No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 474 (เล่ม 66)

ความไม่มีซึ่งความดูหมิ่น พึงเป็นผู้งด งดเว้น เว้นขาด ออก สลัดออก
พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องความดูหมิ่น พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่พึงตั้งอยู่ในความดูหมิ่น.
ว่าด้วยทำบุญต้องมุ่งนิพพาน
[๘๒๖] คำว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน ความว่า
นรชนบางคนในโลกนี้ ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถกรรม เข้าไป
ตั้งไว้ซึ่งน้ำดื่มน้ำใช้ กวาดบริเวณ ไหว้พระเจดีย์ บูชาด้วยเครื่องหอมและ
ดอกไม้ที่พระเจดีย์ ทำประทักษิณพระเจดีย์ บำเพ็ญกุศลที่ควรบำเพ็ญอย่าง
ใดอย่างหนึ่งอันเป็นไตรธาตุ ก็ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งคติ ไม่บำเพ็ญ
เพราะเหตุแห่งอุปบัติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งปฏิสนธิ ไม่บำเพ็ญ
เพราะเหตุแห่งภพ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งสงสาร ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุ
แห่งวัฏฏะ เป็นผู้มีความประสงค์ในอันพรากออกจากทุกข์ มีใจน้อมโน้ม
โอนไปในนิพพาน ย่อมบำเพ็ญกุศลทั้งปวงนั้น แม้เพราะเหตุอย่างนี้
ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.
อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้ง-
ปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่ง
สังขารทั้งปวง สละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอก
ตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาติ
นี้สงบ ประณีต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจ
น้อมไปในนิพพาน.

474
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 475 (เล่ม 66)

สมจริงดังพระพุทธภาษิตว่า
บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่ให้ทานเพราะเหตุแห่งสุข
อันก่อให้เกิดอุปธิ แต่บัณฑิตเหล่านั้นย่อมให้ทานเพื่อ
ความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อนิพพานอันไม่มีภพต่อไป โดย
ส่วนเดียว บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่เจริญฌานเพราะ
เหตุแห่งสุขอันก่อให้เกิดอุปธิ เพื่อภพต่อไป แต่บัณฑิต
เหล่านั้น ย่อมเจริญฌานเพื่อความหมดสิ้นอุปธิ เพื่อ
นิพพานอันไม่มีภพต่อไปโดยสิ้นเดียว บัณฑิตเหล่านั้น
มุ่งนิพพาน มีจิตเอนไปในนิพพาน น้อมจิตไปในนิพพาน
ย่อมให้พาน บัณฑิตเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มีนิพพานเป็น
เบื้องหน้า เหมือนแม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเลฉะนั้น.
เพราะฉะนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
นรชนพึงปราบความหลับ ความเกียจคร้าน ความ
ย่อท้อ ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พึงตั้งอยู่ในความ
ดูหมิ่น พึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.
[๘๒๗] นรชนพึงออกจากความพูดเท็จ ไม่พึงทำความเสน่หา
ในรูป พึงกำหนดรู้มานะ และพึงประพฤติเว้นจากความ
ผลุนผลัน.

475
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 476 (เล่ม 66)

