No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 524 (เล่ม 66)

อรรถว่า เป็นความห่วงใยของโลก และเพราะอรรถว่า ก้าวไปได้ยาก.
บทว่า อาจมํ ชื่อว่า อาจมะ เพราะมาว่องไวตั้งแต่ปฏิสนธิ. บทนี้เป็น
ชื่อของตัณหาให้ปฏิสนธิในภพใหม่อันมีวัฏฏะเป็นมูล. บทว่า ชปฺปนํ นี้เป็น
ชื่อของตัณหาอันเป็นความปรารถนา. บทว่า อารมฺมณมฺปิ วุจฺจติ ตณฺหา
แม้อารมณ์ก็เรียกว่าตัณหา คือท่านกล่าวว่า ตัณหาเกิดขึ้นในอารมณ์มีรูป
เป็นต้น ชื่อว่าเป็นอารมณ์ เพราะไม่สามารถปล่อยไปได้. บทว่า
กามปงฺโก เปือกตมคือกาม ชื่อว่าเปือกตม เพราะอรรถว่า จมลง
บทว่า กทฺทโม ความว่า หล่มคือกาม ชื่อว่าหล่ม เพราะอรรถว่า ติดอยู่.
ชื่อว่ากิเลส เพราะอรรถว่า เผาผลาญ. ชื่อว่า ปลิโป โคลนคือกาม
เพราะอรรถว่า ให้ติดแน่นดุจยาง. ชื่อว่า ปลิเคโธ ความกังวลคือกาม
เพราะอรรถว่า ปิดทรงไว้. ความกังวลคือกามมิได้อาศัยช่องอันเป็น
ปริยายมีความกำหนัดเป็นต้นนี้ ด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบคาถา มีอาทิว่า สจฺจา อโวกฺกมํ เป็นมุนีไม่ก้าวล่วง
สัจจะดังนี้ต่อไป. บทนั้นมีความดังนี้ ชื่อว่ามุนี เพราะปฏิบัติเพื่อความ
เป็นมุนี ไม่ก้าวล่วงสัจจะแม้ ๓ อย่าง ดังที่กล่าวไว้แล้วในคราวก่อน
เป็นพราหมณ์ ตั้งอยู่บนบกคือนิพพาน ผู้นั้นแล เรากล่าวว่าเป็นผู้สงบ
เพราะสละเสียได้ซึ่งอายตนะทั้งปวง. ในนิเทศไม่มีข้อควรกล่าว. มีอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นอีก. พึงทราบคาถามีอาทิว่า สเว วิทฺธา ผู้นั้นแลมีความรู้
ดังนี้ต่อไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ญตฺวา ธมฺนํ คือ รู้สังขตธรรมโดยนัยมีอาทิ
ว่า ความไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า สมฺมา โส โลเก อิริยาโน ผู้นั้นอยู่

524
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 525 (เล่ม 66)

