No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 718 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺเฉทนสฺส ได้แก่ ต่อข้อหาชิงกุมาร
กุมารีแล้วจับ. บทว่า ราชทณฺฑาย มํ ทชฺชา ความว่า พระเจ้ากรุงสญ-
ชัยพึงพระราชทานข้าพระองค์แก่อำมาตย์ทั้งหลายเพื่อลงราชทัณฑ์ ด้วยข้อหา
อย่างนี้ว่า พราหมณ์คนนี้เป็นโจรลักเด็ก จงลงราชทัณฑ์แก่มัน. บทว่า
คาเรยฺหสฺส พฺรหฺมพนฺธุยา ความว่า และข้าพระองค์จักพึงถูกนางอมิตต-
ตาปนาพราหมณีติเตียน
พระเวสสันดรตรัสว่า
พระมหาราชเจ้าผู้ผดุงสีพีรัฐให้เจริญ สถิตอยู่ใน
ธรรม ทอดพระเนตรเห็น พระกุมารกุมารีผู้มีเสียง
ไพเราะ เจรจาน่ารักนี้ ทรงได้ปีติโสมนัส จัก
พระราชทานทรัพย์แก่ท่านเป็นอันมาก.
ชูชกทูลว่า
ข้าพระองค์จักทำตามรับสั่งไม่ได้ ข้าพระองค์จัก
นำทารกทั้งสองไปให้บำเรอนางอมิตตตาปนาพราหมณี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทารเกว ความว่า ข้าพระองค์ไม่ต้อง
การทรัพย์อย่างอื่น ข้าพระองค์จักนำสองทารกเหล่านี้ไปให้บำเรอพราหมณีของ
ข้าพระองค์.
พระชาลีราชกุมารและพระกัณหาชินาราชกุมารีได้สดับผรุสวาจานั้น
ของชูชกก็เกรงกลัว พากันเสด็จไปหลังบรรณศาลา แล้วหนีไปจากที่แม้นั้น
ซ่อนองค์ที่ชัฏพุ่มไม้ องค์สั่นทอดพระเนตรเห็นพระองค์เหมือนถูกชูชกมาจับ
ไปแม้ในที่นั้น เมื่อไม่สามารถจะดำรงอยู่ ณ ที่ไร ๆ ก็วิ่งไปแต่ที่นี้บ้าง ๆ เลย

718
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 719 (เล่ม 64)

เสด็จไปถึงสระโบกขรณีสี่เหลี่ยม ทรงนุ่งผ้าเปลือกไม้มั่น ตกพระทัยกลัว
ลงสู่น้ำ เอาใบบัววางไว้บนพระเศียร เอาน้ำบังองค์ประทับยืนอยู่.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้นพระกุมารกุมารีได้ฟังคำที่ชูชกผู้ร้ายกาจ
กล่าวก็สะทกสะท้านทั้งพระชาลีและพระกัณหาชินา
สององค์พากันวิ่งไปแต่ที่นั้น ๆ.
ฝ่ายชูชกไม่เห็นสองกุมาร จึงพูดรุกรานพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระ-
เวสสันดรผู้เจริญ พระองค์ประทานกุมารกุมารีแก่ข้าพระองค์บัดนี้ ครั้น
ข้าพระองค์ทูลว่า ข้าพระองค์จักไม่ไปเชตุดรราชธานี จักนำกุมารกุมารีไปให้
บำเรออมิตตตาปนาพราหมณีของข้าพระองค์ พระองค์ก็ให้สัญญาโบกไม้โบกมือ
ให้พระโอรสพระธิดาหนีไปเสีย แล้วนั่งทำเป็นไม่รู้ คนพูดมุสาเช่นพระองค์
เห็นจะไม่มีในโลก.
ฝ่ายพระมหาสัตว์ได้ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงดำริว่า เด็กทั้ง
สองจักหนีไป จึงรับสั่งว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านอย่าคิดเลย เราจักนำตัวมา
ทั้งสองคน ตรัสฉะนั้นแล้วเสด็จลุกขึ้นไปหลังบรรณศาลา ก็ทรงทราบว่าพระ
โอรสพระธิดาเข้าไปสู่ป่าชัฏ จึงเสด็จไปสู่ฝั่งสระโบกขรณี ตามรอยพระบาท
ของสองกุมารกุมารีนั้น ทอดพระเนตรเห็นรอยพระบาทลงสู่น้ำ ก็ทรงทราบ
ว่า พระโอรสและพระธิดาจักลงไปยืนอยู่ในน้ำ จึงตรัสเรียกว่า พ่อชาลี แล้ว
ตรัสคาถาว่า
ดูก่อนพ่อชาลีพระลูกรัก พ่อจงมา จงเพิ่มพูน
บารมีของพ่อให้เต็ม จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้
เย็นฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็น

