หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 31 (เล่ม 1)

สังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล พระภิกษุเถระทั้งหลายได้มีความปริวิตก
ดังนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ! พระผู้พระภาคเจ้าแลทรงสรรเสริญการปฏิสังขรณ์
ที่ชํารุดทรุดโทรม เอาเถิด ผู้มีอายุทั้งหลาย ! พวกเราจะทําการปฏิสังขรณ์ที่
ชํารุดทรุดโทรมตลอดเดือนแรก จักประชุมกันทําสังคายนาพระธรรมและพระ-
วินัยตลอดเดือนอันมีในท่ามกลาง* ดังนี้.
[พระเถระไปทูลขอหัตถกรรมจากพระเจ้าอชาติศัตรู]
ในวันที่ ๒ พระเถระเหล่านั้นได้ไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง.
พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จมาไหว้แล้ว รับสั่งถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ !
พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากันมาเพราะเหตุไร ดังนี้ แล้วจึงทรงรับสั่งย้อนถาม
ถึงกิจที่พระองค์เองควรทํา. พระเถระทั้งหลายได้ทูลบอกหัตถกรรมเพื่อประ-
โยชน์แก่การปฏิสังขรณ์มหาวิหารทั้ง ๑๘ ตําบล.
[พระราชาทรงอุปถัมภ์กิจสงฆ์ทุกอย่าง]
พระราชาทรงรับว่า ดีละ เจ้าข้า แล้วได้พระราชทานพวกมนุษย์
ผู้ทําหัตถกรรม. พระเถระทั้งหลายสั่งให้ปฏิสังขรณ์วิหารทั้งหมดเสร็จสิ้นเดือน
แรก แล้วได้ทูลให้พระราชาทรงทราบว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร !
การปฏิสังขรณ์วิหารเสร็จสิ้นแล้ว บัดนี้อาตมภาพทั้งหลาย จะทําการสังคายนา
พระธรรมและพระวินัย
ราชา. ดีละ เจ้าข้า ! ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงหมดความคิดระแวง
สงสัยกระทําเถิด อาณาจักรจงไว้เป็นภาระของข้าพเจ้า ธรรมจักรจงเป็นภาระ
ของพระคุณเจ้าทั้งหลาย ขอพระคุณเจ้าโปรดใช้ข้าพเจ้าเถิด เจ้าข้า ! จะให้
ข้าพเจ้าทําอะไร.
* วิ. จุลฺ. ๗ / ๓๘๒.

31
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 32 (เล่ม 1)

พระเถระ. ขอถวายพระพรมหาบพิตร ! ขอพระองค์โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างสถานที่นั่งประชุมสําหรับภิกษุทั้งหลายผู้ทําสังคายนา.
ราชา. จะให้ข้าพเจ้าสร้าง ณ ที่ไหน เจ้าข้า ?
เถระ. ควรสร้างที่ประตูถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภารบรรพตขอถวาย
พระพร.
[พระราชารับสั่งให้ประดับถ้ำดุจวิมานพรหม]
พระเจ้าอชาตศัตรูทรงรับสั่งว่า ได้ เจ้าข้า ! ดังนี้ แล้วรับสั่งให้สร้าง
มณฑปที่มีเครื่องประดับอันเป็นสาระซึ่งควรทัศนา เช่นกับสถานที่อันวิสสุกรรม
เทพบุตรนิรมิตไว้ มีฝาเสาและบันไดอันนายช่างจําแนกไว้ดี วิจิตรด้วยมาลา-
กรรมและลดากรรมนานาชนิด ราวกะว่าจะครอบงําเสียซึ่งสมบัติแห่งราชมณ-
เฑียรของพระมหากษัตริย์ ดุจประหนึ่งว่าจะเยาะเย้ยสิริแห่งเทพวิมาน ปาน
ประหนึ่งว่าเป็นสถานที่อาศัยอยู่แห่งสิริ ดุจท่าเป็นที่ประชุมชั้นเอกของเหล่าวิหค
คือนัยนาแห่งเทพดาและมนุษย์ และประดุจสถานที่รื่นรมย์ในโลกอันเขา
ประมวลจัดสรรไว้ ตกแต่งมณฑปนั้นให้เป็นเช่นกับวิมานพรหมมีเพดานงดงาม
รุ่งเรืองดุจสลัดอยู่ซึ่งพวงดอกกุสุมที่ห้อยย้อยนานาชนิด วิจิตรด้วยเครื่องบูชา
ดอกไม้ต่าง ๆ มีการงานอันควรทําที่พื้นทําสําเร็จเรียบร้อยดีแล้ว ประหนึ่งว่ามี
พื้นที่บุด้วยแก้วมณีอันวิจิตรด้วยรัตนะฉะนั้น ภายในมหามณฑปนั้นทรงรับสั่ง
ให้ปูเครื่องลาดอันเป็นกัปปิยะ ๕๐๐ ซึ่งคํานวณค่ามิได้ สําหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป
แล้วให้ปูเถรอาสน์พิงข้างด้านทิศทักษิณ ผินหน้าไปทางทิศอุดร ในท่ามกลาง
มณฑปให้ตั้งธรรมาสน์อันควรเป็นที่ประทับนั่ง ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ผินหน้าไปทางทิศบูรพาและทรงวางพัดวีชนีอันวิจิตรด้วยงาไว้บนธรรมาสน์นั่น