ในโลกโดยชอบ คือผู้นั้นอยู่ในโลกโดยชอบ เพราะละกิเลสอันทำให้อยู่
โดยมิชอบ.
ก็เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ พึงทรามความว่า โย จ กาเม ผู้ใดข้ามพ้น
กามทั้งหลายดังนี้เป็นต้นต่อไป. ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺคํ เครื่องข้อง
คือผู้ใดข้ามพ้นเครื่องข้อง ๗ อย่างได้. บทว่า นาชฺเฌติ คือ ย่อมไม่
เพ่งเล็ง เพราะฉะนั้น บรรดาเธอทั้งหลาย เรากล่าวถึงผู้ปรารถนา
เพื่อจะเป็นอย่างนั้น.
พึงทราบคาถามีอาทิว่า ยํ ปุพฺเพ ดังนี้ต่อไป. ในบทเหล่านั้น บทว่า
ปุพิเพ คือ กิเลสชาตและกรรมในอดีต ที่พึงเกิดขึ้นเพราะปรารภถึง
สังขารในอดีต. บทว่า ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ กิเลสชาตเครื่องกังวล
มีราคะเป็นต้น อันจะพึงเกิดขึ้นเพราะปรารภสังขารแม้ในอดีต อย่าได้มี
แก่ท่าน. บทว่า มชฺเณ เจ โน คเหสฺสติ หากท่านไม่ถือเอาสังขารใน
ท่ามกลาง คือหากท่านจักไม่ถือธรรมมีรูปเป็นต้นในปัจจุบันไซร้ ท่าน
จักเป็นผู้เข้าไปสงบประพฤติอย่างนี้.
บทว่า อพีชํ โรหิ จงทำให้สิ้นพืช ความว่า จงทำให้สิ้นพืช
ด้วยมรรคญาณ. บทว่า ราคกิญฺจนํ กิเลสชาตเครื่องกังวลคือราคะ
ความว่า บรรเทากิเลสคือราคะ แม้ในบทว่า โทหสกิญฺจนํ เป็นต้น ก็นัยนี้
เหมือนกัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว
บัดนี้ได้ตรัสคาถาทั้งหลายต่อจากนี้ ด้วยทรงสรรเสริญพระอรหัตต่อไป.
ในบทเหล่านั้น พึงทราบความแห่งคาถามีอาทิว่า สพฺพโส โดย
ประการทั้งปวงดังนี้ต่อไป. บทว่า มมายิตํ การถือว่าของเรา คือทำความ

525
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 526 (เล่ม 66)

ถือว่าเป็นตนของเรา. หรือถือวัตถุว่านี้เป็นของเรา. บทว่าอสตา จ น โสจติ
และผู้ใดย่อมไม่เศร้าโศก เพราะสิ่งที่ถือว่าของเราไม่มีอยู่ คือไม่เศร้าโศก
เพราะเหตุไม่มีความยินดี เพราะความไม่มีอยู่เป็นเหตุ. บทว่า น ชียติ
คือ ไม่ถึงความเสื่อม. บทว่า อหุ วต เม คือ นามรูปของเราได้มีแล้วหนอ.
บทว่า ตํ วต เม นตฺถิ นามรูปย่อมไม่มีแก่เราหนอ คือนามรูปที่ได้
มีแล้วในอดีต บัดนี้ ไม่มีแก่เรา. บทว่า สิยา วต เม นามรูปของเรา
พึงมีหนอ คือเราไม่ได้นามรูปที่จักมีแก่เราหนอ บัดนี้เราจะไม่บรรลุ
โดยส่วนเดียว. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก.
พึงทราบคาถามีอาทิว่า ยสฺส นตฺถิ ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ดังนี้ต่อไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กิญฺจนํ ความกังวล คือธรรมชาติมีรูป
เป็นต้นอะไร ๆ. บทว่า อภิสงฺขตํ คือ อันกรรมควบคุมแล้ว. บทว่า
อภิสญฺเจตยิกํ คือ อันจิตประมวลเข้าแล้ว. บทว่า อวิชฺชาย เตฺวว ตัดบท
เป็น อวิชฺชาย ตุ เอว. บทว่า อเสสวิราคนิโรธา เพราะดับด้วยความ
สำรอกโดยไม่เหลือ คือเพราะดับโดยไม่เหลือด้วยมรรค อันได้แก่ความ
สำรอก.
บทว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ จงพิจารณาเห็นโลกโดยความ
เป็นของสูญ คือจงดูโลกโดยความเป็นของสูญด้วยอาการสองอย่าง คือ
ด้วยการกำหนดความไม่เป็นไปในอำนาจ ๑ ด้วยเข้าไปพิจารณาสังขารโดย
ความเป็นของเปล่า ๑. บทว่า อตฺตานุทิฏฺฐึ โอหจฺจ ถอนอัตตานุสทิฏฐิ
(ความเห็นเป็นตัวตน) เสียแล้ว คือถอนสักกายทิฏฐิ (ความเห็นเป็นเหตุ
ถือตัวถือตน). บทว่า เอวํ มจฺจุตโร สิยา พึงเป็นผู้ข้ามมัจจุราชได้
ด้วยอาการอย่างนี้ คือพึงเป็นผู้ข้ามมรณะได้ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า เอวํ