719
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 720 (เล่ม 64)

ดังยานนาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ พ่อ
จักข้ามฝั่งคือชาติ จักยังมนุษย์ทั้งเทวดาให้ข้ามด้วย
พระชาลีราชกุมารได้ทรงสดับพระดำรัสของพระราชบิดา จึงทรงคิดว่า
ตาพราหมณ์จงทำเราตามใจชอบเถิด เราจักไม่กล่าวคำสองกับพระราชบิดา
จึงโผล่พระเศียรแหวกใบบัวออกเสด็จขึ้นจากน้ำ หมอบแทบพระบาทเบื้องขวา
แห่งพระมหาสัตว์ กอดข้อพระบาทไว้มั่นทรงกันแสง ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึง
ตรัสถามพระชาลีว่า แน่ะพ่อ น้องหญิงของพ่อไปไหน พระชาลีทูลสนองว่า
ข้าแต่พระราชบิดา ธรรมดาว่าสัตว์ทั้งหลาย เมื่อภัยเกิดขึ้น ก็ย่อมรักษาตัว
ทีเดียว ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ก็ทรงทราบว่า ลูกทั้งสองของเราจักนัดหมาย
กัน จึงตรัสเรียกว่า แม่กัณหา แม่จงมา แล้วตรัสคาถาว่า
ดูก่อนแม่กัณหาธิดารัก แม่จง มาจงเพิ่มพูนทาน
บารมีที่รักของพ่อ จงช่วยโสรจสรงหทัยของพ่อให้เย็น
ฉ่ำ จงทำตามคำของพ่อ ขอเจ้าทั้งสองจงเป็นดังยาน
นาวาของพ่อ ไม่หวั่นไหวต่อสาครคือภพ พ่อจักข้าม
ฝั่งคือชาติ จักยกขึ้นซึ่งมนุษย์ทั้งเทวดาด้วย.
พระนางกัณหาชินาราชกุมารีได้ทรงสดับพระดำรัสของพระราชบิดา
จึงทรงคิดว่า เราจักไม่กล่าวคำสองกับพระราชบิดา จึงเสด็จขึ้นจากน้ำ
เหมือนกัน หมอบแทบพระบาทเบื้องซ้ายแห่งพระมหาสัตว์ กอดข้อพระบาท
ไว้มั่นทรงกันแสง พระอัสสุชลของสองพระกุมารกุมารีตกลงหลังหลังพระบาท
แห่งพระมหาสัตว์ ซึ่งมีพรรณดุจดอกปทุมบาน พระอัสสุชลของพระมหาสัตว์ก็
ตกลงบนพระปฤษฏางค์แห่งสองพระกุมารกุมารีซึ่งเช่นกับแผ่นทองคำ.
ครั้งนั้น พระมหาสัตว์ถึงความกวัดแกว่ง ราวกะว่ามีพระทัยหดหู่
ทรงลูบพระปฤษฏางค์แห่งราชกุมารกุมารีด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่ม ยังพระ-