32
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 33 (เล่ม 1)

แล้วรับสั่งให้เผดียงแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ! กิจของข้าพเจ้าสําเร็จแล้ว
ดังนี้.
[พวกภิกษุเตือนพระอานนท์มิให้ประมาท]
พวกภิกษุได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ว่า อาวุโส ! การประชุมจะมีใน
วันพรุ่งนี้ แต่ท่านยังเป็นเสขะบุคคลอยู่ เพราะเหตุนั้น ท่านไม่ควรไปสู่
ที่ประชุม ขอท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ดังนี้.
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ดําริว่า การประชุมจะมีในวันพรุ่งนี้
ก็ข้อที่เรายังเป็นเสขะอยู่ จะพึงไปสู่ที่ประชุมนั้นไม่สมควรแก่เราแล แล้วได้
ยับยั้งอยู่ด้วยกายคตาสติตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว ในเวลาราตรีใกล้รุ่ง
ลงจากที่จงกรมแล้ว เข้าไปยังวิหาร คิดว่า จักพักนอน ได้เอนกายลง. เท้า
ทั้งสองพ้นจากพื้น แต่ศีรษะไม่ทันถึงหมอน ในระหว่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะ
ทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน. ความจริง ท่านพระอานนท์นี้ยับยั้งอยู่แล้วใน
ภายนอกด้วยการจงกรม เมื่อไม่สามารถจะยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่า
พระผู้มีพระเจ้าได้ตรัสคํานี้แก่เรามิใช่หรือว่า อานนท์ ! เธอเป็นผู้ได้ทําบุญ
ไว้แล้ว จงหมั่นประกอบความเพียรเถิด จักเป็นผู้หาอาสวะมิได้โดยฉับพลัน*
อันธรรมดาว่าโทษแห่งพระดํารัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มี เราปรารภ
ความเพียรมากเกินไป เพราะเหตุนั้น จิตของเราจึงเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน
เอาเถิด ! เราจะประกอบความเพียรให้สม่ําเสมอ ดังนี้ จึงลงจากที่จงกรม
ยืนล้างเท้าในที่ล้างเท้าแล้วเข้าไปสู่วิหารนั่งบนเตียง ดําริว่า จักพักผ่อนสัก
หน่อยหนึ่ง ได้เอนกายลงบนเตียง. เท้าทั้งสองพ้นจากพื้น ศีรษะยังไม่ถึงหมอน
ในระหว่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน. ความเป็น
* ที. มหา. ๑๐ / ๑๖๗.

33
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 34 (เล่ม 1)

พระอรหันต์ของพระเถระเว้นจากอิริยาบถ ๔. เพราะฉะนั้น เมื่อมีผู้ถามว่า
ในพระศาสนานี้ ภิกษุรูปไหน ไม่นอน ไม่นั่ง ไม่ยืน ไม่จงกรม ได้บรรลุ
พระอรหัต จะตอบว่า พระอานนทเถระ ก็ควร.
[พระอานนท์ดําดินไปเข้าประชุมสงฆ์]
ครั้งนั้นในวันที่ ๒ ภิกษุเถระทั้งหลายทําภัตกิจเสร็จ เก็บบาตรและ
จีวรแล้ว ไปประชุมกันที่ธรรมสภา. ส่วนพระอานนทเถระมีความประสงค์จะ
ให้ผู้อื่นรู้การบรรลุความเป็นพระอรหันต์ของตน มิได้ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายเมื่อจะนั่งบนอาสนะของตน ๆ ตามลําดับผู้แก่ ได้นั่งเว้นอาสนะ
ไว้สําหรับพระอานนท์เถระ. เมื่อภิกษุบางพวกในธรรมสภานั้นถามว่า นั่นอาสนะ
ใคร ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ของพระอานนท์ ภิกษุทั้งหลายถามว่าก็ท่าน
พระอานนท์ไปไหนเล่า ? ในสมัยนั้น พระเถระคิดว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะไป
เมื่อจะแสดงอานุภาพของตน ในลําดับนั้น จึงดําลงในแผ่นดินแล้วแสดงตน
บนอาสนะของตนนั้นเอง. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า มาทางอากาศแล้วนั่ง ก็มี.
[พรเถระเริ่มปรึกษาและสมมติตนเป็นผู้ปุจฉาวิสัชนา]
เมื่อพระอานนท์นั้นนั่งแล้วอย่างนั้น พระมหากัสสปเถระ จึงปรึกษา
ภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ! พวกเราจะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรม
หรือพระวินัย ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า ข้าแต่ท่านพระมหากัสสป ! ชื่อว่าพระวินัย
เป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังตั้งอยู่ พระพุทธศาสนาจัดว่ายัง
ดํารงอยู่ เพราะฉะนั้น พวกเราจะสังคายนาพระวินัยก่อน .
พระมหากัสสป. จะให้ใครเป็นธุระ ?