526
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 527 (เล่ม 66)

โลกํ อเวกฺขนฺตํ มัจจุราชย่อมไม่เห็นผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้. บทว่า
มจฺจุราชา น ปสฺสติ คือ มัจจุราชไม่เหลียวแลดู. บทว่า นาญฺญํ
ปฏฺฐยเต กิญฺจิ บุคคลไม่ปรารถนาอะไร ๆ อื่น คือไม่ปรารถนาไม่ต้อง
การอย่างอื่นแม้มีประมาณน้อย. บทว่า อญฺญตฺร อปฺปฏิสนฺธิยา คือ นอก
จากนิพพานอันไม่มีปฏิสนธิ อาจารย์ทั้งหลายกล่าวทำเป็นบทเดียวด้วย
ประการฉะนี้. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก.
พึงทราบคาถามีอาทิว่า อนิฏฺฐุรี ไม่มีริษยา ดังนี้เป็นต้นต่อไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนิฏฺฐุรี คือ ไม่มีริษยา. อาจารย์บางพวกกล่าว
ว่า อนิฏฺฐรี บ้าง. บทว่า สพฺพธิ สโม คือ เป็นผู้เสมอในอายตนะ
ทั้งปวง. อธิบายว่า เป็นผู้วางเฉย. ท่านอธิบายไว้อย่างไร. พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ใดไม่เศร้าโศกว่า นั้นไม่มีแก่เรา เราถูกถามถึง
บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว ก็บอกอานิสงส์ ๔ อย่างในบุคคลนั้นนี้ว่า บุคคล
เป็นผู้ไม่มีริษยา ไม่ตามติดใจ ไม่หวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอายตนะ
ทั้งปวง.
บทว่า นิฏฺฐุริโย คือ เป็นผู้ริษยา. ความเป็นผู้ริษยา ชื่อว่า
นิฏฺฐุริยํ คือ เป็นผู้ริษยา. ความเป็นผู้ริษยา ชื่อว่า นิฏฺฐุริยํ อธิบายว่า
คุณแม้มีประมาณน้อยก็ย่อมไม่มี เพราะอาศัยความเป็นผู้ริษยานั้น เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า เขฬปาตนํ ถ่มน้ำลาย. บทว่า นิฏฺฐุริยกมฺนํ คือ
การทำความเป็นผู้ริษยา. จริงอยู่ คฤหัสถ์อาศัย คฤหัสถ์อยู่ หรือภิกษุอาศัย
ภิกษุอยู่ ครั้นโกรธด้วยเหตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็พูดว่าอาศัยผู้นั้นแล้ว
ไม่มีคุณแม้สักน้อย จึงทำเสมือนชื่อว่าความเป็นผู้ริษยา เสมือนถ่มน้ำลาย
แล้วเอาเท้าขยี้ฉะนั้น การกระทำของผู้นั้นเรียกว่า นิฏฐุริยกรรม คือ

527
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 528 (เล่ม 66)

