No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 464 (เล่ม 66)

คือ แทงเข้าไป ถูกต้อง ติด เสียบแน่น คาอยู่แล้ว ย่อมแล่น แล่น
พล่าน วนเวียน ท่องเที่ยวไปแม้อย่างนี้.
สัตว์อันลูกศรความโศกปักติดแล้ว คือแทงเข้าไป ถูกต้อง ติด
เสียบแน่น คาอยู่แล้ว ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ รำพัน ทุบอกคร่ำครวญ
ถึงความหลงใหล สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์
เรื่องเคยมีมาแล้วในพระนครสาวัตถีนี้นี่แหละ หญิงคนหนึ่งมารดาตายไป
หญิงนั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่านเพราะมารดาตาย จากถนนนี้เข้าไปยังถนน
โน้น จากตรอกนี้เข้าไปยังตรอกโน้น พูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายเห็น
มารดาฉันบ้างไหม ท่านทั้งหลายเห็นมารดาฉันบ้างไหม ดูก่อนพราหมณ์
เรื่องเคยมีมาแล้วในพระนครสาวัตถีนี้นี่แหละ หญิงคนหนึ่งบิดาตายไป
พี่ชายน้องชายตายไป... พี่หญิงน้องหญิงตายไป... บุตรตายไป... ธิดา
ตายไป... สามีตายไป หญิงนั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่านเพราะสามีตาย จาก
ถนนนี้เข้าไปยังถนนโน้น จากตรอกนี้เข้าไปยังตรอกโน้น พูดอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งหลายเห็นสามีฉันบ้างไหม ท่านทั้งหลายเห็นสามีฉันบ้างไหม ดู
ก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้วในพระนครสาวัตถีนี้นี่แหละ บุรุษ
คนหนึ่งมารดาตายไป บุรุษนั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่านเพราะมารดาตาย
จากถนนนี้เข้าไปยังถนนโน้น จากตรอกนี้ เข้าไปยังตรอกโน้น พูด
อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายเห็นมารดาฉันบ้างไหม ท่านทั้งหลายเห็นมารดาฉัน
บ้างไหม ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้วในพระนครสาวัตถีนี้นี่แหละ
บุรุษคนหนึ่งบิดาตายไป... พี่ชายน้องชายตายไป... พี่หญิงน้องหญิงตาย
ไป... บุตรตายไป... ธิดาตายไป... ภรรยาตายไป บุรุษนั้นเป็นบ้า
จิตฟุ้งซ่านเพราะภรรยาตาย จากถนนนี้เข้าไปยังถนนโน้น จากตรอกนี้

464
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 465 (เล่ม 66)

