No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 514 (เล่ม 66)

เห็นฐานะทั้งปวงถูกชราเป็นต้นย่ำยี. บทว่า สพฺพํ โยพฺพญฺญํ คือ ความ
เป็นหนุ่มสาวทั้งปวง ชื่อว่า โยพฺพญฺญํ. ความเป็นหนุ่มสาวทั้งปวงของ
สัตว์ผู้ยังมีจิตใจ. บทว่า ชราย โอสิตํ ถูกชราครอบงำ คือถูกชรา คือ
ความแก่หง่อมครอบงำย่ำยี. ในบททั้งปวงก็เป็นอย่างนี้.
บทว่า โอสาเน เตฺวว พฺยารุทฺเธ ทิสฺวา เม อรติ อหุ
เพราะได้เห็นสัตว์ทั้งหลายมีที่สิ้นสุดมีที่สกัดกั้น เราจึงได้มีความไม่ยินดี
คือได้เห็นสัตว์ทั้งหลายมีที่สิ้นสุด มีที่ตั้งอยู่ไม่ได้ มีที่พินาศทั้งนั้น มีที่
สกัดกั้น มีจิตถูกกำจัดด้วยความชราเป็นต้นของความเป็นหนุ่มสาว เรา
จึงได้มีความไม่ยินดี. บทว่า อเถตฺถ สลฺลํ อนึ่ง เราได้เห็นลูกศรอันเห็น
ได้ยากในสัตว์เหล่านั้น คือลูกศรมีราคะเป็นต้น ในสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้.
บทว่า หทยนิสฺสิตํ คือ อาศัยจิต. บทว่า โยพฺพญฺญํ ชรา โวสาเปติ
ชรายังความหนุ่มสาวให้สิ้นสุด คือให้สัตว์อยู่ไม่ได้ ให้พินาศไป. ในบท
ทั้งปวงก็มีนัยอย่างนี้.
ลูกศรมีอานุภาพอย่างไร. พึงทราบคาถาว่า เยน สลฺเลน โอติณฺโณ
สัตว์อันลูกศรใดปักติดแล้ว ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า ทิสา สพฺพา วิธาวติ สัตว์ย่อมแล่นไปสู่ทิศทั้งปวง คือ
สัตว์ย่อมแล่นไปสู่ทิศที่เป็นทุจริตบ้าง ทิศมีทิศตะวันออกเป็นต้นบ้าง
ทิศที่เป็นคติบ้าง. บทว่า ตเมว สลฺลํ อพฺพุยฺห น ธาวติ น สีหติ
เพราะถอนลูกศรนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่จมลง. คือ เพราะ
ถอนลูกศรนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่แล่นไปสู่ทิศเหล่านั้น และไม่จมลงใน
โอฆะ ๔.
พึงทราบความในบทมีอาทิว่า อญาณํ ความไม่รู้ต่อไป. ความ

514
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 515 (เล่ม 66)