การทำความเป็นผู้ริษยา. บทว่า อิสฺสา แสดงความเป็นสภาวะ คือ
ความริษยาสองอย่าง ต่อจากนั้นเป็นการแสดงความเป็นอาการ. สามอย่าง
นอกนั้น เป็นคำกล่าวโดยปริยาย. อนึ่ง ความริษยานั้น โดยลักษณะเป็นต้น
มีความหวงสมบัติของผู้อื่นเป็นลักษณะ มีความไม่ยินดีในสมบัตินั้นเป็นรส
มีความเพิกเฉยต่อสมบัติของผู้อื่นนั้นเป็นเครื่องปรากฏ มีสมบัติของผู้อื่น
เป็นปทัฏฐาน. บทว่า ลาเภปิ น อิญฺชติ ไม่หวั่นไหวแม้ในลาภ คือไม่
หวั่นไหวในเพราะการได้ปัจจัย. บทว่า อลาเภปิ คือ แม้ในการไม่ได้
ปัจจัยทั้งหลาย. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก.
พึงทราบคาถามีอาทิว่า อเนชสฺส ผู้ไม่หวั่นไหว ดังนี้เป็นต้น
ต่อไป. ในบทเหล่านั้นบทว่า นิสงฺขิติ ได้แก่ สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในบรรดาอภิสังขารมีปุญญาภิสังขารเป็นต้น. เพราะอภิสังขารนั้นอันบุญ
กรรมต่กแต่ง หรือย่อมตกแต่ง ฉะนั้น จึงเรียกว่า นิสงฺขิติ คือ อภิสังขาร.
บทว่า วิยารมฺภา ได้แก่ อภิสังขาร มีปุญญาภิสังขารเป็นต้นหลายอย่าง.
บทว่า เขมํ ปสฺสติ สพฺพธิ ย่อมเห็นความปลอดโปร่ง คือความ
ไม่มีภัยในที่ทั้งปวง. บทา อารมฺภา คือ การพยายามทำกรรมครั้งแรก.
บทว่า วิยารมฺภา คือ พยายามหลายอย่างสูงในรูป. บทนี้เป็นชื่อของ
กรรมอันยังปฏิสนธิให้เกิดใน ๓ ภพ. เพราะฉะนั้น เว้นจากวิยารัมภะ
(ความพยายามยิ่งขึ้นไป) จึงเห็นอย่างนี้.
พึงทราบคาถามีอาทิว่า น สเมสุ ดังนี้เป็นต้นต่อไป. ในบท
เหล่านั้น บทว่า น สเมสุ คือ มุนี ไม่พูดถึงตนแม้ในบุคคลผู้เสมอตนด้วย
มานะมีอาทิว่า เราเป็นผู้เสมอกับเขา. แม้ในคนที่ต่ำกว่า ในคนที่สูงกว่า
ก็ไม่พูด. บทว่า นาเทติ น นิรสฺสติ ย่อมไม่ยึดถือ ย่อมไม่สลัด คือ

528
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 529 (เล่ม 66)

ไม่ยึดถือ ไม่สละธรรมอะไร ๆ ในรูปเป็นต้น. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง
ชัดดีแล้ว เพราะมีนัยดังได้กล่าวไว้แล้วในที่นั้น ๆ. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอด คือพระอรหัต.
จบอรรถกถาอัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕

529
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 530 (เล่ม 66)

สารีปุตตสุตตนิทเทสที่ ๑๖
ว่าด้วยกระแสเสียงของพระพุทธเจ้าประกอบด้วยองค์ ๘
[๘๘๒] (ท่านพระสารีบุตรกล่าวดังนี้ว่า) พระศาสดาผู้มี
พระกระแสเสียงอันไพเราะ เสด็จจากภพดุสิตมาสู่ความ
เป็นพระคณาจารย์อย่างนี้ ก่อนแต่นี้ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น
เลย ทั้งไม่เคยได้ยินต่อใคร ๆ เลย.
[๘๘๓] คำว่า แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเลย ความว่า ใน
กาลก่อนแต่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นด้วย
จักษุนี้ ด้วยอัตภาพนี้เลย คือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาที่บัณฑุ-
กัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริฉัตตกะ (ต้นทองหลาง) ในภพดาวดึงส์
อันหมู่เทวดาห้อมล้อมเสด็จลงสู่สังกัสสนคร โดยบันไดอันสำเร็จด้วยแก้ว
มณีในท่ามกลาง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าเว้นการเห็นครั้งนี้ ไม่เคยเห็นใน
กาลก่อนเลย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ก่อนแต่นี้ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นเลย.
[๘๘๔] บทว่า อิติ ในคำว่า ท่านพระสารีบุตรกล่าวดังนี้ว่า
เป็นบทสนธิ เป็นบทอุปสัค เป็นบทปทปูรณะ เป็นศัพท์ประชุมอักขระ
เป็นศัพท์สละสลวยด้วยพยัญชนะ เป็นลำดับบท. คำว่า อายสฺมา เป็น
เครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวด้วยความเคารพ เป็นเครื่อง
กล่าวเป็นไปกับด้วยความเคารพ เป็นเครื่องกล่าวเป็นไปกับด้วยความ
ยำเกรง. คำว่า สารีบุตร เป็นนาม เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมาย
เป็นบัญญัติ เป็นโวหาร เป็นชื่อ เป็นความตั้งชื่อ เป็นความทรงชื่อ
เป็นเครื่องกล่าวถึง เป็นเครื่องแสดงความหมาย เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะ

