No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 504 (เล่ม 66)

หลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ด้วยเหตุเท่านี้ บุคคลชื่อว่า
เป็นผู้งด เว้น เว้นขาด เว้นเฉพาะ ออก สลัดออก พ้นขาด
ไม่เกี่ยวข้องอภิสังขาร เป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า บุคคลนั้นงดเว้นแล้วจากอภิสังขาร.
[๘๗๗] คำว่า ย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทั้งปวง ความว่า
ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ กิเลสทั้งหลาย อันก่อให้เกิดภัย เพราะ
ผู้นั้นเป็นผู้ละราคะ อันก่อให้เกิดภัย ฯลฯ ละกิเลสทั้งหลายอันก่อให้เกิด
ภัยเสียแล้ว ชื่อว่าย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทั้งปวง คือ ย่อมเห็นความ
ไม่มีภัย ไม่มีเสนียด ไม่มีอุบาทว์ ไม่มีอุปสรรค ความระงับ ในที่ทุก
สถาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทั้งปวง
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
อภิสังขารอะไร ๆ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว
รู้แจ้งอยู่ บุคคลนั้น งดเว้นแล้วจากอภิสังขาร ย่อมเห็น
ความปลอดโปร่งในที่ทั้งปวง.
[๘๗๘] มุนีย่อมไม่พูดถึงตนในพวกคนที่เสมอกัน ในพวก
คนที่ต่ำกว่า ในพวกคนที่สูงกว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบ ผู้
ปราศจากความตระหนี่ ย่อมไม่ยึดถือ ย่อมไม่สลัด
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้ ).
ว่าด้วยคุณสมบัติของมุนี
[๘๗๙] คำว่า มุนีย่อมไม่พูดถึงตนในพวกตนที่เสมอกัน ใน

504
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 505 (เล่ม 66)

พวกคนที่ตำกว่า ในพวกตนที่สูงกว่า ความว่า ญาณเรียกว่า โมนะ
ได้แก่ ปัญญา ความรู้ ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง และตัณหา
เพียงดังข่ายดำรงอยู่ บุคคลนั้นชื่อว่ามุนี มุนีย่อมไม่พูดถึง ไม่กล่าว ไม่
บอก ไม่แสดง ไม่แถลง ว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา หรือว่าเราเลว
กว่าเขา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มุนีย่อมไม่พูดถึงตนในพวกคนที่เสมอ
กัน ในพวกคนที่ต่ำกว่า ในพวกคนที่สูงกว่า.
[๘๘๐] คำว่า เป็นผู้สงบ ในคำว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบ ปราศจาก
ความตระหนี่ ความว่า ชื่อว่าเป็นผู้สงบ เข้าไปสงบ เข้าไปสงบวิเศษ
ดับแล้ว ระงับแล้ว เพราะราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ อกุสลาภิสังขาร
ทั้งปวง เป็นสภาพสงบ สงบเงียบ เข้าไปสงบวิเศษ ถูกเผา ดับ ปราศไป
ระงับแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบ.
คำว่า ปราศจากความตระหนี่ ความว่า ความตระหนี่ ๕ ประการ
คือ ความตระหนี่อาวาส ฯลฯ ความหวงไว้ นี้เรียกว่า ความตระหนี่
ความตระหนี่นั้น อันมุนีใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควร
เกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ มุนีนั้นเรียกว่า ผู้ปราศจากความ
ตระหนี่ หายจากความตระหนี่ กำจัดความตระหนี่ สำรอกความตระหนี่
พ้นความตระหนี่ ละความตระหนี่ สละคืนความตระหนี่ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบ ปราศจากความตระหนี่.
[๘๘๑] คำว่า ย่อมไม่ยึดถือ ในควานว่า ย่อมไม่ยึดถือ ย่อม
ไม่สลัด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้ ความว่า มุนีนั้น ย่อมไม่ยึดถือ
ไม่ถือเอา ไม่เข้าไปถือ ไม่ถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ซึ่งรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ยึดถือ.

