No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 494 (เล่ม 66)

ท่านเสื่อมแล้วจากรถ ม้า แก้วมณี และกุณฑล เสื่อม
แล้วจากบุตรและภรรยา ทั้งจากโภคสมบัติทั้งปวง ที่ไม่
ได้เสพ เหตุไร ท่านจึงไม่เดือดร้อนในเวลาเศร้าโศก
โภคสมบัติทั้งหลาย ย่อมละสัตว์ไปก่อนบ้าง สัตว์ย่อมละ
โภคสมบัติเหล่านั้นไปก่อนบ้าง ผู้ใคร่กามมีโภคสมบัติ
ทั้งหลายเหล่าเป็นผู้ไม่มีอะไรเป็นของของตน เหตุนั้น เรา
จึงไม่เศร้าโศกในเวลาเศร้าโศก ดวงจันทร์ย่อมขึ้น ย่อม
เต็มดวง ย่อมเสื่อมไป ดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้วก็ลับไป
โลกธรรมทั้ง ๘ เรารู้แล้ว เหตุนั้น เราจึงไม่เศร้าโศกใน
เวลาเศร้าโศก.
ความถือ ความยึดถือ ความถือมั่น ความชอบใจ ความน้อมใจ
ถึงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า
สิ่งนี้ของตนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ความเสื่อมก็ไม่มีแก่ผู้นั้น สมจริง
ตามภาษิตว่า ดูก่อนสมณะ ท่านย่อมยินดีหรือ. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เรา
ได้อะไรเล่าจึงจะยินดี. ดูก่อนสมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านย่อมเศร้าโศกหรือ.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สิ่งอะไร ๆ เล่าเสื่อมไปแล้ว เราจึงจะเศร้าโศก. ดูก่อน
สมณะ ถ้าอย่างนั้น ท่านย่อมไม่ยินดี ย่อมไม่เศร้าโศกหรือ. เป็นอย่าง
นั้น ท่านผู้มีอายุ.
และสมจริงตามภาษิตว่า
เป็นเวลานานหนอ เราจึงได้เห็นภิกษุผู้เป็นพราหมณ์
ตัดรอบแล้ว ไม่มียินดี ไม่มีทุกข์ ข้ามตัณหาเครื่อง
เกาะเกี่ยวในโลก.

494
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 495 (เล่ม 66)

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมในโลก เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ความถือว่าของเราในนามรูป ย่อมไม่มีแก่ผู้ใดโดย
ประการทั้งปวง และผู้ใดย่อมไม่เศร้าโศก เพราะสิ่งที่
ถือว่าของเราไม่มีอยู่ ผู้นั้นย่อมไม่เสื่อมในโลก.
[๘๖๖] ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของ
คนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ผู้นั้นเมื่อไม่ได้ความถือว่า
ของเรา ก็ไม่เศร้าโศกว่าสิ่งนี้ย่อมไม่มีแก่เรา.
[๘๖๖] คำว่า แก่ผู้ใด ในคำว่า ความกังวลอะไร ๆ ว่าสิ่งนี้
ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ความว่า แก่
พระอรหันตขีณาสพ ความถือ ความยึดถือ ความถือมั่น ความชอบใจ
ความน้อมใจถึงสังขารอะไร ๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่
เข้าไปได้แก่ผู้ใด คือ อันผู้ใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควร
เกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อม
ไม่มีแก่ผู้ใด.
ว่าด้วยอิทัปปัจจยตา
สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้
ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ทั้งไม่ใช่ของคนเหล่าอื่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

495
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 496 (เล่ม 66)

กายนี้ อันกรรมเก่าควบคุมแล้ว อันจิตประมวลเข้าแล้ว ท่านทั้งหลาย
พึงเห็นว่าเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับ แล้ว
ย่อมมนสิการถึงปฏิจจสมุปบาทนั่นแหละ โดยแยบคายเป็นอย่างดีในกาย
นั้นว่า เพราะเหตุนี้ ๆ เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้ก็
เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ กล่าวคือ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
ฯลฯ ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะ
อวิชชานั้นแลดับด้วยสามารถความสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ แม้ด้วยเหตุ
อย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่ง
นี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาเห็นโลกโดย
ความเป็นของสูญ ถอนอัตตานุทิฏฐิเสียแล้ว พึงเป็นผู้
ข้ามพ้นมัจจุได้ด้วยอาการอย่างนี้ มัจจุราชย่อมไม่เห็น
บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างนี้
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไร ๆ . . . ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสียเถิด สิ่งนั้นที่
ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข ตลอดกาลนาน ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละรูปเสียเถิด รูปนั้นที่ท่าน

496
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 497 (เล่ม 66)

ทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข ตลอดกาลนาน เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละ
วิญญาณนั้นเสียเถิด วิญญาณนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อ
ประโยชน์ เพื่อสุข ตลอดกาลนาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน หญ้า ไม้กิ่งไม้และใบไม้ในวิหารเชตวันนี้
คนพึงนำไป เผาเสีย หรือว่าทำตามปัจจัย ท่านทั้งหลายพึงมีความดำริ
อย่างนี้ หรือว่าคนย่อมนำไป เผาเสีย ซึ่งเราทั้งหลาย หรือทำตามปัจจัย
ความดำรินั้นไม่มีเลย พระพุทธเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุ
ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ตนหรือของเนื่องด้วยตนแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย
เถิด สิ่งนั้นที่ท่านทั้งหลายละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข ตลอด
กาลนาน ฉันนั้นแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สิ่งอะไรไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ของท่านทั้งหลาย . . . วิญญาณไม่ใช่ของท่าน
ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสียเถิด วิญญาณนั้นที่ท่านทั้งหลาย
ละเสียแล้ว จักมีเพื่อประโยชน์เพื่อสุข ตลอดกาลนาน แม้ด้วยเหตุอย่าง
นี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไร ๆ. . . ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
และสมจริงตามภาษิตว่า
ดูก่อนคามณี เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง
ธรรมล้วน และความสืบต่อแห่งสังขารล้วน ตามเป็นจริง
ภัยก็ไม่มี เมื่อใด บุคคลเห็นขันธโลกเสมอด้วยหญ้าและ
ไม้ ด้วยปัญญา เมื่อนั้น บุคคลนั้นก็ไม่ปรารถนาอะไร ๆ
อื่น นอกจากนิพพานอันไม่มีปฏิสนธิ.

497
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 498 (เล่ม 66)

นางวชิราภิกษุณีได้กล่าวคาถานี้กะมารผู้ลามก๑ว่า
ดูก่อนมาร ทิฏฐิของท่านย่อมเชื่อสิ่งอะไรหนอว่าสัตว์
ร่างกายนี้เป็นกองแห่งสังขารล้วน บัณฑิตย่อมไม่ได้ที่จะ
เรียกว่าเป็นสัตว์ในกองสังขารล้วนนี้ เสียงว่ารถย่อมมี
เพราะคุมกันเข้าแห่งส่วนประกอบ ฉันใด เมื่อขันธ์
ทั้งหลายมีอยู่ ความสมมติว่าสัตว์ก็มี ฉันนั้น ก็ทุกข์
อย่างเดียวย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และย่อมแปรไป
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ.
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไร ๆ...ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
และสมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุย่อมค้นหารูปอย่างนั้นแหละ ตลอดถึงคติของรูปที่มีอยู่ ภิกษุย่อมค้น
หาเวทนา...สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ตลอดถึงคติของวิญญาณที่มีอยู่
เมื่อภิกษุนั้นค้นหารูปตลอดถึงคติของรูปที่มีอยู่ เมื่อค้นหาเวทนา . . .
สัญญา... สังขาร... วิญญาณ ตลอดถึงคติของวิญญาณที่มีอยู่ แม้ความ
ถือว่าเราก็ดี ว่าของเราก็ดี ว่าเราย่อมมีก็ดี ความถือแม้นั้นก็มิได้มีแก่ภิกษุ
นั้นๆ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไรๆ... ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด.
ว่าด้วยโลกสูญ
ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า โลกสูญ โลกสูญ ดังนี้ ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล
พระองค์จึงตรัสว่า โลกสูญ โลกสูญ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
๑. ส. ส. ๑๕/ข้อ ๕๕๕.

498
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 499 (เล่ม 66)