530
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 531 (เล่ม 66)

แห่งพระเถระนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ท่านพระสารีบุตรกล่าว
ดังนี้ว่า.
[๘๘๕] ศัพท์ว่า น ในคำว่า ทั้งไม่เคยได้ยินต่อใคร ๆ เลย
เป็นปฏิเสธ. ศัพท์ว่า อุท เป็นบทสนธิ เป็นบทอุปสัค เป็นบทปท-
ปูรณะ เป็นศัพท์ประชุมอักขระ เป็นศัพท์สละสลวยด้วยพยัญชนะ เป็น
ลำดับบท. คำว่า ต่อใคร ๆ คือ ต่อใคร ๆ ที่เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์
เป็นแพศย์ เป็นศูทร เป็นคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิต เป็นเทวดา หรือเป็น
มนุษย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทั้งไม่เคยได้ยินต่อใคร ๆ เลย.
[๘๘๖] คำว่า พระศาสดาผู้มีพระกระแสเสียงอันไพเราะอย่างนี้
ความว่า พระศาสดามีพระกระแสเสียงอันไพเราะ คือมีพระกระแสเสียง
อันเสนาะ มีพระกระแสเสียงเป็นที่ตั้งแห่งความรัก มีพระกระแสเสียง
ดูดดื่มหทัย มีพระกระแสเสียงเพราะดังเสียงนกการเวก เสียงอันประกอบ
ด้วยองค์ ๘ ประการ ย่อมเปล่งออกจากพระโอฐแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
นั้นคือ เป็นเสียงไม่ขัดข้อง ๑ เป็นเสียงผู้ฟังทราบได้ง่าย ๑ เป็นเสียง
ไพเราะ ๑ เป็นเสียงน่าฟัง ๑ เป็นเสียงกลมกล่อม ๑ เป็นเสียงไม่
แปร่ง ๑ เป็นเสียงลึก ๑ เป็นเสียงก้องกังวาน ๑ เมื่อใดพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้านั้น จะทรงยังบริษัทให้ทราบด้วยเสียง เมื่อนั้นเสียงของพระผู้-
มีพระภาคเจ้านั้นย่อมไม่ออกไปนอกบริษัท ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มี
เสียงเหมือนเสียงพรหม มีเสียงดังเสียงนกการเวก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
มีพระกระแสเสียงอันไพเราะอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำพวก ชื่อว่า
พระศาสดา บุคคลผู้นำพวก ย่อมนำพวกให้ข้ามทางกันดาร คือให้ข้าม
ข้ามขึ้น ข้ามออก ข้ามพ้น ซึ่งทางกันดารแต่โจร ทางกันดารแต่สัตว์ร้าย

531
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 532 (เล่ม 66)