505
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 506 (เล่ม 66)

คำว่า ย่อมไม่สลัด ความว่า มุนีนั้น ย่อมไม่ละ ไม่บรรเทา
ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ให้ถึงความไม่มี ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ย่อมไม่สลัด. คำว่า ภควา เป็นคำเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ.
บทว่า ภควา นี้เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า
มุนีย่อมไม่พูดถึงตนในพวกคนที่เสมอกัน ในพวก
คนที่ต่ำกว่า ในพวกคนที่สูงกว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบ
ปราศจากความตระหนี่ ย่อมไม่ยึดถือ ย่อมไม่สลัด
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้).
จบอัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕
อรรถกถาอัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕
พึงทราบวินิจฉัยในอัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕ ดังต่อไปนี้.
พึงทราบความในคาถาที่หนึ่ง มีคำเริ่มต้นว่า อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ
ภัยเกิดแต่อาชญาของตน ดังนี้.
ภัยใด เป็นไปในโลกปัจจุบัน หรือเป็นไปในสัมปรายภพเกิดแล้ว
ภัยนั้นทั้งหมดเกิดแต่อาชญาของตน คือเกิดแต่เหตุประพฤติชั่วของตน
เมื่อเป็นอย่างนี้ พวกท่านจงดูชนที่ทุ่มเถียงกัน คือจงดูชนมีเจ้าศากยะ
เป็นต้นนี้ ทุ่มเถียงกันและกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงอบรมชน

506
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 507 (เล่ม 66)

ผู้ทำร้ายกัน ผู้ปฏิบัติผิดต่อกันนั้นอย่างนี้แล้ว เพื่อให้ชนนั้นเกิดความ
สังเวชด้วยการแสดงถึงการปฏิบัติชอบของพระองค์ จึงตรัสว่า
เราจักแสดงความสังเวชตามที่เราได้สังเวชมาแล้ว.
อธิบายว่า เมื่อก่อนเราเป็นพระโพธิสัตว์ ระลึกได้แล้ว.
บทว่า ตโย คือ กำหนดจำนวน. บทว่า ทณฺฑา อาชญา คือ
ทุจริต. บทว่า กายทณฺโฑ อาชญาทางกาย คือ กายทุจริต. แม้ในอาชญา
ทางวาจาเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ติวิธํ กายทุจฺจริตํ กายทุจริต
มี ๓ อย่าง อันได้แก่ความประพฤติชั่วเป็นไปทางกาย มีปาณาติบาต
เป็นต้น. หรือประพฤติชั่ว เพราะเน่าด้วยกิเลส เพราะเหตุนั้น จึงได้
ชื่อว่า ทุจริต ๓ อย่าง. บทว่า จตุพฺพิธํ คือ วจีทุจริต ๔ อย่างมีมุสาวาท
เป็นต้น. บทว่า ติวิธํ คือ มโนทุจริต ๓ อย่าง มีอภิชฌา (โลภอยาก
ได้ของเขา) เป็นต้น. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมิกํ ภัยในชาตินี้ คือภัยที่ได้รับใน
ชาตินี้ คือในอัตภาพนี้. บทว่า สมฺปรายิกํ คือ ภัยที่ได้รับในอัตภาพยังมา
ไม่ถึง. บทว่า อาคุจารี คือ เป็นผู้ประพฤติชั่วประพฤติผิด. บทว่า ตเมนํ
ราชา ปริภาสติ พระราชาทรงบริภาษคนผู้นั้น คือพระราชาทรงบริภาษ
คนทำชั่ว ให้เกิดความกลัว. บทว่า ทุกฺขํ โทมนสฺสํ ปฏิสํเวเทติ ให้เสวย
ทุกข์โทมนัส คือเสวยทุกข์ทางกาย โทมนัสทางใจ. บทว่า เอตํ ภยํ ทุกฺขํ
โทมนสฺสํ คือ ภัยทุกข์และโทมนัสนั้น. บทว่า กุโต ตสฺส คือ เกิดแต่
อะไร. บทว่า อตฺตทณฺฑโต ชาตํ เกิดแต่อาชญา คือเกิดแต่ทุจริตที่ตน
กระทำ. บทว่า อนฺตมโส คือ โดยอย่างต่ำ. บทว่า สวจนียมฺปิ กโรติ น เต
ลพฺภา อิโต ปกฺกมิตุํ พระราชามีพระกระแตรับสั่งว่า มันจะหนีจากสถาน
เป็นที่จองจำนี้ไปไม่ได้ คือทรงบังคับว่า โจรพวกนั้นมันจะไปจากบ้าน