เข้าไปยังตรอกโน้น พูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายเห็นภรรยาฉันบ้างไหม
ท่านทั้งหลายเห็นภรรยาฉันบ้างไหม ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว
ในพระนครสาวัตถีนี้นี่แหละ หญิงคนหนึ่งไปสู่สกุลแห่งญาติ พวกญาติ
ของหญิงนั้น ปรารถนาจะพรากสามีเสีย แล้วยกหญิงนั้นให้แก่บุรุษอื่น
หญิงนั้นไม่พอใจบุรุษอื่นนั้น ครั้งนั้นแหละ หญิงนั้นได้บอกกะสามีว่า
ข้าแต่ท่านลูกเจ้า ญาติเหล่านี้ประสงค์จะพรากท่านแล้วยกฉันให้บุรุษอื่น
เราทั้งสองจักพากันตาย ในทันใดนั้น บุรุษก็ฟันหญิงนั้นขาด ๒ ท่อน
แล้วก็ฆ่าตนเองพร้อมด้วยหวังว่า เราทั้งสองจักมี (พบกัน ) ในโลกหน้า
สัตว์อันลูกศรความโศกปักติดแล้วคือแทงเข้าไป ถูกต้อง ติด เสียบแน่น
คาอยู่แล้ว ย่อมแล่น แล่นพล่าน วนเวียน ท่องเที่ยวไปอย่างนี้.
สัตว์อันลูกศรความสงสัยปักติดแล้ว คือแทงเข้าไป ถูกต้อง ติด
เสียบแน่น คาอยู่แล้ว เป็นผู้แล่นไปสู่ความสงสัยเคลือบแคลงเป็นสองทาง
ว่า ในอดีตกาล เราได้เป็นแล้วหรือหนอ๑ หรือเราไม่ได้เป็นแล้ว เรา
ได้เป็นอะไรแล้วหรือหนอ เราได้เป็นแล้วอย่างไรหนอ เราได้เป็นอะไร
มาแล้วจึงเป็นอะไรต่อมาหนอ ในอนาคตกาล เราจักเป็นหรือหนอ หรือ
เราจักไม่เป็น เราจักเป็นอะไรหนอ เราจักเป็นอย่างไรหนอ เราจักเป็น
อะไรแล้ว จึงจักเป็นอะไรต่อไปอีกหนอ ในปัจจุบันกาลบัดนี้ ก็มีความ
สงสัยอยู่ ณ ภายในว่า เราย่อมเป็นหรือหนอ หรือเราย่อมไม่เป็น เรา
ย่อมเป็นอะไรหรือหนอ เราย่อมเป็นอย่างไรหนอ เราเป็นสัตว์มาแต่ไหน
หนอ เราจักเป็นสัตว์ไปเกิดที่ไหนหนอ สัตว์อันลูกศรความสงสัยปักติด
๑. ความสงสัย ๑๖ อย่าง คือ อดีตกาล ๕ อนาคตกาล ๕ ปัจจุบันกาล ๖ เรียกว่าโสฬสกังขา.

465
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 466 (เล่ม 66)

แล้ว คือแทงเข้าไป ถูกต้อง ติด เสียบแน่น คาอยู่แล้ว ย่อมแล่น
แล่นพล่าน วนเวียน ท่องเที่ยวไปอย่างนี้ สัตว์นั้นย่อมปรุงแต่งให้ลูกศร
เหล่านั้นเกิด ก็แล่นไปสู่ทิศตะวันออก แล่นไปสู่ทิศตะวันตก แล่นไปสู่
ทิศเหนือ แล่นไปสู่ทิศใต้ ด้วยสามารถแห่งการปรุงแต่งให้ลูกศรเกิด สัตว์
เป็นผู้ละอภิสังขารคือลูกศรเหล่านั้นไม่ได้แล้ว เพราะเป็นผู้ละอภิสังขาร
คือลูกศรไม่ได้ จึงแล่นไปในคติ แล่นไปในนรก แล่นไปในดิรัจฉาน-
กำเนิด แล่นไปในเปรตวิสัย แล่นไปในมนุษยโลก แล่นไปในเทวโลก
ย่อมแล่น แล่นพล่าน วนเวียน ท่องเที่ยวไปจากคตินี้สู่คติโน้น จาก
อุปบัตินี้สู่อุปบัติโน้น จากปฏิสนธินี้สู่ปฏิสนธิโน้น จากภพนี้สู่ภพโน้น
จากสงสารนี้สู่สงสารโน้น จากวัฏฏะนี้สู่วัฏฏะโน้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
สัตว์อันลูกศรใดปักติดแล้ว ย่อมแล่นพล่านไป สู่ทิศทั้งปวง.
[๘๑๒] คำว่า เพราะถอนลูกศรนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่แล่นไป
ย่อมไม่ล่มจม ความว่า สัตว์ถอน ถอด ชัก ดึง ฉุด กระชากออก
ละเว้น บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งลูกศรราคะ ลูกศร
โทสะ ลูกศรโมหะ ลูกศรมานะ ลูกศรทิฏฐิ ลูกศรความโศก ลูกศร
ความสงสัยนั้นได้แล้ว ย่อมไม่แล่นไปสู่ทิศตะวันออก ไม่แล่นไปสู่ทิศ
ตะวันตก ไม่แล่นไปสู่ทิศเหนือ ไม่แล่นไปสู่ทิศใต้ สัตว์เป็นผู้ละ
อภิสังขารคือถูกศรเหล่านั้นได้แล้วเพราะเป็นผู้ละอภิสังขารคือลูกศรได้แล้ว
จึงไม่แล่นไปในคติ ไม่แล่นไปในนรก ไม่แล่นไปในดิรัจฉานกำเนิด
ไม่แล่นไปในเปรตวิสัย ไม่แล่นไปในมนุษยโลก ไม่แล่นไปในเทวโลก
ไม่แล่นไป แล่นพล่าน วนเวียน ท่องเที่ยวไป จากคตินี้สู่คติโน้น จาก
อุปบัตินี้สู่อุปบัติโน้น จากปฏิสนธินี้สู่ปฏิสนธิโน้น จากภพนี้สู่ภพโน้น