ทางกันดารแต่ที่อดอยาก ทางกันดารแต่ที่ไม่มีน้ำ ให้ถึงพร้อมซึ่งภูมิภาค
อันเกษม ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำออก ข้ามออก ข้ามพ้น ซึ่ง
กันดารแต่ชาติ กันดารแต่พยาธิ กันดารแต่มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส กันดารแต่ราคะ กันดารแต่โทสะ โมหะ มานะ
ทิฏฐิ กิเลสและทุจริต รกชัฏคือราคะ รกชัฏคือโทสะ โมหะ มานะ
และทิฏฐิ รกชัฏคือกิเลส ให้ถึงพร้อมซึ่งอมตนิพพานอันเป็นส่วนเกษม
ฉันนั้นเหมือนกัน แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่า
ผู้นำพวก.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้นำ ผู้แนะนำ ผู้นำเนือง ๆ ผู้ให้รู้ดี
ผู้ให้พินิจ ผู้เพ่งดู ผู้ให้เลื่อมใส แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าจึงชื่อว่า ผู้นำพวก.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทรง
ยังมรรคที่ยังไม่เกิดพร้อมให้เกิดพร้อม ผู้ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก
ทรงทราบมรรค ทรงรู้แจ้งมรรค ทางฉลาดในมรรค ก็แหละในบัดนี้
สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ดำเนินตามมรรค
อยู่ เป็นผู้ประกอบศีลาทิคุณในภายหลัง แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงชื่อว่า ผู้นำพวก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระศาสดา
ผู้มีพระกระแสเสียงอันไพเราะอย่างนี้.
ว่าด้วยพระพุทธเจ้าเป็นพระคณาจารย์
[๘๘๗] คำว่า เสด็จจากภพดุสิตมาสู่ความเป็นพระคณาจารย์
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจุติจากชั้นดุสิต ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ

532
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 533 (เล่ม 66)

ลงสู่พระครรภ์พระมารดา แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เสด็จจาก
ภพดุสิตมาสู่ความเป็นพระคณาจารย์.
อีกอย่างหนึ่ง พวกเทวดาท่านกล่าวว่า ดุสิต เทวดาเหล่านั้นยินดี
พอใจ ชอบใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัสว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาก
ดุสิตเทวโลกมาสู่ความเป็นพระคณาจารย์ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
เสด็จจากภพดุสิตมาสู่ความเป็นพระคณาจารย์.
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านกล่าวว่า ดุสิต พระอรหันต์
เหล่านั้นยินดี พอใจ ชอบใจ มีความดำริบริบูรณ์ว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้าเสด็จมาสู่ความเป็นพระคณาจารย์แห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย แม้ด้วยเหตุ
อย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เสด็จจากภพดุสิตมาสู่ความเป็นพระคณาจารย์.
คำว่า คณี ความว่า มีคณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่าเป็นคณี
เพราะอรรถว่า เป็นพระคณาจารย์ เพราะอรรถว่า เป็นพระศาสดาของ
คณะ เพราะอรรถว่า พระองค์ทรงบริหารคณะ เพราะอรรถว่า พระองค์
ตรัสสอนคณะ เพราะอรรถว่า พระองค์ทรงพร่ำสอนคณะ เพราะอรรถว่า
พระองค์มีความองอาจเสด็จเข้าไปสู่คณะ เพราะอรรถว่า คณะย่อมตั้งใจ
ฟังต่อพระองค์ เงี่ยโสตลงฟัง เข้าไปตั้งจิตเพื่อความรู้ เพราะอรรถว่า
พระองค์ทรงยังคณะให้ออกจากอกุศล ให้ตั้งอยู่ในกุศล เป็นคณาจารย์
ของคณะภิกษุ เป็นคณาจารย์ของคณะภิกษุณี เป็นคณาจารย์ของคณะ
อุบาสก เป็นคณาจารย์ของคณะอุบาสิกา เป็นคณาจารย์ของคณะพระราชา
เป็นคณาจารย์ของคณะกษัตริย์ เป็นคณาจารย์ของคณะพราหมณ์ เป็น
คณาจารย์ของคณะแพศย์ เป็นคณาจารย์ของคณะศูทร เป็นคณาจารย์ของ
คณะเทวดา เป็นคณาจารย์ของคณะพรหม พระศาสดาเป็นผู้มีหมู่ มีคณะ

533