ไม่รู้ ความไม่เห็น เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความรู้ความเห็น ชื่อว่าไม่
ตรัสรู้ เพราะเป็นผู้มุ่งหน้าแล้วต่อญาณไม่รวมลงในธรรม คือไม่ประชุม
กัน. ชื่อว่าตามตรัสรู้ เพราะรู้ธรรมตามสมควร. ชื่อว่าไม่ตามตรัสรู้
เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อการตามตรัสรู้นั้น. ชื่อว่าไม่ตรัสรู้ชอบ เพราะไม่
ตรัสรู้ประกอบด้วยพระไตรลักษณ์ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ชื่อว่า
ไม่ตรัสรู้ชอบ เพราะรู้ความไม่สงบ และความไม่เหมาะสมบ้าง. ชื่อว่าไม่
แทงตลอด เพราะไม่แทงตลอดอริยสัจ ๔. ชื่อว่าไม่ถือเหตุด้วยดี เพราะไม่
ถือธรรมอย่างหนึ่งในรูปเป็นต้น โดยความเป็นสามัญ ลักษณะมีความไม่
เที่ยงเป็นต้น. ชื่อว่าไม่หยั่งรู้เหตุ เพราะไม่หยั่งลงสู่ธรรมนั้นนั่นเอง. ชื่อว่า
ความไม่เพ่งพินิจ เพราะไม่เพ่งโดยสม่ำเสมอ. ชื่อว่าความไม่พิจารณา
เพราะไม่พิจารณาเฉพาะสภาวะของธรรมทั้งหลาย. ชื่อว่ากรรมที่ไม่ทำให้
ประจักษ์ เพราะไม่มีกรรมแม้อย่างเดียวให้ประจักษ์แก่โมหะนั้น เพราะ
ประพฤติวิปริตในกุศลกรรมและอกุศลกรรม หรือเพราะไม่มีการถือความ
เป็นจริงหรือไม่มีการการทำกรรมไร ๆ ให้ประจักษ์เอง. ชื่อว่าความไม่
ผ่องแผ้ว เพราะเมื่อโมหะยังไม่เกิด จิตสันดานใดพึงเป็นความผ่องแผ้ว
สะอาดบริสุทธิ์ จิตสันดานอันเป็นความผ่องแผ้วนั้นถูกโมหะนี้ประทุษร้าย.
ชื่อว่าความเป็นคนโง่ เพราะความเป็นพาล. ชื่อว่าความหลง เพราะลุ่มหลง
ความหลงมีกำลัง ชื่อว่าความหลงทั่ว. ชื่อว่าความหลงพร้อม เพราะหลง
รอบด้าน. ชื่อว่า อวิชชา เพราะไม่รู้ โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อความรู้ อวิชชา-
โอฆะ (ห้วงอวิชชา) อวิชชาโยคะ (ประกอบสัตว์ไว้ในภพคืออวิชชา)
ทั้งสองนี้มีความได้กล่าวไว้แล้ว. ชื่อว่า อนุสัย เพราะนอนเนื่องด้วยความ
มีกำลัง ชื่อว่า ปริยุฏฐานะ เพราะท่วมทับครอบงำจิต. ชื่อว่า ลังคิ (ลิ่มคือ

515
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 516 (เล่ม 66)

อวิชชา) เพราะไม่สามารถจะมุ่งหน้าไปสู่ประโยชน์เกื้อกูลได้ เพราะไม่มี
การถือประโยชน์ ย่อมติดแน่นอยู่โดยแท้ อธิบายว่า กะโผลกกะแผลก.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าลังคิ เพราะกำจัดได้ยาก. แม้โมหะนี้ ก็ชื่อว่าลังคิ
เพราะเป็นดุจลิ่ม. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พึงทราบความในบทว่า ยา เอวรูปา กงฺขา ดังนี้เป็นต้นต่อไป
ชื่อว่าความสงสัย ด้วยอำนาจแห่งความเคลือบแคลง. ชื่อว่ากิริยาที่สงสัย
เพราะเดินไปสู่ความสงสัย. ความสงสัยยิ่งกว่าความสงสัยในก่อน ชื่อว่า
กิริยาที่สงสัย. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวบทนี้ด้วยอำนาจแห่งอาการ. จิต
ที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย ชื่อว่าความเป็นไปกับด้วยความสงสัย เพราะ
เนื่องด้วยความสงสัย. ความเป็นแห่งความเป็นไปกับด้วยความสงสัย ชื่อว่า
ความเป็นผู้สงสัย. ไม่มีความเห็น ชื่อว่าความเคลือบแคลง. ชื่อว่าความ
ลังเล เพราะเป็นเหตุค้นหาสภาวธรรมอยู่ยากลำบาก. วิจิกิจฉานั้น มี
ความสงสัยเป็นรส มีความหวั่นไหวเป็นลักษณะ มีความไม่ตัดสินใจ
เป็นเครื่องปรากฏ หรือมีความยึดถือหลาย ๆ ส่วนเป็นเครื่องปรากฏ มีการ
ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย เป็นปทัฏฐาน. พึงเห็นว่า ความสงสัยทำ
อันตรายแก่การปฏิบัติ. ชื่อว่าความเป็นสองทาง เพราะเอนเอียงไป
สองส่วนด้วยความหวั่นไหว. ชื่อว่าเป็นทางสองแพร่ง เพราะเป็นดุจทาง
สองแยก ด้วยห้ามการปฏิบัติ. ชื่อว่าไม่แน่ใจ เพราะอยู่โดยรอบ เพราะ
ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ในอาการอย่างเดียว ด้วยความเป็นไปมีอาทิว่า
นี้เที่ยงหรือไม่เที่ยงดังนี้. ข้อว่าความไม่แน่นอน เพราะไม่ตกลงใจ เพราะ
ไม่สามารถจะถือเอาส่วนเดียวได้. ชื่อว่าความไม่ตกลงใจ เพราะไม่สามารถ
จะตัดสินใจถอยจากอารมณ์ได้. ชื่อว่าไม่อาจตัดสินใจ เพราะไม่สามารถ