466
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 467 (เล่ม 66)

จากสงสารนี้สู่สงสารโน้น จากวัฏฏะนี้สู่วัฏฏะโน้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
เพราะถอนลูกศรนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่แล่นไป. คำว่า ย่อมไม่ล่มจม
ความว่า ไม่ล่มจม ไม่จมพร้อม ไม่ล่มลง ไม่จมสง ไม่ตกลงไป
ในกามโอฆะ ในภวโอฆะ ในทิฏฐิโอฆะ ในอวิชชาโอฆะ เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เพราะถอนลูกศรนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่ล่มจม
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
สัตว์อันลูกศรใดปักติดแล้ว ย่อมแล่นพล่านไปสู่ทิศ
ทั้งปวง เพราะถอนลูกศรนั้นเสียแล้ว ย่อมไม่แล่นไป
ย่อมไม่ล่มจม.
[๘๑๓] ชนทั้งหลายย่อมกล่าวถึงการศึกษา ในเพราะกามคุณ
เป็นที่พัวพันในโลก บุคคลพึงเป็นผู้ไม่ขวนขวายในการ
ศึกษาหรือในกามคุณเหล่านั้น รู้ชัดกามทั้งหลายโดย
ประการทั้งปวงแล้ว พึงศึกษาความดับของตน.
ว่าด้วยศึกษาเพื่อได้กามคุณ
[๘๑๔] ชื่อว่า การศึกษา ในคำว่า ชนทั้งหลายกล่าวถึงการ
ศึกษา ในเพราะกามคุณเป็นที่พัวพันในโลก ได้แก่ การศึกษาเรื่องช้าง
การศึกษาเรื่องม้า การศึกษาเรื่องรถ การศึกษาเรื่องธนู ความเป็นหมอ
เสกเป่า ความเป็นหมอทางผ่าตัด ความเป็นหมอทางยา ความเป็นหมอทาง
ภูตผี ความเป็นหมอทางกุมาร. คำว่า ย่อมกล่าวถึง ความว่า กล่าวถึง
พูดถึง เล่าถึง แสดงถึง แถลงถึง อีกอย่างหนึ่ง ย่อมกล่าวถึง คือย่อม

467
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 468 (เล่ม 66)

เรียน เล่าเรียน ทรงจำ เข้าไปทรงจำ เข้าไปกำหนด เพื่อได้เฉพาะซึ่ง
กามคุณเป็นที่พัวพัน. เบญจกามคุณ คือ๑รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา
พอใจ ชอบใจ รักใคร่ อันประกอบด้วยกามเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
เรียกว่ากามคุณเป็นที่พัวพัน. เหตุไร เบญจกามคุณ จึงเรียกว่ากามคุณ
เป็นที่พัวพัน. เทวดาและมนุษย์ ย่อมปรารถนา ยินดี รักใคร่ ชอบใจ
กามคุณโดยมาก เหตุนั้น เบญจกามคุณ จึงเรียกว่ากามคุณเป็นที่พัวพัน.
คำว่า ในโลก คือในมนุษยโลก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนทั้งหลาย
ย่อมกล่าวถึงการศึกษาในเพราะกามคุณเป็นที่พัวพันในโลก.
[๘๑๕] บุคคลพึงเป็นผู้ไม่ขวนขวายในการศึกษา หรือในกาม-
คุณเหล่านั้น ความว่า บุคคลพึงเป็นผู้ไม่ขวนขวายในการศึกษา หรือใน
เบญจกามคุณเหล่านั้น คือพึงเป็นผู้ไม่น้อม ไม่โน้ม ไม่โอนเอน ไม่
น้อมใจไปในการศึกษาหรือในเบญจกามคุณเหล่านั้น ไม่พึงเป็นผู้มีการ
ศึกษาหรือเบญจกามคุณเหล่านั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคล
พึงเป็นผู้ไม่ขวนขวายในการศึกษาหรือในเบญจกามคุณเหล่านั้น.
[๘๑๖] คำว่า รู้ชัด ในคำว่า รู้ชัดกามทั้งหลายโดยประการ
ทั้งปวง ความว่า แทงตลอดแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขาร
ทั้งปวงเป็นทุกข์ ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา. คำว่า โดยประการทั้งปวง คือทั้งปวง
โดยกำหนดทั้งปวง ทั้งปวงโดยประการทั้งปวง ไม่เหลือ ไม่มีส่วนเหลือ.
คำว่า โดยประการทั้งปวง เป็นเครื่องกล่าวรวมหมดโดย อุทานว่า กาม
กามมี ๒ อย่าง คือวัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑ ฯลฯ นี้เรียกว่า
๑. บาลีคงตกหายไป จึงมีแต่รูป น่าจะมีเสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะด้วย.