34
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 35 (เล่ม 1)

ภิกษุทั้งหลาย. ให้ท่านพระอุบาลี.
ถามว่า พระอานนท์ไม่สามารถหรือ ?
แก้ว่า ไม่สามารถหามิได้. ก็อีกอย่างหนึ่งแล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยังทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง ทรงอาศัยวินัยปริยัติ จึงตั้งท่านพระอุบาลีไว้ใน
เอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย ! บรรดาภิกษุทั้งหลาย สาวกของเราผู้ทรงวินัย
อุบาลีเป็นเลิศดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า พวกเราจะถาม
พระอุบาลีเถระสังคายนาพระวินัย ดังนี้ ลําดับนั้นพระเถระก็ได้สมมติตนเอง
เพื่อต้องการถามพระวินัย. ฝ่ายพระอุบาลีเถระก็ได้สมมติตนเพื่อประโยชน์
แก่การวิสัชนา.
[คําสมมติตนปุจฉาวิสัชนาพระวินัย]
ในการสมมตินั้น มีพระบาลีดังต่อไปนี้ : -
ครั้นนั้นแล ท่านพระมหากัสสป เผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้
ข้าพเจ้าพึงถามพระวินัยกะพระอุบาลี.๑
ฝ่ายพระอุบาลีก็เผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟัง
ข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าผู้อันท่านพระมหา-
กัสสปถามแล้วพึงวิสัชนา ๒ พระวินัย.
[ปุจฉาและวิสัชนาพระวินัย]
ท่านพระอุบาลีครั้นสมมติตนอย่างนั้นแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะห่มจีวร
เฉวียงบ่า ไหว้ภิกษุเถระทั้งหลายแล้วนั่งบนธรรมาสน์จับพัดวีชนี อันวิจิตร
๑-๒ วิ. จุลฺ. ๗ / ๓๘๐.

35
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 36 (เล่ม 1)

ด้วยงา. คราวนั้นพระมหากัสสปนั่งบนเถรอาสน์ แล้วถามพระวินัยกะท่าน
พระอุบาลีว่า ท่านอุบาลี ! ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ณ
ที่ไหน ?
พระอุบาลี. ที่เมืองเวสาลี ขอรับ.
พระมหากัสสป. ทรงปรารภใคร ?
พระอุบาลี. ทรงปรารภพระสุทินกลันทบุตร.
พระมหากัสสป. ทรงปรารภในเพราะเรื่องอะไร ?
พระอุบาลี. ในเพราะเรื่องเมถุนธรรม.
ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสป ถามท่านพระอุบาลีถึงวัตถุบ้าง
นิทานบ้าง บุคคลบ้าง บัญญัติบ้าง อนุบัญญัติบ้าง อาบัติบ้าง อนาบัติบ้าง
แห่งปฐมปาราชิก.* เหมือนอย่างว่าท่านพระมหากัสสป ถามถึงวัตถุบ้าง ฯลฯ
ถามถึงอนาบัติบ้าง แห่งปฐมปาราชิกฉันใด ก็ถามถึงวัตถุบ้าง ฯลฯ อนาบัติ
บ้าง แห่งทุติยปาราชิกฉันนั้น. . . แห่งตติยปาราชิกฉันนั้น. . . ถามถึงวัตถุบ้าง
ฯลฯ อนาบัติบ้าง แห่งจตุตถปาราชิกก็ฉันนั้น. พระอุบาลีเถระอันพระมหา-
กัสสปถามแล้ว ๆ ก็ได้วิสัชนาแล้ว.
[รวมรวมพระวินัยของภิกษุไว้เป็นหมวด ๆ]
ลําดับนั้น พระเถระทั้งหลาย ยกปาราชิก ๔ เหล่านี้ขึ้นสู่สังคหะ
(การสังคายนา) ว่า นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์ แล้วได้ตั้งสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ว่า
เตรสกัณฑ์ ตั้ง ๒ สิกขาบทไว้ว่า อนิยต ตั้ง ๓๐ สิกขาบทไว้ว่า นิสสัคคิย -
ปาจิตตีย์ ตั้ง ๙๒ สิกขาบทไว้ว่า ปาจิตตีย์ ตั้ง ๔ สิกขาบทไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ
ตั้ง ๗๕ สิกขาบทไว้ว่า เสขิยะ ( และ) ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณ-
สมถะ ดังนี้.
* วิ. จุลฺ. ๗ / ๓๘๒-๓๘๓.