720
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 721 (เล่ม 64)

ราชกุมารกุมารีให้ลุกขึ้นปลอบโยนแล้วตรัสว่า แน่ะพ่อชาลี เจ้าไม่รู้ว่าพ่อวิตกถึง
ทานบารมีของพ่อดอกหรือ เจ้าจงยังอัธยาศัยของพ่อให้ถึงที่สุด ตรัสฉะนี้แล้ว
ประทับยืนกำหนดราคาราชบุตรราชบุตรีในที่นั้นดุจนายโคบาลตีราคาโคฉะนั้น.
ได้ยินว่า พระมหาสัตว์ตรัสเรียกพระโอรสมาตรัสว่า แน่ะพ่อชาลี
ถ้าพ่อใคร่เพื่อจะเป็นไท พ่อควรให้ทองคำพันลิ่มแก่พราหมณ์ชูชก จึงควร
เป็นไท ก็กนิษฐภคินีของพ่อเป็นผู้ทรงอุดมรูป ใคร ๆ ชาติต่ำพึงให้ทรัพย์เล็ก
น้อยแก่พราหมณ์ ทำกนิษฐภคินีของพ่อให้เป็นไท ทำให้แตกชาติ ยกเสียแต่
พระราชาใครจะให้สิ่งทั้งปวงอย่างละ ๑๐๐ ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น กนิษฐภคินี
ของพ่ออยากจะเป็นไท พึงให้สิ่งทั้งปวงอย่างละ ๑๐๐ อย่างนี้ คือ ทาสี ทาส
ช้าง ม้า โค อย่างละ ๑๐๐ และทองคำ ๑๐๐ ลิ่ม แก่ชูชก แล้วจงเป็นไทเถิด.
พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงกำหนดราคาพระราชกุมารกุมารีอย่างนี้แล้ว ทรง
ปลอบโยนแล้วเสด็จไปสู่อาศรม จับพระเต้าน้ำ เรียกชูชกมาตรัสว่า ดูก่อน
พราหมณ์ผู้เจริญ จงมานี่ แล้วทรงหลั่งน้ำลงในมือชูชก ทำให้เนื่องด้วยพระ-
สัพพัญญุตญาณ ตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณย่อม
เป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรและบุตรีผู้เป็นที่รักกว่าร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่าเมื่อจะทรง
ยังปฐพีให้บันลือลั่นได้พระราชทานปิยบุตรทานแก่พราหมณ์ชูชก.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พระเวสสันดรราชฤาษีผู้ยังแคว้นของชาว
สีพีให้เจริญ ทรงพาพระชาลีราชโอรสและพระกัณหา-
ชินาราชธิดา ทั้งสององค์มาพระราชทานให้เป็น
ปุตตกทานแก่พราหมณ์ชูชก แต่นั้น พระเวสสันดร
ราชฤาษีทรงพาพระชาลีราชโอรสและพระกัญหาชินา

721
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 722 (เล่ม 64)