516
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 517 (เล่ม 66)

จะหยั่งลงไปโดยรอบได้. ชื่อว่าไม่กำหนดถือเอาได้ เพราะไม่สามารถจะ
กำหนดเอาได้. ชื่อว่าความที่จิตหวั่นไหว เพราะไม่สามารถเพื่อเป็นไป
ในอารมณ์ ด้วยความแน่ใจได้. อธิบายว่า ความที่จิตผูกพัน. จริงอยู่
ความสงสัยเกิดขึ้นแล้วย่อมทำให้จิตผูกพัน. อนึ่ง เพราะความสงสัยนั้น
เมื่อเกิดยึดอารมณ์ไว้ดุจขีดเขียนใจ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มโนวิเลโข
ความติดขัดในใจ.
บทว่า วิทฺโธ แทงเข้าไป คือได้ประหารด้วยลูกศร. บทว่า ผุฏฺโฐ
ถูกต้องแล้ว คือเสียบเข้าไป. บทว่า ปเรโต เสียบติดแน่น คือกดลงไป
บทว่า ธาวติ ย่อมแล่น คือวิ่งไปข้างหน้า. บทว่า วิธาวติ แล่นพล่าน
คือไปโดยวิธีต่าง ๆ. บทว่า สนฺธาวติ วนเวียน คือแล่นไปโดยเร็ว.
บทว่า สํสรติ ท่องเที่ยวไป คือเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้. บทว่า อเจลโก
คนเปลือย คือเปลือยไม่มีผ้านุ่ง. บทว่า มุตฺตาจาโร คือ ไร้มารยาท. ไม่
ประพฤติเยี่ยงกุลบุตรชาวโลก ในการถ่ายอุจจาระเป็นต้น ยืนถ่ายอุจจาระ
ปัสสาวะ ยืนเคี้ยวกินอาหาร. บทว่า หตฺถาวเลขโณ เลียมือ คือเมื่อ
ก้อนข้าวในมือหมดก็เลียมือ. ถ่ายอุจจาระแล้วสำคัญว่าไม้ชำระอยู่ในมือ
เอามือเช็ด. ได้ยินว่า พวกอเจลกเหล่านั้นบัญญัติไม้ชำระว่าเป็นสัตว์. ชื่อว่า
นเอหิภทนฺติโก เพราะเมื่อเขากล่าวว่า เชิญมารับอาหารซิท่าน ก็ไม่มา.
ชื่อว่า นติฏฺฐภทนิติโก เพราะแม้เมื่อเขากล่าวว่า ถ้ากระนั้นเชิญหยุด
ก่อนซิท่าน ก็ไม่หยุด. นัยว่า ผู้ถูกศรทิฏฐิปักติดนั้นไม่ทำแม้ทั้งสองอย่าง
ด้วยคิดว่า จักเป็นอันกระทำตามถ้อยคำของเขาแล้ว.
บทว่า นาภิหฏํ คือ ไม่รับภิกษุที่เขาแบ่งไว้ก่อน. บทว่า น อุทฺทิสฺส
กตํ คือไม่รับภิกษาที่เขาบอกอย่างนี้ว่า นี้ทำเฉพาะท่าน. บทว่า น นิมนฺ-

517
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 518 (เล่ม 66)