468
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 469 (เล่ม 66)

วัตถุกาม ฯลฯ นี้เรียกว่ากิเลสกาม เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า รู้ชัดกาม
ทั้งหลายโดยประการทั้งปวง.
[๘๑๗] ชื่อว่า ศึกษา ในคำว่า พึงศึกษาความดับของตน ได้แก่
สิกขา ๓ อย่าง คืออธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ฯลฯ
นี้ชื่อว่า อธิปัญญาสิกขา. คำว่า ความดับของตน ความว่า พึงศึกษา
แม้อธิศีล ศึกษาแม้อธิจิต ศึกษาแม้อธิปัญญา เพื่อความดับ เพื่อความสงบ
เพื่อความเข้าไปสงบ เพื่อความเข้าไปสงบวิเศษ เพื่อความดับ เพื่อความ
สละคืน เพื่อความระงับ ซึ่งราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ อกุสลาภิสังขาร
ทั้งปวงของตน เมื่อนึกถึงสิกขา ๓ เหล่านี้ก็พึงศึกษา เมื่อรู้ก็พึงศึกษา ฯลฯ
เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรม ที่ควรทำให้แจ้งก็พึงศึกษา ประพฤติโดยเอื้อเฟื้อ
ประพฤติโดยเอื้อเฟื้อด้วยดี สมาทานประพฤติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
พึงศึกษาความดับของตน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ชนทั้งหลายกล่าวถึงการศึกษาในเพราะกามคุณ เป็น
ที่พัวพันในโลก บุคคลพึงเป็นผู้ไม่ขวนขวายในการศึกษา
หรือในกามคุณเหล่านั้น รู้ชัดกามทั้งหลายโดยประการ
ทั้งปวงแล้ว พึงศึกษาความดับของตน.
[๘๑๘] บุคคลพึงเป็นผู้มีสัจจะ ไม่คะนอง ไม่มีมายา ปราศ-
จากตำส่อเสียด มุนีไม่พึงมีความโกรธ พึงข้ามพ้นความ
โลภอันลามก และความหวงแหน.
[๘๑๙] คำว่า พึงเป็นผู้มีสัจจะ ในคำว่า บุคคลพึงเป็นผู้มีสัจจะ
ไม่คะนอง ความว่า พึงเป็นผู้ประกอบด้วยสัจวาจา ประกอบด้วย

469
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 470 (เล่ม 66)

สัมมาทิฏฐิประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พึงเป็น
ผู้มีสัจจะ. คำว่า ไม่คะนอง ความว่า ความคะนองมี ๓ อย่าง คือความ
คะนองทางกาย ๑ ความคะนองทางวาจา ๑ ความคะนองทางจิต ๑ ฯลฯ
นี้ชื่อว่าความคะนองทางจิต ความคะนอง ๓ อย่างนี้ อันบุคคลใดละ
ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
บุคคลนั้น เรียกว่าผู้ไม่คะนอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลพึงเป็นผู้มี
สัจจะ ไม่คะนอง.
ว่าด้วยความเป็นผู้มีมายา
[๘๒๐] ความประพฤติลวงเรียกว่า มายา ในคำว่า ไม่มีมายา
ปราศจากคำส่อเสียด ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตด้วย
กาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจ ย่อมตั้งความปรารถนา
ลามกเพราะเหตุจะปกปิดทุจริตนั้น ย่อมปรารถนาว่า ใคร ๆ อย่ารู้จักเรา
(ว่าเราประพฤติชั่ว) ย่อมดำริว่า ใคร ๆ อย่ารู้จักเรา คิดว่า ใคร ๆ อย่า
รู้จักเรา ดังนี้ แล้วก็กล่าววาจา (ว่าตนไม่มีความประพฤติชั่ว) คิดว่า
ใครๆ อย่ารู้จักเรา ดังนี้แล้วก็บากบั่นด้วยกาย (เพื่อจะปกปิดความประ-
พฤติชั่วของตน).
ความลวง ความเป็นผู้ลวง กิริยาเป็นเครื่องปกปิด กิริยาที่ซ่อน
ความจริง กิริยาบังความผิด กิริยาที่ซ่อนความผิด กิริยาที่พรางความชั่ว
กิริยาที่ซ่อนความชั่ว ความทำให้ลับ ความไม่เปิดเผย กิริยาที่คลุมความผิด
กิริยาที่ชั่ว นี้เรียกว่ามายา. มายานี้ อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ
ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้น

470
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 471 (เล่ม 66)

เรียกว่า ผู้ไม่มีมายา. ชื่อว่า คำส่อเสียด ในคำว่า ปราศจากคำส่อเสียด
ความว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด ฯลฯ บุคคล
มุ่งให้เขาแตกกันย่อมนำคำส่อเสียดเข้าไปอย่างนี้ คำส่อเสียดนี้ อันบุคคล
ใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว
ด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้น เรียกว่าผู้ปราศจากคำส่อเสียด คือมีคำ
ส่อเสียดปราศจากไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีมายา ปราศจาก
คำส่อเสียด.
[๘๒๑] ข้อว่า มุนีไม่พึงมีความโกรธ พึงข้ามพ้นความโลภ
อันลามกและความหวงแหน ความว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่
มีความโกรธ ก็แต่ว่าความโกรธควรกล่าวก่อน ความโกรธย่อมเกิดด้วย
เหตุ ๑๐ อย่าง ฯลฯ ความโกรธนั้น อันมุนีใดละ ตัดขาด สงบ
ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ มุนีนั้น
เรียกว่าผู้ไม่มีความโกรธ เพราะมุนีนั้นละความโกรธ กำหนดรู้วัตถุแห่ง
ความโกรธ ตัดเสียซึ่งเหตุแห่งความโกรธแล้ว จึงชื่อว่าผู้ไม่มีความโกรธ
ชื่อว่าความโลภ คือความโลภ กิริยาที่โลภ ความเป็นผู้โลภ ฯลฯ
อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ความตระหนี่ ๕ อย่าง เรียกว่าความหวงแหน
ได้แก่ความตระหนี่อาวาส ฯลฯ ความถือเอาไว้ เรียกว่าความตระหนี่.
คำว่า มุนี ความว่า ญาณเรียกว่า โมนะ ได้แก่ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ
ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเพียงดังว่าข่าย บุคคลนั้นชื่อว่ามุนี.
คำว่า มุนีไม่พึงมีความโกรธ พึงข้ามพ้นความโลภอันลามกและความ
หวงแหน ความว่า มุนีได้ข้าม ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ก้าวล่วง ล่วงเลย
เป็นไปล่วงแล้ว ซึ่งความโลภอันลามกและความหวงแหน เพราะฉะนั้น

471
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 472 (เล่ม 66)