507
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 508 (เล่ม 66)

เป็นต้นนี้ ออกไปภายนอกไม่ได้. บทว่า ธนชานิปจฺจยาปิ คือ แม้
เพราะเหตุแห่งความสูญเสียทรัพย์. พระราชารับสั่งให้ลงโทษโจรนั้นหลาย
อย่าง. บทว่า กสาหิปิ ตาเฬนฺติ คือ ให้เฆี่ยนด้วยแส้บ้าง. เวตฺเตหิปิ
ตาเฬนฺติ คือ ให้เฆี่ยนด้วยหวายมีหนามบ้าง. บทมีอาทิว่า อฑฺฒทณฺฑเกหิ
ด้วยไม้พลอง มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. สุนเขหิปิ ขาทาเปนฺติ
ให้สุนัขกัดกินบ้าง คือให้สุนัขที่หิวเพราะไม่ได้อาหารมา ๒-๓ วัน กัดกิน.
สุนัขเหล่านั้น เพียงครู่เดียวก็กัดกินเหลือแต่ร่างกระดูกเท่านั้น. บทว่า
สูเล อุตฺตาเสนฺติ คือ ให้นอนบนหลาวบ้าง. บทว่า ราชา อิเมสํ จตุนฺนํ
ทณฺฑานํ อิสฺสโร พระราชาเป็นใหญ่ในอาชญา ๔ อย่างแหล่านี้ คือ
พระราชาสามารถจะลงอาชญา ๔ อย่างเหล่านี้. บทว่า สเกน กมฺเมน
คือ ด้วยกรรมที่ตนทำ. ในบทว่า ตเมนํ นิรยปาลา นี้ พระเถระบางพวก
กล่าวว่า พวกนายนิรยบาลไม่มีให้ทำกรรมกรณ์ ดุจรูปยนต์เท่านั้น.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พวกนายนิรยบาลมีในนรก. ในอภิธรรมรับรอง
ไว้โดยนัยมีอาทิว่า เออ ผู้ลงกรรมกรณ์มีอยู่. พวกนิรยบาลในนรกมีเหมือน
ในมนุษยโลก ที่มีพวกลงโทษ. บทว่า ตตฺตํ อโยขิลํ หลาวเหล็กร้อน
คือให้สัตว์นรกมีร่างกาย ๓ คาวุต นอนหงายบนแผ่นดินโลหะ ไฟลุก
โพลงแล้วเอาหลาวเหล็กประมาณเท่าลำตาลสอดเข้าไปที่มือขวา ในมือซ้าย
เป็นต้นก็เหมือนกัน. ให้สัตว์นรกนอนคว่ำบ้าง ตะแคงซ้ายบ้าง ตะแคง
ขวาบ้าง เหมือนให้นอนหงายลงกรรมกรณ์นั้น. บทว่า สํเวเสตฺวา ให้
นอนลง คือให้ร่างประมาณ ๓ คาวุต นอนลงบนแผ่นดินเหล็กอันลุก
โพลง. บทว่า กุธารีหิ ด้วยผึ่ง คือเอาผึ่งใหญ่ประมาณปีกข้างหนึ่งของ
หลังคาเรือนถาก. เลือดไหลเหมือนน้ำไหล. เปลวไฟลุกขึ้นจากแผ่นดิน