ตนํ คือ ไม่ยินดี ไม่รับแม้ภิกษาที่เขานิมนต์อย่างนี้ว่า นิมนต์เข้าไปยัง
ตระกูล ถนน หรือบ้านโน้นเถิด. บทว่า น ภุมฺภิมุขา คือ ไม่รับภิกษา
ที่เขาคดจากหม้อถวาย. บทว่า น กโฬปิมุขา หม้อข้าวหรือกระจาด
ชื่อว่า กโฬปิ ไม่รับภิกษาจากหม้อข้าวนั้น. เพราะเหตุไร. เพราะ
หม้อข้าวทั้งหลายย่อมได้การกระทบด้วยทัพพี เพราะอาศัยเรา.
บทว่า น เอฬกมนฺตรํ คือ ไม่รับภิกษาที่บุคคลยืนคร่อมธรณีประตู
ถวาย เพราะเหตุไร. เพราะผู้นี้อาศัยเราจึงยืนคร่อมประตู. แม้ในการยืน
คร่อมท่อนไม้และสากก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บุทว่า ทฺวินฺนํ คือ ไม่รับภิกษา
เมื่อคนสองคนกำลังบริโภคอาหารอยู่. คนหนึ่งลุกขึ้นมาถวาย. เพราะ
เหตุไร. เพราะมีอันตรายจากดำข้าว. อนึ่ง พึงทราบความในบทมีอาทิว่า
น คพฺภินิยา ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ดังนี้ต่อไป ทารกในท้องของ
หญิงมีครรภ์ย่อมลำบาก. เมื่อทารกกำลังดื่มจะเป็นอันตรายเพราะน้ำนมได้.
ไม่รับภิกษาของหญิงที่คลอเคลียกับบุรุษ เพราะจะเป็นอันตรายแก่ความ
อภิรมย์ของหญิงที่อยู่กับชาย. บทว่า น สงฺกิตฺตีสุ คือ ไม่รับภิกษาที่นัดแนะ
กันทำไว้. ได้ยินว่า ในสมัยข้าวยาก พวกสาวกของอเจลกชวนกันให้นำ
ข้าวสารเป็นต้นมาหุงข้าว เพื่อประโยชน์แก่พวกอเจลก. อเจลกที่เคร่งครัด
ไม่ยอมรับจากอาหารนั้น. บทว่า น ยตฺถ สา คือ ไม่รับภิกษาที่เขาไม่
ให้แก่สุนัข ในที่ที่สุนัขคิดว่า เราจักได้ก้อนข้าว ซึ่งเขาเลี้ยงดูนำมาถวาย.
เพราะเหตุไร. เพราะจะเป็นอันตรายแก่ก้อนข้าวของสุนัขนั้น.
บทว่า สณฺฑสณฺฑจารินี คือ ไม่รับอาหารที่มีแมลงวันไต่ตอม.
เพราะหากว่ามนุษย์ทั้งหลายเห็นอเจลกแล้ว คิดว่า เราจักถวายภิกษาแก่
อเจลกนี้ จึงเข้าครัว เมื่อมนุษย์เข้าไป แมลงวันที่เกาะอยู่บนปากหม้อข้าว

518
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 519 (เล่ม 66)