ราชธิดาทั้งสององค์มา ทรงปลื้มพระมนัสพระราชทาน
พระราชโอรสและพระราชธิดาให้เป็นทานอันอุดม
แก่พราหมณ์ชูชก อัศจรรย์อันให้สยดสยองและยัง
โลมชาติให้ชูชัน ในเมื่อพระกุมารกุมารีทั้งสอง อัน
พระเวสสันดรพระราชทานแก่พราหมณ์ชูชก เมทนีดล
ก็กัมปนาทหวาดหวั่นไหว ได้เกิดมีแล้วในกาลนั้น
อัศจรรย์อันให้สยดสยอง และยังโลมชาติให้ชูชัน
พระเวสสันดรราชฤาษีผู้ยังแคว้นแห่งชาวสีพีให้เจริญ
อันผู้ประชุมชนกระทำอัญชลี ได้พระราชทานพระราช
กุมารกุมารีผู้กำลังเจริญในความสุข ให้เป็นทานแก่
พราหมณ์ชูชก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺโต ได้แก่ ทรงเกิดพระปีติโสมนัส.
บทว่า ตทาสิ ยํ ภึสนกํ ความว่า ในกาลนั้น แผ่นดินใหญ่หนาแน่น
สองแสนสี่หมื่นโยชน์ อึกทึกกึกก้องคำรามลั่นสั่นสะเทือนเสมือนช้างพลายตกมัน
ด้วยเดชแห่งทานบารมี ในกาลนั้นสาครก็กระเพื่อม สิเนรุราชบรรพตก็น้อม
ยอดลงไปทางเขาวงกตตั้งอยู่ คล้ายหน่อหวายที่ต้มให้สุกดีแล้ว ท้าวสักกเทวราช
ทรงปรบพระหัตถ์ มหาพรหมได้ประทานสาธุการ เทวดาทั้งหมดก็ได้ให้
สาธุการ ได้เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก ฟ้าคำรามพร้อมกับ
เสียงปฐพีให้ฝนตกลงชั่วขณะ สายฟ้าแลบในสมัยมิใช่กาล สัตว์จตุบาทมีราชสีห์
เป็นต้น ที่อยู่ในหิมวันตประเทศ ได้บันลือเสียงเป็นอันเดียวกัน ทั่ว
หิมวันต์อัศจรรย์อันน่าสยดสยองได้มีเห็นปานฉะนี้ แต่ในบาลีท่านกล่าวเพียงว่า
เมทนีสะเทือน เท่านั้นเอง. บทว่า ยํ แปลว่า ในกาลใด. บทว่า กุมาเร
สุขวจฺฉิเต ความว่า ได้พระราชทานพระกุมารกุมารีที่เจริญอยู่ในความสุข

722
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 723 (เล่ม 64)

คืออยู่ในความสุขบริจาคอย่างเป็นสุข. บทว่า อทา ทานํ ความว่า ดูก่อน
พราหมณ์ผู้เจริญ พระสัพพัญญุตญาณย่อมเป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรบุตรีของเรา โดย
ร้อยเท่าพันเท่าแสนเท่า ดังนั้นจึงได้พระราชทานเพื่อประโยชน์พระสัพพัญญุต-
ญาณนั้น.
พระมหาสัตว์ ทรงบำเพ็ญบุตรทานแล้ว ยังพระปีติให้เกิดขึ้นว่า โอ
ทานของเรา เราได้ให้ดีแล้วหนอ แล้วทอดพระเนตรดูพระกุมารกุมารีประทับ
ยืนอยู่.
ฝ่ายชูชกเข้าไปสู่ชัฏป่า เอาฟันกัดเถาวัลย์ถือมา ผูกพระหัตถ์เบื้องขวา
แห่งพระชาลีกุมารรวมกันกับพระหัตถ์เบื้องซ้ายแห่งพระกัณหาชินากุมารี ถือ
ปลายเถาวัลย์นั้นไว้ โบยตีพาไป.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
แต่นั้น พราหมณ์ผู้ร้ายกาจนั้น ก็เอาฟันกัด
เถาวัลย์ ผูกพระกรแห่งพระกุมารกุมารีด้วยเถาวัลย์อีก
ข้างหนึ่งไว้ แต่นั้น พราหมณ์ถือเถาวัลย์ถือไม่เฆี่ยนตี
นำพระกุมารกุมารีไปต่อหน้าที่นั่ง แห่งพระเวสสันดร
สีวีราช.
พระฉวีของพระชาลีพระกัณหาชินาแตกตรงที่ที่ถูกตีแล้ว ๆ นั้น ๆ
พระโลหิตไหล พระชาลีและพระกัณหาชินาต่างเอาพระปฤษฎางค์เข้ารับไม้
แทนกันและกันในเมื่อถูกตี. ลำดับนั้น ชูชกพลาดล้มลงในสถานที่ไม่เสมอแห่ง
หนึ่ง เถาวัลย์อันแข็งเคลื่อนหลุดจากพระหัตถ์อันอ่อนแห่งพระกุมารกุมารี
พระกุมารกุมารีทรงกันแสงหนีไปหาพระมหาสัตว์.
พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศข้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระชาลีและพระหัตตาหลีกไปจากที่นั้น พ้น
พราหมณ์ชูชก มีพระเนตรทั้งสองนองไปด้วยพระอัส-