508
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 509 (เล่ม 66)

โลหะจดถึงที่ถาก. เกิดมหาทุกข์. อนึ่ง เมื่อถาก ถากไปตามเส้นบรรทัด
เป็น ๘ เหลี่ยมบ้าง ๖ เหลี่ยมบ้าง เหมือนถากไม้. บทว่า วาสีหิ คือ
ด้วยมีด ประมาณเท่ากระด้งใหญ่. บทว่า รเถ โยเชตฺวา เทียมเข้าที่รถ
คือเทียมที่รถมีไฟลุกโพลงไปทั่วกับแอก เชือก กระพอง ล้อ ทูบ ปฏัก.
บทว่า มหนฺตํ คือ ภูเขาถ่านเพลิงให้ประมาณเท่าเรือนยอด. บทว่า
อาโรเปนฺติ ให้ขึ้น คือเอาค้อนเหล็กมีไฟลุกโพลงโบยให้ขึ้นภูเขาถ่าน
เพลิง. บทว่า สกิมฺปิ อุทฺธํ บางครั้งก็เดือดพล่านไปข้างบน คือไปข้าง
บนข้างล่างและทางขวาง เหมือนข้าวสารที่ใส่ไว้ในหม้ออันเดือดพล่าน.
บทว่า มหานิรเย คือ ในอเวจีมหานรก.
บทว่า จตุกฺกณฺโณ มหานรกมี ๔ มุม คือเช่นกับหีบสี่เหลี่ยม
จตุรัส. บทว่า วิภตฺโต คือ จำแนกออกโดยประตู ๔ ช่อง. บทว่า ภาคโส
มิโต จำแนกออกโดยส่วน คือสร้างจำแนกออกโดยส่วนแห่งประตูและ
ถนน. บทว่า ปริยตฺโต คือ ล้อมรอบ. บทว่า อยสา คือ มีแผ่นเหล็ก
ประมาณ ๙ โยชน์ครอบไว้ข้างบน. บทว่า สนนฺตา โยชนสตํ ผริตฺวา
ติฏฺฐติ แผ่ไปร้อยโยชน์ตั้งอยู่โดยรอบ คือแผ่ไปตั้งอยู่ โดยที่เมื่อบุคคล
ยืนแลดูอยู่ในที่ร้อยโยชน์โคตรอบ ตาทั้งสองข้างจะถลนออกเหมือนลูกกลม
คู่. บทว่า กทริยา ตปนา มหานรกอันเป็นที่น่าสยดสยองเผาผลาญ คือ
มหานรก ๘ ขุม กับอุสสทนรก แม้ทั้งหมดเหล่านั้น เป็นที่น่าสยดสยอง
เผาผลาญสัตว์อยู่เป็นนิจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กทริยา ตปนา. มหานรก
ชื่อว่า ร้ายแรง เพราะให้เกิดทุกข์ร้ายแรง ชื่อว่า มีเปลวไฟ เพราะมีเปลว-
ไฟตั้งอยู่ตลอดกัป ชื่อว่า แสนยากที่จะเข้าใกล้ เพราะทำได้ยากเพื่อจะให้
ขัดเคือง เพื่อกระทบกระทั่ง ชื่อว่า น่าขนลุกขนพอง เพราะเพียงเห็น หรือ

509
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 510 (เล่ม 66)