ว่าด้วยมุสาวาทมีด้วยอาดาร ๓ ฯลฯ
[๘๒๘] มุสาวาท เรียกว่า ความพูดเท็จ ในคำว่า นรชนพึง
ออกจากความพูดเท็จ บุคคลบางคนในโลกนี้ อยู่ในที่ประชุม อยู่ใน
ประชุมชน อยู่ในท่ามกลางญาติ อยู่ในท่ามกลางข้าราชการ หรืออยู่ใน
ราชสกุล เขาถูกนำไปถามเป็นพยานว่า บุรุษผู้เจริญ มาเถิด ท่านรู้สิ่งใด
ก็จงบอกสิ่งนั้น บุคคลนั้นเมื่อไม่รู้ก็บอกว่ารู้บ้าง เมื่อรู้ก็บอกว่าไม่รู้บ้าง
เมื่อไม่เห็นก็บอกว่าเห็นบ้าง เมื่อเห็นก็บอกว่าไม่เห็นบ้าง เป็นผู้กล่าว
คำเท็จทั้งที่รู้ เพราะเหตุตนบ้าง เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง เพราะเห็นแก่อามิส
เล็กน้อยบ้าง ด้วยประการดังนี้ นี้เรียกว่า ความพูดเท็จ.
อีกอย่างหนึ่ง มุสาวาทย่อมมีด้วยอาการ ๓ อาการ อาการ ๕
อาการ ๖ อาการ ๗ อาการ ๘ ฯลฯ มุสาวาทย่อมมีด้วยอาการ ๘ นี้.
คำว่า นรชนพึงออกจากความพูดเท็จ ความว่า ไม่พึงดำเนิน ไม่พึง
ประกอบ ไม่พึงนำเข้าไปด้วยความพูดเท็จ พึงละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป
ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความพูดเท็จ พึงเป็นผู้งด เว้น เว้น เฉพาะ ออก
สลัดออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องความพูดเท็จ พึงเป็นผู้มีจิตปราศจาก
แดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนพึงออกจากความพูดเท็จ.
[๘๒๙] ชื่อว่ารูป ในคำว่า ไม่พึงทำความเสน่หาในรูป คือ
มหาภูตรูป และอุปาทายรูปแห่งมหาภูตรูป ๔. คำว่า ไม่พึงทำความเสน่หา
ในรูป ความว่า ไม่ควรทำความเสน่หา ไม่ควรทำความพอใจ ไม่ควรทำ
ความรัก ไม่ควรทำความกำหนัดในรูป คือ ไม่ให้เกิด ไม่ให้เกิดพร้อม
ไม่ให้บังเกิด ไม่ให้บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้น ชื่อว่า ไม่พึงทำความ
เสน่หาในรูป.

476
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 477 (เล่ม 66)

ว่าด้วยมานะลักษณะต่าง ๆ
[๘๓๐] ชื่อว่ามานะ ในคำว่า พึงกำหนดรู้มานะ คือ มานะ
อย่างหนึ่ง ได้แก่ความฟูขึ้นแห่งจิต. มานะ ๒ อย่าง ได้แก่มานะในความ
ยกตน ๑ มานะในความข่มผู้อื่น ๑. มานะ ๓ อย่าง ได้แก่มานะว่า เราดี
กว่าเขา ๑ มานะว่า เราเสมอเขา ๑ มานะว่า เราเลวกว่าเขา ๑. มานะ
๔ อย่าง ได้แก่บุคคลให้มานะเกิดเพราะลาภ ๑ ให้มานะเกิดเพราะยศ ๑
ให้มานะเกิดเพราะสรรเสริญ ๑ ให้มานะเกิดเพราะสุข ๑. มานะ ๕ อย่าง
ได้แก่บุคคลให้มานะเกิดว่า เราได้รูปที่ชอบใจ . ให้มานะเกิดว่า เรา
ได้เสียงที่ชอบใจ ๑ ให้มานะเกิดว่า เราได้กลิ่นที่ชอบใจ ๑ ให้มานะเกิด
ว่า เราได้รสที่ชอบใจ ๑ ให้มานะเกิดว่า เราได้โผฏฐัพพะที่ชอบใจ ๑.
มานะ ๖ อย่าง ได้แก่บุคคลให้มานะเกิดเพราะความถึงพร้อมแห่งจักษุ ๑
ให้มานะเกิดเพราะความถึงพร้อมแห่งหู ๑ ให้มานะเกิดเพราะความถึง
พร้อมแห่งจมูก ๑ ให้มานะเกิดเพราะความถึงพร้อมแห่งลิ้น ๑ ให้มานะ
เกิดเพราะความถึงพร้อมแห่งกาย ๑ ให้มานะเกิดเพราะความถึงพร้อมแห่ง
ใจ ๑. มานะ ๗ อย่าง ได้แก่ความถือตัว ๑ ความดูหมิ่น ๑ ความถือตัว
และความดูหมิ่น ๑ ความถือตัวต่ำ ๑ ความถือตัวสูง ๑ ความถือตัวว่า
เรามั่งมี ๑ ความถือตัวผิด ๑. มานะ ๘ อย่าง ได้แก่บุคคลให้ความถือ
ตัวเกิดเพราะลาภ ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดเพราะความเสื่อมลาภ ๑ ให้
ความถือตัวเกิดเพราะยศ ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดเพราะความเสื่อมยศ ๑
ให้ความถือตัวเกิดเพราะความสรรเสริญ ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดเพราะ
ความนินทา ๑ ให้ความถือตัวเกิดเพราะสุข ๑ ให้ความถือตัวต่ำเกิดเพราะ
ทุกข์ ๑. มานะ ๙ อย่าง ได้แก่มานะว่า เราดีกว่าคนที่ดี ๑ มานะว่า