723
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 724 (เล่ม 64)

สุชล พระชาลีชะเง้อดูพระบิดา องค์สั่นดุจใบอัสสัตถ-
พฤกษ์ อภิวาทพระบาทพระบิดา ครั้นถวายบังคม
พระบาทพระบิดาแล้วได้กราบทูลคำนี้ว่า ข้าแต่พระ
บิดา พระมารดาเสด็จออกไปป่าแล้ว พระบิดา
ประทานหม่อมฉันทั้งสอง ขอพระบิดาจงประทาน
หม่อมฉันทั้งสอง ต่อเมื่อหม่อมฉันทั้งสองได้พบพระ-
มารดาก่อนเถิด.
ข้าแต่พระบิดา พระมารดาเสด็จออกไปป่าแล้ว
พระบิดาประทานหม่อมฉันทั้งสอง ขอพระบิดาอย่า
เพิ่งประทานหม่อมฉันทั้งสอง จนกว่าพระมารดาของ
หม่อมฉันทั้งสองจะเสด็จ กลับมา พราหมณ์ชูชกนี้จง
ขายหรือจงฆ่าในกาลนั้นแน่แท้ ชูชกนี้ประกอบด้วย
บุรุษโทษ ๑๘ ประการ คือ ตีนแบ ๑ เล็บเน่า ๑
มีปลีน่องย้อยยาน ๑ มีริมฝีปากบนยาว ๑ น้ำลาย
ไหล ๑ มีเขี้ยวยาวออกจากริมฝีปากดังเขี้ยวหมู ๑ จมูก
หัก ๑ ท้องโตดังหม้อ ๑ หลังค่อม ๑ ตาเหล่ ๑
หนวดสีเหมือนทองแดง ๑ ผมสีเหลือง ๑ เส้นเอ็น
ขึ้นสะพรั่ง เกลื่อนไปด้วยกระดำ ๑ ตาเหลือกเหลือง
๑ เอวคด หลังโกง คอเอียง ๑ ขากาง ๑ เดินตีน
ลั่นดังเผาะ ๆ ๑ ขนตามตัวดกและหยาบ ๑ นุ่งห่ม
หนังเสือเหลือง เป็นดังอมนุษย์น่ากลัว แกเป็นอมนุษย์
หรือยักษ์กินเนื้อและเลือด มาแต่บ้านสู่ป่าทูลขอทรัพย์
พระบิดา ข้าแต่พระบิดาพระองค์ทอดพระเนตรเห็น

724
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 725 (เล่ม 64)