เพียงได้ยินขนก็ลุกชันเสียแล้ว ชื่อว่า น่ากลัว เพราะน่าครั่นคร้าม ชื่อว่า
ให้เกิดภัย เพราะให้เกิดความกลัว ชื่อว่า ให้เกิดทุกข์ เพราะไม่มีความสุข.
พึงทราบความสังเขปแห่งคาถามีอาทิว่า ปุรตฺถิมาย จ ภิตฺติยา
เปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านทิศตะวันออกอย่างนี้ถึงอเวจีมหานรกเป็นที่สุด,
มหานรกชื่ออเวจี เพราะไม่มีคลื่น๑ในระหว่างของเปลวไฟ หรือของสัตว์
ทั้งหลาย หรือของทุกข์ของสัตว์เหล่านั้น. เพราะว่าในอเวจีนั้น กลุ่ม
เปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านทิศตะวันออกเป็นต้น แล้วเผาบุคคลผู้มีกรรมชั่ว
พังฝาด้านทิศตะวันตกออกไป. กลุ่มเปลวไฟทะลุฝาเหล่านั้นพุ่งไปข้างหน้า
๑๐๐ โยชน์. กลุ่มเปลวไฟตั้งอยู่ข้างล่างไปกระทบข้างบน ดังอยู่ข้างบนลง
กระทบข้างล่าง. ในอเวจีนี้ชื่อว่าไม่มีคลื่นของเปลวไฟเลยอย่างนี้. ที่ ๑๐๐
โยชน์ในภายในอเวจีนั้น เต็มไปด้วยสัตว์นรกไม่มีช่องว่าง เหมือนทะนาน
เต็มไปด้วยแป้งทำด้วยเถาน้ำนม. สัตว์นรกสุดแดนนรก ไม่มีกำหนดด้วย
อิริยาบถ ๔. สัตว์นรกไม่เบียดเบียนกัน หมกไหม้อยู่ในที่เดียวกัน. ใน
นรกอเวจีนี้ชื่อว่าไม่มีคลื่นของสัตว์นรกอย่างนี้. อนึ่ง หยาดน้ำผึ้ง ๖ หยาด
บนปลายลิ้น ย่อมเป็นอัพโพหาริก เพราะหยาดน้ำทองแดงหยาดที่ ๗
มีกำลังเผาไหม้หมด ฉันใด อุเบกขาอกุสลวิบาก ๖ ที่เหลือ ย่อมเป็น
อัพโพหาริก เพราะมีกำลังในการเผาผลาญในนรกนั้น. ทุกข์เท่านั้นปรากฏ
ไม่มีระหว่าง. ในนรกอเวจีนี้ชื่อว่าไม่มีคลื่นของทุกข์เลยอย่างนี้. ชื่อว่า
นรกเพราะปราศจากความยินดี.
บทว่า ตตฺถ สตฺตา มหาลุทฺทา คือ สัตว์ที่เกิดในนรกอเวจีนั้น มี
กรรมหยาบมาก. บทว่า มหากิพฺพิสการิโน คือ ทำกรรมร้ายแรงมาก.
บทว่า อจฺจนฺตปาปกมฺมนฺตา คือ มีบาปกรรมโดยส่วนเดียว. บทว่า
๑. คือไม่มีความขาดตอน.

510
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 511 (เล่ม 66)