477
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 478 (เล่ม 66)

เราเสมอกับคนที่ดี ๑ มานะว่า เราเลวกว่าคนที่ดี ๑ มานะว่า เราดีกว่า
ผู้เสมอกัน ๑ มานะว่า เราเสมอกับผู้เสมอกัน ๑ มานะว่า เราเสมอ
กับผู้เลว ๑ มานะว่า เราดีกว่าผู้เลว ๑ มานะว่า เราเสมอกับผู้เลว ๑
มานะว่า เราเลวกว่าผู้เลว ๑. มานะ ๑๐ อย่าง ได้แก่บุคคลบางคนใน
โลกนี้ ยังมานะ ให้เกิดเพราะชาติบ้าง เพราะโคตรบ้าง ฯลฯ เพราะ
วัตถุอื่น ๆ บ้าง ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ความเป็นผู้ถือตัว ความ
กำเริบขึ้น ความฟูขึ้น มานะดังว่า ธงชัย มานะอันประคองจิตไว้ ความ
ที่จิตใคร่ดังว่าธงยอดเห็นปานนี้ นี้เรียกว่า มานะ.
คำว่า พึงกำหนดรู้มานะ ความว่า พึงกำหนดรู้มานะด้วย
ปริญญา ๓ คือ ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา.
ญาตปริญญาเป็นไฉน นรชนย่อมรู้จักมานะ คือ ย่อมรู้ย่อมเห็นว่า
นี้เป็นมานะอย่างหนึ่ง ได้แก่ความฟูขึ้นแห่งจิต นี้เป็นมานะ ๒ อย่าง
ได้แก่มานะในการยกตน มานะในการข่มผู้อื่น ฯ ลฯ. นี้เป็นมานะ
๑๐ อย่าง ได้แก่บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมานะให้เกิดเพราะชาติบ้าง
เพราะโคตรบ้าง ฯลฯ เพราะวัตถุอื่น ๆ บ้าง นี้ชื่อว่า ญาตปริญญา.
ตีรณปริญญา เป็นไฉน นรชนรู้อย่างนี้แล้วย่อมพิจารณามานะ
โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ ฯลฯ โดยอุบายเป็นเครื่อง
สลัดทุกข์ นี้ชื่อว่า ตีรณปริญญา.
ปหานปริญญาเป็นไฉน นรชนพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมละ
บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มีซึ่งมานะ นี้ชื่อว่า ปหานปริญญา.
คำว่า ฟังกำหนดรู้มานะ คือ พึงกำหนดรู้มานะด้วยปริญญา ๓ นี้
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงกำหนดรู้มานะ.

478
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 479 (เล่ม 66)

[๘๓๑] ความประพฤติผลุนผลัน ในคำว่า พึงประพฤติเว้นจาก
ความผลุนผลัน เป็นไฉน ความประพฤติด้วยราคะแห่งคนผู้กำหนัด.
ความประพฤติด้วยโทสะแห่งคนผู้ขัดเคือง ความประพฤติด้วยโมหะแห่ง
คนผู้หลง ความประพฤติด้วยมานะแห่งคนที่มานะผูกพัน ความประพฤติ
ด้วยทิฏฐิแห่งคนผู้ถือมั่น ความประพฤติด้วยอุทธัจจะแห่งคนผู้ถึงความ
ฟุ้งซ่าน ความประพฤติด้วยวิจิกิจฉาแห่งคนผู้ถึงความไม่ตกลง ความ
ประพฤติด้วยอนุสัยแห่งคนผู้ถึงโดยเรี่ยวแรง ชื่อว่าความประพฤติผลุน-
ผลัน (แต่ละอย่าง) นี้ชื่อว่า ความประพฤติผลุนผลัน.
คำว่า พึงประพฤติเว้นจากความผลุนผลัน ความว่า นรชนพึงเป็น
ผู้งด เว้น เว้นเฉพาะ ออก สลัดออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องด้วยความ
ประพฤติผลุนผลัน พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ พึงประพฤติ
เที่ยวไป ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถเป็นไปรักษา บำรุง เยียวยา เพราะเหตุนั้น
จึงชื่อว่า พึงประพฤติเว้นจากความผลุนผลัน เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
นรชนพึงออกจากความพูดเท็จ ไม่พึงทำความเสน่หา
ในรูป พึงกำหนดรู้มานะ และพึงประพฤติเว้นจากความ
ผลุนผลัน.
[๘๓๒] ไม่พึงยินดีสังขารเก่า ไม่พึงทำความชอบใจในสังขาร
ใหม่ เมื่อสังขารเสื่อมไป ก็ไม่พึงเศร้าโศก ไม่พึงเป็น
ผู้อาศัยกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง.