หม่อมฉันทั้งสองอันผู้แกผู้ดุจปีศาจนำไปหรือหนอพระ
หฤทัยของพระองค์ราวกะผู้มั่นด้วยเหล็กแน่ทีเดียว
พราหมณ์ชูชกผู้แสวงหาทรัพย์ ผู้ร้ายกาจเกินเปรียบ
ผูกหม่อมฉันทั้งสอง และตีหม่อมฉันทั้งสองเหมือนตี
ฝูงโค พระองค์ไม่ทรงทราบหรือ น้องกัณหาจงอยู่ ณ
ที่นี้ เพราะเธอยังไม่รู้จักทุกข์สักนิดเดียว ลูกมฤคีที่
ยังกินนม พรากไปจากฝูงก็ร้องไห้หาแม่เพื่อจะกินนม
ฉันใด น้องกัณหาชินาเมื่อไม่เห็นพระมารดาก็จะ
กันแสงเหี่ยวแห้งสินชนมชีพ ฉันนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุทกฺขสิ ความว่า ไปสำนักพระมหา-
สัตว์ หวาดหวั่นไหวแลดูอยู่. บทว่า เวธํ ได้แก่ ตัวสั่น. บทว่า ตฺวญฺจ
โน ตาต ทสฺสสิ ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ พระองค์ได้ประทานหม่อมฉัน
ทั้งสองให้แก่พราหมณ์ ในเมื่อเสด็จแม่ยังมิได้กลับมาเลย ขอเสด็จพ่ออย่าได้
ทรงการทำอย่างนี้เลย โปรดยับยั้งไว้ก่อน พระเจ้าค่ะ จนกว่าหม่อมฉันทั้ง
สองจะได้เห็นเสด็จแม่ ต่อนั้นพระองค์จึงค่อยประทานในกาลที่หม่อมฉันทั้งสอง
ได้เห็นเสด็จแม่แล้ว พระเจ้าค่ะ. บทว่า วิกฺกีณาตุ หนาตุ วา ความว่า
ข้าแต่เสด็จพ่อ ในเวลาที่เสด็จแม่เสด็จมา พราหมณ์ชูชกนี้จงขายหรือจงฆ่า
หม่อมฉันทั้งสองก็ตาม หรือจงทำตามที่ปรารถนาเถิด อนึ่งพระชาลีราชกุมาร
ได้กราบทูลบุรุษโทษ ๑๘ ประการว่า พราหมณ์กักขละหยาบช้านี้ประกอบด้วย
บุรุษโทษ ๑๘ ประการ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พลงฺกปาโท ได้แก่
ตีนแป. บทว่า อทฺธนโข ได้แก่ เล็บเน่า. บทว่า โอพทฺธปิณฺฑิโก
ได้แก่ มีเนื้อปลีแข้งหย่อนลงข้างล่าง. บทว่า ทีโฆตฺตโรฏฺโฐ ได้แก่

725
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 726 (เล่ม 64)

ประกอบด้วยริมฝีปากบนยาวยื่นปิดปาก. บทว่า จปโล ได้แก่ มีน้ำลายไหล.
บทว่า กฬาโร ได้แก่ ประกอบด้วยเขี้ยวยื่นออกเหมือนเขี้ยวหมู. บทว่า
ภคฺคนาสโก ได้แก่ ประกอบด้วยจมูกหักคือไม่เสมอกัน. บทว่า โลหมสฺสุ
ได้แก่ มีหนวดมีสีเหมือนทองแดง. บทว่า หริตเกโส ได้แก่ มีผมสีเหมือน
ทองงอกหยิก บทว่า วลีนํ ได้แก่ หนังย่นเป็นเกลียวทั่วตัว. บทว่า
ติลาหโก ได้แก่ เกลื่อนไปด้วยกระดำ. บทว่า ปิงฺคโล ได้แก่ มีตา
เหลือกเหลือง คือประกอบด้วยตาทั้งสองคล้ายตาแมว. บทว่า วินโต ได้แก่
มีคดในที่ ๓ แห่ง คือ เอว หลัง คอ. บทว่า วิกโฏ ได้แก่ มีเท้าลั่น
ท่านกล่าวว่า มีที่ต่อกระดูกมีเสียง ก็มี คือประกอบด้วยที่ต่อกระดูกมีเสียงดัง
เผาะๆ. บทว่า พฺรหา ได้แก่ยาว.
บทว่า อมนุสฺโส ความว่า พราหมณ์นี้มิใช่มนุษย์ เป็นยักษ์ที่
เที่ยวไปในป่าด้วยเพศของมนุษย์เป็นแน่นะเสด็จพ่อ. บทว่า ภยานโก ได้แก่
น่ากลัวเหลือเกิน. บทว่า มนุสฺโส อุทาหุ ยกฺโข ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ
ถ้าใคร ๆ เห็นพราหมณ์นี้แล้วถาม ก็ควรจะตอบว่า กินเนื้อและเลือดเป็นอาหาร.
บทว่า ธนํ ตํ ตาต ยาจติ ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ พราหมณ์นี้ประสงค์
จะกินเนื้อของหม่อมฉันทั้งสอง จึงทูลขอทรัพย์คือบุตรต่อพระองค์. บทว่า
อุทิกฺขสิ ได้แก่ เพ่งดู. บทว่า อสฺมา นูน เต หทยํ ความว่า ข้าแต่
เสด็จพ่อ ธรรมดาบิดามารดาทั้งหลายย่อมมีหทัยอ่อนในบุตรทั้งหลายไม่ทนดู
ความทุกข์ของบุตรทั้งหลายอยู่ได้ แต่พระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเหมือน
แผ่นหิน อีกอย่างหนึ่ง หฤทัยของพระองค์คงจะใช้เหล็กผูกไว้มั่น ฉะนั้นเมื่อ
หม่อมฉันทั้งสองมีความทุกข์เกิดขึ้นเห็นปานฉะนี้ เสด็จพ่อจึงไม่เดือดร้อน.
บทว่า น ชานาสิ ความว่า พระองค์ประทับนั่งอยู่เหมือนไม่รู้สึก.