เป็นต้น จะกระโดดบินเป็นกลุ่มๆ หนีไป. จึงไม่รับภิกษาที่นำมาจากหม้อ
นั้น. เพราะเหตุไร. เพราะอาศัยเราจะเกิดอันตรายแก่อาหารของแมลงวัน
ทั้งหลาย. บทว่า ถุโสทกํ คือ ยาดองทำด้วยเครื่องปรุงคือข้าวทุกชนิด.
ในบรรดาสิ่งเหล่านี้สุราบานเท่านั้นมีโทษ. แต่อเจลกนี้ มีความสำคัญ
ในวัตถุทุกชนิดว่ามีโทษ. บทว่า เอกาคาริโก รับภิกษาที่เรือนหลังเดียว
คือได้ภิกษาในเรือนหลังเดียวเท่านั้นก็กลับ. บทว่า เอกาโลปิโก คือ ยัง
อัตภาพให้เป็นไปด้วยข้าวคำเดียวเท่านั้น. แม้ในบทว่า ทฺวาคาริโก ยิ่ง
อัตภาพให้เป็นไปด้วยข้าวสองคำเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า
เอกิสฺสาปิ ทตฺติยา คือ ในถาดน้อยใบเดียว. ถาดเล็ก ๆ ใบหนึ่งชื่อว่า
ทตฺติ. ใส่ภิกษาเลิศลงในถาดเล็กใบนั้น. บทว่า เอกาหิกํ คือ บริโภค
อาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่ง. บทว่า อฑฺฒมาสิกํ คือ บริโภคอาหาร
ที่เก็บไว้กึ่งเดือนบ้าง. บทว่า ปริยายภตฺตโภชนํ คือ บริโภคอาหาร
ที่เวียนมาถึงตามวาระ. บริโภคอาหารที่มาถึงตามวาระอย่างนี้ วันหนึ่ง
สองวัน เจ็ดวัน กึ่งเดือน. บทว่า สากภกฺโข มีผักดองเป็นภิกษาเป็นต้น
มีความดังได้กล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า อุพฺภฏฺฐโก เป็นผู้ยืนตรง คือยืนตรง. บทว่า อุกฺกุฏิกปฺ-
ปธานมนุยุตฺโต เป็นผู้ประกอบความเพียรในการกระหย่ง คือเดินกระหย่ง
กระโดดไป. บทว่า กณฺฏกาปสฺสยิโก นอนบนหนาม คือปักหนามเหล็ก
หรือหนามธรรมดาลงบนแผ่นดิน แล้วปูหนังลงบนนั้น ยืนและจงกรม
เป็นต้น. บทว่า เสยฺยํ คือ แม้นอนก็สำเร็จการนอนบนหนามนั้นนั่นเอง.
บทว่า ผลกเสยฺยํ คือ นอนบนแผ่นไม้กระดาน. บทว่า ถณฺฑิลเสยฺยํ

519
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 520 (เล่ม 66)

คือ นอนบนเนินดินมีพื้นดินสูง. บทว่า เอกปสฺสสยิโก คือ นอนตะแคง
ข้างเดียวเท่านั้น.
บทว่า รโชชลฺลธโร หมักหมมด้วยธุลี คือเอาน้ำมันทาร่างกาย
แล้วยืนในที่ที่หมักหมมด้วยธุลี. แต่นั้นธุลีย่อมติดในร่างกายของเขาหมัก-
หมมธุลีนั้นไว้. บทว่า ยถาสนฺถติโก นั่งบนอาสนะตามที่ลาดไว้ คือ
พอใจอาสนะที่ได้ แล้วนั่งบนอาสนะที่ได้นั้นเป็นปกติ. ในบทว่า
เวกฏิโก คูถเรียกว่า วิกฏํ คือ บริโภคคูถ. บทว่า อปานโก คือ ห้าม
ดื่มน้ำเย็น. ชื่อว่า สายตติยกํ คือ อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง, ประกอบ
ความขวนขวายในการลงอาบน้ำด้วยตั้งใจว่า เราจักลอยบาปวันละ ๓ ครั้ง
คือเช้า กลางวัน เย็น.
บทว่า เต สลฺเล อภิสงฺขโรติ สัตว์นั้นย่อมปรุงแต่งลูกศรเหล่านั้น
คือยังลูกศร ๗ ลูก มีราคะเป็นต้นให้เกิด. บทว่า อภิสงฺขโรนฺโต เมื่อ
ปรุงแต่ง คือเมื่อให้เกิด. บทว่า สลฺลาภิสงฺขารวเสน ด้วยสามารถ
แห่งการปรุงแต่งลูกศร คือเพราะเหตุให้ลูกศรเกิด. บทว่า ปุรตฺถิมํ
ทิสํ ธาวติ คือ แล่นไปสู่ทิศตะวันออก. บทว่า สลฺลาภิสงฺขารานํ
อปฺปหีนตฺตา เพราะเป็นผู้ละอภิสังขารคือลูกศรไม่ได้ คือเพราะละการ
ประกอบลูกศรไม่ได้. บทว่า คติยา ธาวติ คือ แล่นไปในคติ. บทว่า
คติยา คตึ คือ จากคตินี้สู่คติโน้น. บทว่า น สีทติ คือ ไม่จม. บทว่า
น สํสีทติ คือ ไม่จมโดยรอบ. บทว่า น โอสีทติ คือ ไม่ล่มลง. บทว่า
น อวสีทติ คือ ไม่จมลง. บทว่า น อวคจฺฉติ คือ ไม่ตกลงไปเบื้องต่ำ.
เมื่อสัตว์ทั้งหลายตกลงไปด้วยลูกศรมีอานุภาพใหญ่อย่างนี้ พึงทราบ
คาถามีอาทิว่า ตตฺถ สิกฺขานคียนฺติ ยานิ โลเก คธิตานิ สัตว์ทั้งหลาย