ดูก่อนอานนท์ เพราะสูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน ฉะนั้น เราจึง
กล่าวว่าโลกสูญ ดูก่อนอานนท์ ก็สิ่งอะไรที่สูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่อง
ด้วยตน ดูก่อนอานนท์ จักษุสูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน รูป
ก็สูญ... จักษุวิญญาณ... จักษุสัมผัส... สุขเวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี
อทุกขมสุขเวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย แม้เวทนานั้น
ก็สูญ หู ... เสียง ... จมูก ... กลิ่น... ลิ้น... รส... กาย ...โผฏฐัพพะ...
ใจ... ธรรมารมณ์... มโนวิญญาณ... มโนสัมผัส ... สุขเวทนาก็ดี
ทุกขเวทนาก็ดี อทุกขมสุขเวทนาก็ดี ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
แม้เวทนานั้นก็สูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน ดูก่อนอานนท์ เพราะ
โลกสูญจากตนหรือจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า โลกสูญ
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า
สิ่งนี้ของคนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่บุคคลใด.
[๘๖๗] ชื่อว่า ความถือว่าของเรา ในคำว่า ผู้นั้น เมื่อไม่ได้
ความถือว่าของเรา ได้แก่ ความถือว่าของเรา ๒ อย่าง คือ ความถือว่า
ของเราด้วยตัณหา ๑ ความถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่า
ความถือว่าของเราด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ.
ผู้นั้นละความถือว่าของเราด้วยตัณหา สละคืนความถือว่าของเราด้วยทิฏฐิ
แล้ว เมื่อไม่ได้ ไม่พบ ไม่ประสบ ไม่ได้เฉพาะ ซึ่งความถือว่าของเรา
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้น เมื่อไม่ได้ความถือว่าของเรา.
[๘๖๘] คำว่า ก็ไม่เศร้าโศกว่า สิ่งนี้ย่อมไม่มีแก่เรา ความว่า
ผู้นั้น ย่อมไม่เศร้าโศกถึงวัตถุที่แปรปรวนไป หรือเมื่อวัตถุนั้นแปรปรวน
ไปแล้ว ก็ไม่เศร้าโศกถึง และไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่รำพัน ไม่

499
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 500 (เล่ม 66)

ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหลว่า จักษุของเราแปรปรวนไปแล้ว
หูของเราแปรปรวนไปแล้ว ฯลฯ สาโลหิตของเราแปรปรวนไปแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ก็ไม่เศร้าโศกว่า สิ่งนี้ย่อมไม่มีแก่เรา เพราะฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ความกังวลอะไร ๆ ว่า สิ่งนี้ของเรา หรือว่า สิ่งนี้ของ
คนเหล่าอื่น ย่อมไม่มีแก่ผู้ใด ผู้นั้น เมื่อไม่ได้ความถือ
ว่าของเรา ก็ไม่เศร้าโศกว่า สิ่งนี้ย่อมไม่มีแก่เรา.
[๘๖๙] บุคคลเป็นผู้ไม่ริษยา ไม่ตามติดใจ ไม่หวั่นไหว
เป็นผู้เสมอในอายตนะทั้งปวง เราถูกถามถึงบุคคลผู้ไม่มี
ความหวั่นไหว ก็บอกอานิสงส์นั้น.
ว่าด้วยผู้ไม่ริษยา
[๘๗๐] ความริษยา ในคำว่า เป็นผู้ไม่ริษยา ไม่ตามติดใจ
เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ริษยา คือ ย่อมริษยา ชิงชัง
ผูกความริษยา ในลาภ สักการะ การเคารพ การนับถือ การไหว้และ
การบูชาของบุคคลอื่น ความเป็นผู้ริษยา การทำความเป็นผู้ริษยา ความ
ริษยา กิริยาที่ริษยา ความเป็นผู้ริษยา ความชิงชัง กิริยาที่ชิงชัง ความ
เป็นผู้ชิงชัง นี้เรียกว่าความริษยา ความริษยานั้น อันผู้ใดละ ตัดขาด
สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ผู้นั้น
เรียกว่า เป็นผู้ไม่ริษยา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่ริษยา. คำว่า
ไม่ตามติดใจ ความว่า ตัณหา เรียกว่าความตามติดใจ ได้แก่ ราคะ

500
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 501 (เล่ม 66)

สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ความติดใจนั้น อันผู้ใดละ
ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
ผู้นั้น เรียกว่าเป็นผู้ไม่ตามติดใจ ผู้นั้นไม่ติดใจ คือไม่ถึงความติดใจ
ไม่หลง ไม่หมกมุ่นในรูป ฯลฯ ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่
ทราบและธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง คือเป็นผู้ปราศจากความติดใจ หายจาก
ความติดใจ สละความติดใจ สำรอกความติดใจ ปล่อยความติดใจ ละ
ความติดใจ สละคืนความติดใจแล้ว ปราศจากความกำหนัด หายจาก
ความกำหนัด สละความกำหนัด สำรวมความกำหนัด ปล่อยความกำหนัด
ละความกำหนัด สละคืนความกำหนัดแล้ว หายหิวแล้ว ดับแล้ว เย็นแล้ว
เป็นผู้เสวยสุขมีตนดุจพรหมอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลเป็นผู้ไม่
ริษยา ไม่ตามติดใจ.
ว่าด้วยผู้ไม่หวั่นไหว
[๘๗๑] คำว่า ไม่หวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอายตนะทั้งปวง
ความว่า ตัณหา เรียกว่าความหวั่นไหว ได้แก่ ราคะ สาราคะ ฯลฯ
อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ตัณหาอันเป็นความหวั่นไหวนั้น อันผู้ใดละ
ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือ
ญาณ ผู้นั้น เรียกว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหว บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ไม่หวั่นไหว
เพราะละความหวั่นไหวเสียแล้ว ผู้นั้นย่อมไม่หวั่นไหว เอนเอียง ดิ้นรน
ยุ่ง วุ่นไป แม้ในลาภ แม้ในความเสื่อมลาภ แม้ในยศ แม้ในความ
เสื่อมยศ แม้ในความสรรเสริญ แม้ในความนินทา แม้ในสุข แม้ในทุกข์
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่หวั่นไหว. คำว่า เป็นผู้เสมอในอายตนะ