36
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 37 (เล่ม 1)

[รวบรวมวินัยของภิกษุณีเป็นหมวด ๆ]
พระเถระทั้งหลายครั้นยกมหาวิภังค์ขึ้นสู่สังคหะอย่างนี้แล้ว จึงตั้ง ๘
สิกขาบท ในภิกษุณีวิภังค์ไว้ว่า นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์ ตั้ง ๑๗ สิกขาบทไว้ว่า
สัตตรสกัณฑ์ ตั้ง ๓๐ สิกขาบทไว้ว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ตั้ง ๑๖๖ สิกขาบท
ไว้ว่า ปาจิตตีย์ ตั้ง ๘ สิกขาบทไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ ตั้ง ๗๕ สิกขาบทไว้ว่า
เสขิยะ (และ) ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณสมถะ ดังนี้.
พระเถระทั้งหลาย ครั้นยกภิกษุวิภังค์ขึ้นสู่สังคหะอย่างนี้แล้วจึงได้
ยกแม้ขันธกะและบริวารขึ้น (สู่สังคายนา) โดยอุบายนั้นนั่นแล. พระวินัยปิฎก
พร้อมทั้งอุภโตวิภังค์ขันธกะและบริวาร พระเถระทั้งหลายยกขึ้นสู่สังคหะแล้ว
ด้วยประการฉะนี้.
พระมหากัสสปเถระ ได้ถามวินัยปิฎกทั้งหมด. พระอุบาลีเถระก็ได้
วิสัชนาแล้ว. ในที่สุดแห่งการปุจฉาและวิสัชนา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้
ทําการสาธยายเป็นคณะ โดยนัยที่ยกขึ้นสู่สังคหะนั้นแล. ในอวสานแห่งการ
สังคายนาพระวินัย พระอุบาลีเถระวาพัดวีชนีอันขจิตด้วยงาแล้ว ลงจาก
ธรรมาสน์ไหว้พวกภิกษุผู้แก่แล้วนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตน.
[เริ่มสังคายนาพระสูตร]
ท่านพระมหากัสสป ครั้นสังคายนาพระวินัยแล้ว ประสงค์จะสังคายนา
พระธรรม จึงถามภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อพวกเราจะสังคายนาพระธรรม ควรจะ
ทําใครให้เห็นธุระ สังคายนาพระธรรม ?
ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า ให้ท่านพระอานนทเถระ

37
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 38 (เล่ม 1)

[คําสวดสมมติปุจฉาวิสัชนาพระสูตร]
ลําดับนั้นแล ท่านพระมหากัสสปเผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้
ข้าเจ้าพึงถามพระธรรมกะท่านพระอานนท์.๑
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ก็เผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ ! ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้
ข้าพเจ้าอันพระมหากัสสปถามแล้วพึงวิสัชนา ๒ พระธรรม
[ปุจฉาและวิสัชนาพระสูตร]
ลําดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นจากอาสนะห่มจีวรเฉวียงบ่า ไหว้
ภิกษุผู้เถระทั้งหลายแล้วนั่งบนธรรมสาสน์จับพัดวีชนีอันขจิตด้วยงา. พระมหา-
กัสสปะเถระ ถามพระธรรมกะพระอานนทเถระว่า อานนท์ผู้มีอายุ ! พรหมชาล-
สูตรพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ณ ที่ไหน ?
พระอานนท์. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ตรัสที่พระตําหนักหลวงในพระราช
อุทยานชื่ออัมพลัฏฐิกา ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทาต่อกัน
พระมหากัสสป. ทรงปรารภใคร ?
พระอานนท์. ทรงปรารภสุปปิยปริพาชก และพรหมทัตตมานพ.
ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสป ถามท่านพระอานนท์ถึงนิทานบ้าง บุคคลบ้าง
แห่งพรหมชาลสูตร.
พระมหากัสสป. ท่านอานนท์ผู้มีอายุ ! ก็สามัญญผลสูตร พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัส ณ ที่ไหน
๑-๒. วิ. จุลฺ. ๗ / ๓๘๔