520
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 521 (เล่ม 66)

ย่อมกล่าวถึงการศึกษาในเพราะกามคุณเป็นที่พัวพันในโลก ดังนี้.
บทนั้นมีอธิบายดังนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมกล่าวถึง หรือย่อมเรียนการ
ศึกษาไม่น้อย มีการศึกษาเรื่องช้างเป็นต้น อันเป็นนิมิตในเพราะ
กามคุณที่ท่านกล่าวว่าเป็นที่พัวพัน เพราะพัวพันด้วยกามคุณ ๕ ในโลก
หรือเพราะพัวพันในกาลนาน ท่านทั้งหลายจงดูกุลบุตรผู้เป็นบัณฑิต
ตลอดเวลาที่ขวนขวายต่อสู้อยู่กับโลก ไม่พึงน้อมไปในความกำหนัดเหล่า
นั้น หรือในการศึกษาเหล่านั้น พึงรู้ชัดกามทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
ด้วยการเห็นความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นโดยแท้ พึงศึกษาความดับของ
คนเท่านั้น. บทว่า ปฏิวิชฺฌิตฺวา คือ แทงตลอดด้วยญาณ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงสิ่งที่ควรศึกษาเพื่อ
การดับ จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า สจฺโจ สิยา บุคคลพึงเป็นผู้มีสัจจะ
ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สจฺโจ คือ ประกอบด้วยวาจาสัจ ญาณสัจ
มรรคสัจ. บทว่า ริตฺตเปสุโณ ปราศจากคำส่อเสียด คือละคำส่อเสียด.
บทว่า เวววิจฺฉํ คือ ความตระหนี่.
บทว่า นิทฺทํ ตนฺทึ สเห ถีนํ บุคคลพึงปราบความหลับ ความ
เกียจคร้าน ความท้อแท้ คือพึงครอบงำธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ คือความ
ง่วงเหงาหาวนอน ๑ ความเกียจคร้านทางกาย ความเกียจคร้านทาง
ใจ ๑. บทว่า นิพฺพานมนโส คือ เป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.
บทว่า กายสฺส อกลฺยตา ความที่กายเป็นไข้ คือความที่นามกาย
อันได้แก่ขันธ์ ๓ เป็นไข้. ก็เพราะความไข้ท่านเรียกว่า อกลฺลโก เป็นโรค.
แม้ในวินัยท่านก็กล่าวไว้ว่า นาหํ ภนฺเต อกลฺลโก ท่านขอรับ ผมไม่
เป็นไข้. บทว่า อกมฺมญฺญตา ความที่กายไม่ควรแก่การงาน คืออาการ

521
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 522 (เล่ม 66)