ปจฺจนฺติ น จ มิยฺยเร คือ หมกไหม้อยู่ในระหว่างเปลวไฟ แต่ไม่ตาย.
บทว่า ชาตเวทสโม กาโย คือ ร่างกายของสัตว์นรกเหล่านั้น เช่นกับ
ไฟ. บทว่า เตสํ นิรยวาสีนํ คือ สัตว์ผู้อยู่ในนรกเหล่านั้น เป็นผู้มีบาป-
กรรม. บทว่า ปสฺส กมฺมานํ ทฬฺหตฺตํ คือ จงดูความมั่นคงของบาป-
กรรม. บทว่า น ภสฺมา โหนฺติ นปิ มสิ คือ เถ้าและเขม่ามิได้มีเลย.
บทว่า ปุรตฺถิเมน ข้างทิศตะวันออก คือตราบใดประตูยังไม่ปิด สัตว์
นรกก็วิ่งมุ่งหน้าไปทางประตูนั้น. ผิวหนังเป็นต้นของสัตว์นรกเหล่านั้น
ย่อมไหม้ที่ประตูนั้น. เมื่อสัตว์นรกเหล่านั้นไปถึงใกล้ประตู ประตูนั้นก็
ปิด ประตูหลังปรากฏดุจไม่ได้ปิดไว้. ในบททั้งหมดก็มีนัยนี้. บทว่า
นิกฺขมิตาสา เต คือ สัตว์นรกเหล่านั้นมีความหวังเพื่อจะออก จึงชื่อว่า
นิกฺขมิตาสา. บทว่า โมกฺขํ คเวสิโน คือ แสวงหาอุบายที่จะออก.
บทว่า น เต ตโต นิกฺขมิตุํ ลภนฺติ กมฺมปจฺจยา คือ สัตว์เหล่านั้นออก
จากนรกนั้นไม่ได้ เพราะบาปกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า เตสญฺจ
ปาปกมฺมนฺตํ อวิปกฺกํ กตํ พหุํ เพราะบาปกรรมที่สัตว์เหล่านั้นทำไว้มาก
ยังมิได้ให้ผลหมดสิ้น คือกรรมลามกหยาบช้าที่สัตว์เหล่านั้นทำสะสมไว้มี
อยู่มากมายนานัปการ ยังไม่ให้ผล.
บทว่า สํเวคํ ความสังเวช คือความระอา. บทว่า อุพฺเพคํ ความ
สะดุ้ง คือไปจากที่ยืนอยู่. บทว่า อุตฺราสํ ความหวาดเสียว คือความ
ยุ่งยากใจ ไม่ตกลงใจ. บทว่า ภยํ ความกลัว คือจิตสะดุ้ง. บทว่า
ปีฬนํ ความบีบคั้น คือความเสียดสี. บทว่า ฆฏฺฏนํ ความกระทบ คือ
ทำการบีบคั้น. บทว่า อุปทฺทวํ ความเบียดเบียน คือจัญไร. บทว่า
อุปสคฺคํ ความขัดข้อง คือการปิดกั้น.

511
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 512 (เล่ม 66)

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึงประการที่พระองค์ทรง
สังเวชมาแล้ว จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ผนฺทมานํ หมู่สัตว์ดิ้นรนอยู่ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ผนฺทมานํ คือ ดิ้นรนด้วยตัณหาเป็นต้น.
บทว่า อปฺโปทเก คือ ในน้ำน้อย. บทว่า อญฺญมญฺเญหิ พฺยารุทฺเธ
ทิสฺวา เห็นสัตว์ทั้งหลายทำร้ายกันและกัน คือเห็นสัตว์ต่าง ๆ ทำร้ายกับ
สัตว์อื่น ๆ. บทว่า มํ ภยมามิสิ คือ ภัยเข้ามาถึงเราแล้ว.
บทว่า กิเลสผนฺทนาย ผนฺทมานํ ดิ้นรนเพราะกิเลส คือหวั่นไหว
ด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น. บทว่า ปโยโค ได้แก่ กายประโยค วจีประโยค
และมโนประโยค. บทว่า วิรุทฺธา ทำร้ายกัน คือถึงความพิโรธกัน.
บทว่า ปฏิวิรุทฺธา ทำร้ายตอบกัน คือหันหน้าทะเลาะกัน. หรือตรงเข้า
ทำร้ายกัน . บทว่า อาหตา เคืองกัน คือประกันประหารกันด้วยความ
โกรธ. บทว่า ปจฺจาหตา เคืองตอบกัน คือเป็นมวยปล้ำต่อสู้กัน. บทว่า
อาฆาติตา ปองร้ายกัน คือกระทบกระทั่งกัน . บทว่า ปจฺจาฆฏฺฏิตา
ปองร้ายตอบกัน คือกระทบกระทั่งกันอย่างแรง. บทว่า ปาณีหิปิ
อุปกฺกมนฺติ คือ ตบตีกันด้วยมือบ้าง.
บทว่า สมนฺตมสาโร โลโก โลกทั้งหมดไม่เป็นแก่นสาร คือโลก
ทั้งหมดตั้งแต่นรกเป็นต้น. ไม่เป็นแก่นสาร คือเว้นจากแก่นสารที่เป็น
ของเที่ยงเป็นต้น. บทว่า ทิสา สพฺพา สเมริตา คือ สังขารทั้งหลาย
หวั่นไหวแล้วตลอดทิศทั้งปวง เพราะความไม่เที่ยง. บทว่า อิจฺฉํ ภวน-
มตฺตโน เมื่อปรารถนาความเจริญเพื่อตน คือเมื่อปรารถนาความต้านทาน
เพื่อตน. บทว่า นาทฺทสาสึ อโนสิตํ คือ ไม่ได้เห็นฐานะอะไรๆ อัน
ไม่ถูกครอบงำด้วยชราเป็นต้น.