จึงชื่อว่า มุนีมุนีไม่พึงมีความโกรธ พึงข้ามพ้นความโลภอันลามกหวงแหน
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลพึงเป็นผู้มีสัจจะ ไม่คะนอง ไม่มีมายา
ปราศจากคำส่อเสียด มุนีไม่พึงมีความโกรธ พึงข้ามพ้น
ความโลภอันลามก และความหวงแหน.
[๘๒๒] นรชนพึงปราบความหลับ ความเกียจคร้าน ความ
ย่อท้อ ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท ไม่พึงตั้งอยู่ในความ
ดูหมิ่น พึงเป็นผู้มีใจน้อม ปรนนิพพาน.
ว่าด้วยความเกียจคร้าน
[๘๒๓] ชื่อว่า ความหลับ ในคำว่า พึงปราบความหลับ ความ
เกียจคร้าน ความย่อท้อ คือความที่กายเป็นไข้ ความที่กายไม่ควรแก่การ
งาน อาการที่หยุด อาการที่พัก อาการที่พักผ่อน ณ ภายใน ความง่วง
ความหลับ กิริยาที่โงกง่วง กิริยาที่หลับ ความเป็นผู้หลับ. ชื่อว่าความ
เกียจคร้าน คือความคร้าน กิริยาที่คร้าน ความเป็นผู้มีใจคร้าน ความ
เกียจคร้าน กิริยาที่เกียจคร้าน ความเป็นผู้เกียจคร้าน. ชื่อว่าความย่อท้อ
คือความที่จิตเป็นไข้ ความที่จิตไม่ควรแก่การงาน กิริยาที่หดหู่ กิริยา
ย่นย่อ ความย่อท้อ กิริยาที่ย่อท้อ ความที่จิตย่อท้อ ความหดหู่ กิริยา
ที่หดหู่ ความที่จิตหดหู่. คำว่า นรชนพึงปราบความหลับ ความเกียจ-
คร้าน ความย่อท้อ ความว่า นรชนพึงปราบปราม ครอบงำ กดขี่

472
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ – หน้าที่ 473 (เล่ม 66)

กำจัด ซึ่งความหลับ ความเกียจคร้าน ความย่อท้อ เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า นรชนพึงปราบความหลับ ความเกียจคร้าน ความย่อท้อ.
[๘๒๔] ความประมาท ในคำว่า ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท
ความกล่าวถึง ความปล่อย หรือความเพิ่มเติมซึ่งความปล่อยซึ่งจิตใน
เบญจกามคุณ เพราะกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต หรือการไม่ทำ
ความเอื้อเฟื้อ การไม่ทำความติดต่อ การทำความหยุดเนือง ๆ ความ
ประพฤติย่อหย่อน ความปลงฉันทะ ความทอดธุระ ความไม่ซ่องเสพ
ความไม่เจริญ ความไม่ทำให้มาก ความไม่ตั้งใจ ความไม่หมั่นประกอบ
ในการเจริญธรรมทั้งหลายฝ่ายกุศล ชื่อว่าความประมาท. ความประมาท
กิริยาที่ประมาท ความเป็นผู้ประมาท เห็นปานนี้ เรียกว่าความประมาท.
คำว่า ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท ความว่า ไม่พึงร่วม ไม่พึงอยู่อาศัย
ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยความประมาท คือ พึงละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้
ถึงความไม่มีซึ่งความประมาท พึงเป็นผู้งด งดเว้น เว้นขาด ออก สลัด
ออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องความประมาท พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดง
กิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่พึงอยู่ด้วยความประมาท.
[๘๒๕] ชื่อ ความดูหมิ่น ในคำว่า ไม่พึงตั้งอยู่ในความดูหมิ่น
มีอธิบายว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมดูหมิ่นผู้อื่นโดยชาติบ้าง โดย
โคตรบ้าง ฯลฯ โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ความถือตัว กิริยาที่
ถือตัว ความเป็นผู้ถือตัว ความกำเริบขึ้น ความฟูขึ้น ความถือตัวดังว่า
ธงชัย ความประคองจิตไว้ ความที่จิตใคร่เป็นดังว่าธงยอดเห็นปานนี้
เรียกว่า ความดูหมิ่น. คำว่า ไม่พึงตั้งอยู่ในความดูหมิ่น ความว่า ไม่พึง
ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ในความดูหมิ่น คือ พึงละ บรรเทา ทำให้สิ้นไป ให้ถึง

473