ไม่ควรแก่การงาน กล่าวคือความที่กายเจ็บป่วยลง. ชื่อว่า โอนาโห
อาการที่หยุด เพราะยังกายให้หยุด ดุจเมฆยังอากาศให้หยุดฉะนั้น.
อาการที่หยุดโดยทุก ๆ ส่วนชื่อว่า ปริโยนาหะ คือ อาการที่พัก. ชื่อว่า
อนฺโต สโมโรโธ เพราะพักผ่อนในภายใน. ชื่อว่า มิทฺธํ เพราะง่วง.
อธิบายว่า ลำบากเพราะความไม่ควรแก่การงาน. ชื่อว่า สุปฺปํ เพราะ
เป็นเหตุหลับ. ชื่อว่า ปจลายิกา เพราะทำให้หนังตาหลุบลง. บทว่า
สุปนา สุปิตตฺตํ กิริยาที่หลับ คือความเป็นผู้หลับ แสดงถึงอาการ. บทว่า
โอลิยนา ความหดหู่ คืออาการที่หดหู่ บททีสองเพิ่มอุปสัค. บทว่า ลีนํ
ความท้อแท้ คืองอไม่ผึ่งผาย. อีกสองบทนอกนี้ แสดงถึงความเป็น
อาการ. บทว่า ถีนํ ความหงอยเหงา คือตั้งอยู่เป็นก้อน เพราะไม่
กระจายเหมือนก้อนเนยใส. บทว่า ถียนา แสดงถึงอาการหงอยเหงา คือ
ความเป็นผู้หงอยเหงา ชื่อว่า ถียิตตฺตํ อธิบายว่า ถูกผูกมัดไว้ไม่ผึ่งผาย.
บทว่า สพฺพสงฺขารธาตุยา คือ สังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง.
บทว่า จิตฺตํ ปฏิวาเปตฺวา คือ ยังจิตให้กลับ. บทว่า เอตํ สนฺตํ
ธรรมชาตินี้สงบ คือนิพพานนี้ชื่อว่าสงบ เพราะสงบจากกิเลส ชื่อว่า
ประณีต เพราะไม่เดือดร้อน.
บทว่า อุปธิสุขสฺส เหตุ เพราะเหตุ แห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ คือ
บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้ทาน เพราะเหตุแห่งกามสุขอัน เป็นความเกิดที่
ชั่ว. บทว่า กามญฺจ เต อุปธิ ปริกฺขยาย แต่บัณฑิตเหล่านั้นให้ทาน
เพื่อความหมดสิ้นแห่งอุปธิโดยแท้ คือบัณฑิตเหล่านั้นให้ทานเพื่อความสิ้น
กามโดยแท้. บทว่า อปุนพฺภวาย เพื่อไม่เกิดอีก คือเพื่อนิพพาน. บทว่า
ฌานานิ ภาเวนฺติ เจริญฌาน คือยังปฐมฌานเป็นต้นให้เจริญ. บทว่า

522
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 523 (เล่ม 66)

ปุนพฺภวาย คือ เพื่อเกิดใหม่. บัณฑิตเหล่านั้นเป็นผู้ให้เพราะมุ่งต่อ
นิพพาน.
บทว่า สาหสา ความผลุนผลัน คือเพราะเหตุความผลุนผลันมี
ราคจริตเป็นต้นของผู้กำหนัด.
บทว่า ปุราณํ นาภินนฺเทยฺย คือ ไม่พึงพอใจรูปเป็นต้นในอดีต.
บทว่า นเว คือ ในปัจจุบัน . บทว่า หียมาเน คือ พินาศ. บทว่า
อากสฺสํ น สิโต สิยา ไม่พึงเป็นผู้อาศัยกิเลสที่เกี่ยวข้อง คือไม่พึงเป็น
ผู้อาศัยตัณหา. จริงอยู่ ตัณหาท่านเรียกว่า อากสฺส เพราะเกี่ยวข้องกับรูป
เป็นต้น. บทว่า เวมาเน แปรไป คือไม่เป็นอยู่. บทว่า วิคจฺฉมาเน
หายไป คือปราศจากไป. ปาฐะสองอย่าง คือ อากาสติ อากสฺสติ
แปลว่า เกี่ยวข้อง.
หากถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เป็นผู้อาศัยกิเลสที่เกี่ยวข้อง พึง
ทราบพระคาถาว่า เพราะเรากล่าวความกำหนัดนี้ว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่
ดังนี้.
บทนั้น มีความดังนี้ เพราะเรากล่าวตัณหาคือความเกี่ยวข้องนี้ว่า
เป็นความกำหนัด เพราะกำหนัดในรูปเป็นต้น และกล่าวว่า เคธะ
ความอยาก. มีอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก. มีดังต่อไปนี้ :- เรากล่าวความ
กำหนัดว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่ เพราะอรรถว่า ท่วมทับ กล่าวว่า เป็นความ
ว่องไว อรรถว่า ไปไว กล่าวว่า เป็นความปรารถนา เพราะคอยกระซิบว่า
นี้ของเรา กล่าวว่า เป็นอารมณ์ เพราะอรรถว่า ปล่อยได้ยาก และกล่าว
ว่า เป็นความหวั่นไหว เพราะอรรถว่า ทำความหวั่นไหว และกล่าวความ
กำหนัดนั้นว่า เป็นเปือกตมคือกาม เป็นสภาพล่วงได้โดยยาก เพราะ

523