512
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 513 (เล่ม 66)

บทว่า อสฺสาโร คือ ไม่เป็นแก่นสารหรือเว้นจากแก่นสาร. บทว่า
นิสฺสาโร คือ เว้นจากแก่นสารด้วยประการทั้งปวง. บทว่า สาราปคโต
คือ ปราศจากแก่นสาร. บทว่า นิจฺจสารสาเรน วา โดยแก่นสารที่เป็น
ของเที่ยง คือแก่นสารที่นับว่าเป็นแก่นสารตลอดไป. แม้สองบทต่อไป
ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า เย ปุรตฺถิมาย ทิสาย สงฺขารา สังขาร
ทั้งหลายในทิศตะวันออก คือสังขารทั้งหลายที่ร่วมกันทำขึ้นด้วยปัจจัยใน
ทิศตะวันออก. บทว่า เตปิ เอริตา คือ แม้สังขารเหล่านั้นก็หวั่นไหว.
บทว่า สเมริตา สะเทือน คือหวั่นไหวยิ่ง. บทว่า จลิตา สะท้าน คือ
ไปสู่ความหวั่นไหว. บทว่า ฆฏฺฏิตา เอนเอียง คือถูกความเกิดความดับ
บีบคั้น. บทว่า อนิจฺจตาย คือ เพราะเป็นแล้วไม่เป็น. บทว่า ชาติยา
อนุคตา อันชาติติดตาม คืออันความเกิดเข้าไปติดตาม. บทว่า ชราย
อนุสฏา อันชราห้อมล้อม คือถูกเบียดเบียนเพราะความแก่หง่อม. บทว่า
พฺยาธินา อภิภูตา อันพยาธิครอบงำ คือถูกพยาธิอันเกิดขึ้นเพราะความ
เปลี่ยนแปลงของธาตุครอบงำ. บทว่า มรเณน อพฺภาหตา คือ ถูกมรณะ
กำจัด. บทว่า อตาณา ไม่มีที่ต้านทาน คือเว้นจากการรักษา. บทว่า
อเลณา ไม่มีที่หลีกเร้น คือเว้นจากที่หลีกเร้น. บทว่า อสรณา คือ ไม่
มีที่พึ่ง. บทว่า อสรณีภูตา เป็นสภาพไม่มีที่พึ่ง คือไม่ทำกิจของที่พึ่ง
เอง. บทว่า อตฺตโน ภวนํ ความเจริญเพื่อตน เป็นบทยกขึ้นเพื่อขยาย
ความ. บทว่า ตาณํ ที่ป้องกัน คือที่รักษา. บทว่า เลณํ คือ ที่หลีกเร้น.
บทว่า สรณํ ที่พึ่ง คือที่ยังทุกข์ให้พินาศไป. บทว่า คตึ ที่ดำเนิน คือ
ที่อาศัย. บทว่า ปรายนํ ที่ก้าวหน้า คือที่ไปในเบื้องหน้า ชื่อว่า ปรายนํ.
บทว่า อชฺโณสิตํ เยว อทฺทสํ ได้เห็นฐานะทั้งปวงถูกครอบงำ คือได้

513