479
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 480 (เล่ม 66)

[๘๓๓] คำว่า ไม่พึงยินดีสังขารเก่า ความว่า รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ล่วงแล้ว เรียกว่า สังขารเก่า บุคคลไม่ควร
ยินดี ไม่ควรบ่นถึง ไม่ควรติดใจ ซึ่งสังขารทั้งหลายที่ล่วงแล้วด้วยสามารถ
แห่งตัณหา ด้วยสามารถแห่งทิฏฐิ พึงละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้
ถึงความไม่มี ซึ่งความชอบใจ ความบ่นถึง ความติดใจ ความถือ
ความยึดถือ ความถือมั่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่พึงยินดีสังขารเก่า.
[๘๓๔] คำว่า ไม่พึงทำความชอบใจสังขารใหม่ ความว่า รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นปัจจุบัน เรียกว่า สังขารใหม่
ไม่ควรทำความชอบใจ ความพอใจ ความรัก ความกำหนัด ในสังขาร
ทั้งหลายที่เป็นปัจจุบัน ด้วยสามารถแห่งตัณหา ด้วยสามารถแห่งทิฏฐิ คือ
ไม่ให้เกิดพร้อม ไม่ให้บังเกิด ไม่ให้บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ไม่พึงทำความชอบใจในสังขารใหม่.
[๘๓๕] คำว่า เมื่อสังขารเสื่อมไป ไม่พึงเศร้าโศก ความว่า
เมื่อสังขารเสื่อมไป เสียไป ละไป แปรไป หายไป อันตรธานไป
ไม่พึงเศร้าโศก ไม่พึงลำบากใจ ไม่พึงถือมั่น ไม่พึงร่ำไร ไม่พึงทุบอก
คร่ำครวญ ไม่พึงถึงความหลงใหล คือ เมื่อจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา
กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ
สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
เสื่อมไป เสียไป ละไป แปรไป หายไป อันตรธานไป ไม่พึงเศร้าโศก
ไม่พึงลำบากใจ ไม่พึงถือมั่น ไม่พึงร่ำไร ไม่พึงทุบอกคร่ำครวญ ไม่พึง
ถึงความหลงใหล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เมื่อสังขารเสื่อมไป ไม่พึง
เศร้าโศก.

480
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 481 (เล่ม 66)

ว่าด้วยกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง
[๘๓๖] ตัณหา เรียกว่า กิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง ในคำว่า ไม่พึง
เป็นผู้อาศัยกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง ได้แก่ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา
โลภะ อกุศลมูล เหตุไรตัณหาจึงเรียกว่ากิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง บุคคลย่อม
เกี่ยวข้อง เกาะเกี่ยว ถือ ยึดมั่น ถือมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ คติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร วัฏฏะ ด้วยตัณหาใด เหตุนั้น
ตัณหานั้นจึงเรียกว่า กิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง. คำว่า ไม่พึงเป็นผู้อาศัยกิเลส
เครื่องเกี่ยวข้อง ความว่า บุคคลไม่พึงเป็นผู้อาศัยตัณหา พึงละ บรรเทา
ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มีซึ่งตัณหา เป็นผู้งด เว้น เว้นเฉพาะ ออก
สลัดออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องตัณหา พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลส
อยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่พึงเป็นผู้อาศัยกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง เพราะ-
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ไม่พึงยินดีสังขารเก่า ไม่พึงทำความชอบใจในสังขาร
ใหม่ เมื่อสังขารเสื่อมไป ไม่พึงเศร้าโศก ไม่พึงเป็นผู้
อาศัยกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง.
[๘๓๗] เราย่อมกล่าวความกำหนัดว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่ กล่าว
ความว่องไว (อาชวะ) ว่า เป็นความปรารถนา กล่าว
อารมณ์ว่า เป็นความหวั่นไหว เปือกตมคือกามเป็นสภาพ
ล่วงได้โดยยาก.

