอยู่ในครรภ์เป็นมูล ทุกข์มีความคลอดจาก
ครรภ์เป็นมูล ทุกข์ที่ติดตามสัตว์ผู้เกิด ทุกข์อันเนื่องแต่ผู้อื่นแห่งสัตว์ผู้เกิด
ทุกข์เกิดแต่ความขวนขวายของตน ทุกข์เกิดแต่ความขวนขวายของผู้อื่น
ทุกข์ที่เกิดแต่ทุกขเวทนา (ทุกขเวทนามีในกายและใจ) ทุกข์เกิดแต่สังขาร
ทุกข์เกิดแต่ความแปรปรวน ทุกข์เพราะโรคจักษุ ทุกข์เพราะโรคหู
ทุกข์เพราะโรคจมูก ทุกข์เพราะโรคลิ้น ทุกข์เพราะโรคกาย ทุกข์เพราะ
โรคศีรษะ ทุกข์เพราะโรคในหู ทุกข์เพราะโรคปาก ทุกข์เพราะโรคฟัน
โรคไอ โรคหืด โรคไขหวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เชื่อมซึม โรคในท้อง
โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรค
กลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู. โรคหิตเปื่อย โรคหิตด้าน โรคหูด
โรคละลอก โรคคุดทะราด โรคอาเจียนโลหิต โรคดีกำเริบ โรคเบาหวาน
โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมี
เสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธสันนิบาต อาพาธ
เกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธเกิด
แต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว
ความร้อน ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ทุกข์

561
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 562 (เล่ม 66)

เกิดแต่ความสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลาน ทุกข์
เพราะมารดาตาย ทุกข์เพราะบิดาตาย ทุกข์เพราะพี่ชายน้องชายตาย
ทุกข์เพราะพี่หญิงน้องหญิงตาย ทุกข์เพราะบุตรตาย ทุกข์เพราะธิดาตาย
ทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งญาติ ทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งโภคทรัพย์
ทุกข์เพราะความฉิบหายอันเกิดแต่โรค ทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งศีล
ทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อภิกษุเกลียด
อยู่.
[๙๐๓] คำว่า ซ่องเสพที่นั่งอันว่างเปล่า ความว่า ที่ใดเป็นที่นั่ง
คือเตียง ตั่ง ฟูก เสื่อ ท่อนหนัง เครื่องลาดด้วยหญ้า เครื่องลาดด้วยใบไม้
เครื่องลาดด้วยฟาง ที่นั้นเรียกว่าที่นั่ง ที่นั่งนั้น ว่าง เปล่า สงัด เงียบ
จากการเห็นรูปไม่เป็นที่สบาย ว่าง เปล่า สงัด เงียบจากการได้ยินเสียง
ไม่เป็นที่สบาย ฯลฯ ว่าง เปล่า สงัด เงียบจากเบญจกามคุณไม่เป็นที่
สบาย เมื่อภิกษุซ่องเสพ ซ่องเสพเสมอ เสพอาศัย ซ่องเสพเฉพาะที่
นั่งนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อภิกษุซ่องเสพที่นั่งอันว่างเปล่า.
[๙๐๔] คำว่า รุกขมูล สุสาน ความว่า รุกขมูล คือโคนต้นไม้
สุสานคือป่าช้า เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า รุกขมูล สุสาน.
[๙๐๕] คำว่า หรือที่นั่งในถ้ำแห่งบรรพตทั้งหลาย ความว่า
บรรพตคือภูเขา กันทระคือซอก คิริคุหาคือถ้ำในภูเขา ท้องภูเขาแห่ง
ภูเขาทั้งหลาย เรียกว่า ระหว่างภูเขา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า หรือที่นั่ง
ในถ้ำแห่งบรรพตทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น พระสารีบุตรเถระจึงทูลถามว่า
เมื่อภิกษุเกลียดอยู่ ซ่องเสพที่นั่งอันว่างเปล่า รุกขมูล
สุสาน หรือที่นั่งในถ้ำแห่งบรรพตทั้งหลาย.

562
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 563 (เล่ม 66)

[๙๐๖] ในที่นอนทั้งหลายอันสูงและต่ำ ภิกษุร้องอยู่ เพราะ
ในที่นั้นมีอารมณ์อันน่าหวาดเสียว อันเป็นเหตุให้ภิกษุไม่
พึงหวั่นไหว ในที่นอนที่นั่งอันไม่มีเสียงก้อง.
ว่าด้วยที่นอนสูงต่ำ
[๙๐๗] คำว่า อันสูงและต่ำ ในคำว่า ในที่นอนอันสูงและต่ำ
ความว่า สูงและตำ คือเลวประณีต ดีและชั่ว เสนาสนะ คือวิหาร
เรือนมีหลังคาแถบเดียว ปราสาท เรือนโล้น ถ้ำ เรียกว่า ที่นอน ในคำว่า
ในที่นอนทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ในที่นอนทั้งหลายอันสูง
และต่ำ.
[๙๐๘] คำว่า ร้องอยู่ ในคำว่า ภิกษุร้องอยู่ เพราะในนั้น
มีอารมณ์อันน่าหวาดเสียว ความว่า ภิกษุร้อง เรียกว่า บันลือ ออก
เสียงอยู่. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า อารมณ์อันน่าหวาดเสียว มีเท่าไร มี
อย่างไร มีประมาณเท่าไร มีกำหนดเท่าไร มีมากเท่าไร ชื่อว่าอารมณ์
น่าหวาดเสียวเหล่านั้น คือราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี เสือดาว
หมาป่า โค กระบือ ช้าง งู แมลงป่อง ตะขาบ โจร คนที่ทำกรรมชั่ว
หรือคนที่เตรียมทำกรรมชั่ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุร้องอยู่ เพราะ
ในที่นั้นมีอารมณ์อันน่าหวาดเสียว.
[๙๐๙] คำว่า อารมณ์อันน่าหวาดเสียว ในคำว่า อันเป็นเหตุ
ให้ภิกษุไม่พึงหวั่นไหว ความว่า ภิกษุเห็นหรือได้ยินแล้วซึ่งอารมณ์อันน่า
หวาดกลัวเหล่าใด อันเป็นเหตุให้ภิกษุไม่พึงหวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน
ไม่ครั่นคร้าม ไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว ไม่ตกใจ ไม่กลัว ไม่ถึงความ

563