38
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 39 (เล่ม 1)

พระอานนท์. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ! ตรัส ณ ที่สวนอัมพวันของหมอชีวก
ใกล้กรุงราชคฤห์.
พระมหากัสสป. ทรงปรารภใคร ?
พระอานนท์. ทรงปรารภพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตร
ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสป ถามท่านพระอานนท์ถึงนิทานบ้าง
บุคคลบ้าง แห่งสามัญญผลสูตร. ถามนิกายทั้ง ๕ โดยอุบายนี้นั่น* แล
[นิกาย ๕]
ที่ชื่อว่านิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตร-
นิกาย ขุททกนิกาย. บรรดานิกายเหล่านั้น พระพุทธพจน์ที่เหลือยกเว้น ๔
นิกายเสีย ชื่อว่าขุททกนิกาย. ในขุททกนิกายนั้น พระวินัย ท่านอุบาลีเถระ
ได้วิสัชนาแล้ว. ขุททกนิกายที่เหลือ และอีก ๔ นิกาย พระอานนทเถระวิสัชนา.
[พระพุทธพจน์มีจํานวนต่าง ๆกัน]
พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนี้นั้น พึงทราบว่ามีอย่างเดียว ด้วยอํานาจรส
มี ๒ อย่าง ด้วยอํานาจธรรมและวินัย มี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจปฐมะ มัชฌิมะ
ปัจฉิมะ อนึ่ง มี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจปิฎก มี ๕ อย่าง ด้วยอํานาจนิกาย มี ๙
อย่าง ด้วยอํานาจองค์ มี ๘๔,๐๐๐ อย่าง ด้วยอํานาจพระธรรมขันธ์.
[พระพุทธพจน์มีอย่างเดียว]
พระพุทธพจน์ ชื่อว่ามีอย่างเดียว ด้วยอํานาจรสอย่างไร ? คือ ตาม
ความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจนถึง
* วิ. จุลฺ. ๗ / ๓๘๔ - ๓๘๕.

39
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 40 (เล่ม 1)

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในระหว่างนี้ทรงพร่ำสอนเทวดา
มนุษย์ นาค และยักษ์ หรือทรงพิจารณาตลอดเวลา ๔๕ ปี ได้ตรัสพระพุทธพจน์
ใดไว้ พระพุทธพจน์นั้นทั้งหมดมีรสอย่างเดียว คือมีวิมุตติเป็นรสเท่านั้น.
พระพุทธพจน์ ชื่อว่ามีอย่างเดียว ด้วยอํานาจรส ด้วยประการฉะนี้.
[ พระพุทธพจน์มี ๒ อย่าง ]
พระพุทธพจน์ชื่อว่ามี ๒ อย่าง ด้วยอํานาจธรรมและวินัยอย่างไร ?
คือ อันพระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้นั่นแล ย่อมถึงการนับว่า พระธรรมและวินัย.
บรรดาธรรมและวินัยนั้น วินัยปิฎก ชื่อว่าวินัย. พระพุทธพจน์ที่เหลือชื่อว่า
ธรรม. เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระมหากัสสปได้กล่าวไว้แล้วว่า ผู้มีอายุ!
อย่ากระนั้นเลย พวกเราพึงสังคายนาธรรมและวินัย และว่า เราพึงถามพระวินัย
กะท่านอุบาลี พึงถามพระธรรมกะท่านอานนท์ ดังนี้. พระพุทธพจน์ ชื่อว่ามี
๒ อย่าง ด้วยอํานาจธรรมและวินัย ด้วยประการฉะนี้
[พระพุทธพจน์มี ๓ อย่าง]
พระพุทธพจน์มี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจปฐมะ มัชฌิมะ และปัจฉิมะ
อย่างไร ? คืออันที่จริง พระพุทธพจน์นี้ทั้งหมดนั่นแล แบ่งประเภทเป็น ๓
คือ ปฐมพุทธพจน์ มัชฌิมพุทธพจน์ (และ) ปัจฉิมพุทธพจน์
บรรดาพระพุทธพจน์ ๓ อย่างนั้น พระพุทธพจน์ว่า
เราแสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างผู้ทําเรือน
เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีความ
เกิดเป็นอเนก ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป แนะ
นายช่างผู้ทําเรือน เราพบเจ้าแล้ว เจ้าจัก

40