726
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 727 (เล่ม 64)

บทว่า อจฺจายิเกน ลุทฺเทน ได้แก่ ร้ายกาจเหลือเกิน คือเกิน
ประมาณ. บทว่า โน โย ความว่า พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่าหม่อมฉัน
สองพี่น้องถูกพราหมณ์ผูกมัดไว้. บทว่า สุมฺภติ ได้แก่ เฆี่ยนตี. บทว่า
อิเธว อจฺฉตํ ความว่า ข้าแต่เสด็จพ่อ น้องกัณหาชินานี้ยังไม่รู้จักความทุกข์
ยากอะไร ๆ เลย เมื่อไม่เห็นเสด็จแม่ก็จะกันแสง จักเหี่ยวแห้งสิ้นชนมชีพไป
เหมือนลูกมฤคีน้อยที่ยังกินนม พรากจากฝูง เมื่อไม่เห็นแม่ ย่อมร้องคร่ำครวญ
อยากกินนมฉะนั้น เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงทรงประทานหม่อมฉันเท่านั้น
แก่พราหมณ์ หม่อมฉันจักไป ขอให้น้องกัณหาชินานี้อยู่ในที่นี้แหละ.
เมื่อพระชาลีราชกุมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ก็มิได้ตรัส
อะไร ๆ แต่นั้นพระชาลีราชกุมารเมื่อทรงคร่ำครวญปรารภถึงพระชนกชนนี
จึงตรัสว่า
ทุกข์เห็นปานดังนี้ของลูกนี้ ไม่สู้กระไร เพราะ
ทุกข์นี้ลูกผู้ชายพึงได้รับ แต่การที่ลูกไม่ได้พบพระ-
มารดา เป็นทุกข์ยิ่งหว่าทุกข์เห็นปานดังนี้, พระมารดา
พระบิดาเมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นกัณหาชินากุมารี
ผู้งามน่าดู ก็จะเป็นผู้กำพร้าทรงกันแสงสิ้นราตรีนาน
พระมารดาพระบิดาเมื่อไม่ทอดพระเนตรเห็นกัณหา-
ชินากุมารีผู้งามน่าดู ก็จะเป็นผู้กำพร้าทรงกันแสงอยู่
นานในพระอาศรม.
พระมารดาพระบิดาจะเป็นผู้กำพร้าทรงกันแสง
ตลอดราตรีนาน จักเหี่ยวแห้งในกึ่งราตรีหรือตลอด
ราตรี ดุจแม่น้ำเหือดแห้งไปฉะนั้น.

727