481
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 482 (เล่ม 66)

ว่าด้วยเรียกตัณหาว่าเป็นห้วงน้ำใหญ่
[๘๓๘] ตัณหา เรียกว่า ความกำหนัด ในคำว่า เราย่อมกล่าว
ความกำหนัดว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่ ได้แก่ราคะ สารคะ ฯลฯ อภิชฌา
โลภะ อกุศลมูล ตัณหา เรียกว่าห้วงน้ำใหญ่ ได้แก่ราคะ สาราคะ ฯลฯ
อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล. คำว่า เราย่อมกล่าวความกำหนัดว่า เป็น
ห้วงน้ำใหญ่ ความว่า เราย่อมกล่าว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศความกำหนัดว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราย่อมกล่าวความกำหนัดว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่.
[๘๓๙] ตัณหา เรียกว่า ความว่องไว ในคำว่า กล่าวความ
ว่องไวว่า เป็นความปรารถนา ได้แก่ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ
อกุศลมูล ตัณหา เรียกว่าความปรารถนา ได้แก่ราคะ สาราคะ ฯลฯ
อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล. คำว่า กล่าวความว่องไวว่า เป็นความปรารถนา
ความว่า เราย่อมกล่าว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก
ทำให้ตื้น ประกาศความว่องไวว่า เป็นความปรารถนา เพราะฉะนั้น จึงชื่อ
ว่า กล่าวความว่องไวว่า เป็นความปรารถนา.
[๘๔๐] ตัณหา เรียกว่า อารมณ์ ในคำว่า กล่าวอารมณ์ว่า เป็น
ความกำหนด ได้แก่ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
ตัณหา เรียกว่าความกำหนด ได้แก่ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ
อกุศลมูล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กล่าวอารมณ์ว่า เป็นความกำหนด.
ว่าด้วยเปรียบกามเหมือนเปือกตม
[๘๔๑] คำว่า เปือกตมคือกามเป็นสภาพล่วงได้โดยยาก ความ

482
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 483 (เล่ม 66)

ว่า เปือกตมคือกาม หล่มคือกาม กิเลสคือกาม โคลนคือกาม ความ
กังวลคือกาม เป็นสภาพล่วงได้โดยยาก ก้าวล่วงได้โดยยาก ข้ามได้ยาก
ข้ามพ้นได้ยาก ก้าวพ้นยาก ล่วงเลยได้ยาก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เปือก
ตมคือกามเป็นสภาพล่วงได้โดยยาก เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ตรัสว่า
เราย่อมกล่าวความกำหนัดว่า เป็นห้วงน้ำใหญ่ กล่าว
ความว่องไวว่า เป็นความปรารถนา กล่าวอารมณ์ว่า
เป็นความกำหนด เปือกตมคือกามเป็นสภาพล่วงได้โดย
ยาก.
[๘๔๒] ผู้เป็นมุนีไม่ก้าวล่วงจากสัจจะ เป็นพราหมณ์ตั้งอยู่
บนบก ผู้นั้นสลัดสิ่งทั้งปวง ผู้นั้นแลเรากล่าวว่า เป็นผู้
สงบ.
[๘๘๓] คำว่า ผู้เป็นมุนีไม่ก้าวล่วงจากสัจจะ ความว่า ไม่ก้าว
ล่วงจากสัจวาจา ไม่ก้าวล่วงจากสัมมาทิฏฐิ ไม่ก้าวล่วงจากอริยมรรคมี
องค์ ๘. คำว่า มุนี ความว่า ญาณเรียกว่าโมนะ๑ ได้แก่ปัญญา ความรู้
ทั่ว ๆ ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเพียงดังข่าย บุคคลนั้น
ชื่อว่ามุนี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้เป็นมุนีไม่ก้าวล่วงจากสัจจะ.
ว่าด้วยอมตนิพพานเรียกว่าบก
[๘๔๔] อมตนิพพาน เรียกว่า บก ในคำว่า เป็นพราหมณ์ตั้ง
อยู่บนบก ได้แก่ ความสงบสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
๑. ดูข้อ ๖๙๘.

483