501
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 502 (เล่ม 66)

ทั้งปวง ความว่า อายตนะ ๑๒ คือ จักษุ รูป ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์
เรียกว่าอายตนะทั้งปวง เมื่อใด ฉันทราคะในอายตนะภายในและภายนอก
อันบุคคลละ ตัดรากเสียแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความ
ไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เมื่อนั้น ผู้นั้น
เรียกว่าเป็นผู้เสมอ คงที่ วางตนเป็นกลาง เพิกเฉย ในอายตนะทั้งปวง
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่หวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอายตนะทั้งปวง.
[๘๗๒] คำว่า เราถูกถามถึงบุคคลผู้ไม่มีความหวั่นไหว ก็บอก
อานิสงส์นั้น ความว่า เราถูกถาม สอบถาม ขอให้บอก อัญเชิญให้
บอก ขอให้ประสาทถึงบุคคลผู้ไม่มีความหวั่นไหว ก็บอกอานิสงส์ ๔ นี้
คือ บอก ชี้แจง ฯลฯ ประกาศว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่ริษยา ไม่ตาม
ติดใจ ไม่หวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอายตนะทั้งปวง ดังนี้ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เราถูกถามถึงบุคคลผู้ไม่มีความหวั่นไหว ก็บอกอานิสงส์นั้น
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลเป็นผู้ไม่ริษยา ไม่ตามติดใจ ไม่หวั่นไหว
เป็นผู้เสมอในอายตนะทั้งปวง เราถูกถามถึงบุคคลผู้ไม่มี
ความหวั่นไหว ก็บอกอานิสงส์นั้น.
[๘๗๓] อภิสังขารอะไร ๆ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว
รู้แจ้งอยู่ บุคคลนั้น งดเว้นแล้วจากอภิสังขาร ย่อมเห็น
ความปลอดโปร่งในที่ทั้งปวง.
[๘๗๔] ตัณหา เรียกว่า ความหวั่นไหว ในคำว่า แก่บุคคล
ผู้ไม่หวั่นไหว รู้แจ้งอยู่ ได้แก่ ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ

502
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 503 (เล่ม 66)

อกุศลมูล ตัณหาอันเป็นความหวั่นไหวนั้น อันผู้ใดละ ตัดขาด สงบ
ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ผู้นั้น เรียกว่า
ผู้ไม่หวั่นไหว บุคคลชื่อว่าไห่หวั่นไหว เพราะละความหวั่นไหวเสียแล้ว
ผู้นั้นย่อมไม่หวั่นไหว เอนเอียง ดิ้นรน ยุ่ง วุ่นไป แม้ในลาภ แม้
ในความเสื่อมลาภ แม้ในยศ แม้ในความเสื่อมยศ แม้ในความสรรเสริญ
แม้ในความนินทา แม้ในสุข แม้ในทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แก่
บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว. คำว่า รู้แจ้งอยู่ ความว่า รู้ รู้ทั่ว รู้แจ้งเฉพาะ
แทงตลอดว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ฯลฯ สิ่งใด
สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า แก่บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว รู้แจ้งอยู่.
[๘๗๕] คำว่า อภิสังขารอะไร ๆ ย่อมไม่มี ความว่า ปุญญาภิ-
สังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เรียกว่า อภิสังขาร. ปุญญา-
ภิสังขารก็ดี อปุญญาภิสังขารก็ดี อาเนญชาภิสังขารก็ดี อันบุคคลนั้นละ
ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง
มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ด้วยเหตุเท่านี้ อภิสังขารทั้งหลายก็
ไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ คือเป็นสภาพอันบุคคลนั้นละ ตัดขาด
สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า อภิสังขารอะไร ๆ ย่อมไม่มี.
[๘๗๖] คำว่า บุคคลนั้นงดเว้นแล้วจากอภิสังขาร ความว่า
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เรียกว่า อภิสังขาร.
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร อันบุคคลนั้นละ
ตัดรากขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภาย-

503