หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 58 (เล่ม 64)

ทำไมอีกเล่า จงรีบออกไปให้พ้นเรือนกู. ลำดับนั้น พราหมณ์จึงปลอบนาง
พราหมณีว่า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เมื่อมฤคในป่ายังมีอยู่ข้าจะไปฆ่ามาเลี้ยงเจ้า
ดังนี้แล้วก็จากที่นั้นไปป่าพร้อมด้วยบุตร หาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองในก่อนแล.
จบเนสาทกัณฑ์
ในกาลนั้น ยังมีครุฑคนหนึ่ง อยู่ที่ต้นงิ้วทางมหาสมุทรภาคใต้ กระพือ
ลมปีกแหวกน้ำในมหาสมุทรลงไป จับศีรษะนาคราชได้ตัวหนึ่ง. แท้จริงใน
กาลนั้น ครุฑทั้งหลาย ยังไม่รู้จักวิธีจับนาค ครั้นภายหลังจึงรู้จักวิธีจับนาค
อย่างในปัณฑรกชาดก๑ แต่ครุฑตัวนั้น เมื่อจับนาคทางศีรษะ ยังไม่ทันน้ำจะ
ท่วมมาถึง ก็หิ้วนาคขึ้นได้ ปล่อยให้นาคห้อยหางลง พาบินไปเบื้องบนป่า
หิมพานต์. ก็ในกาลนั้นมีพราหมณ์ชาวกาสิกรัฐผู้หนึ่ง ออกบวชเป็นฤาษี
สร้างบรรณศาลาอาศัย อยู่ในหิมวันตประเทศ. ที่สุดจงกรมของฤาษีนั้นมีต้น
ไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง. ฤาษีนั้นทำที่พักผ่อนหย่อนใจในกลางวันที่โคนต้นไทรนั้น
ครุฑหิ้วนาคผ่านไปถึงตรงยอดไทร. นาคปล่อยหางห้อยอยู่ก็เอาหางพันคาคบ
ต้นไทรด้วยหมายใจจะให้พ้น . ครุฑมิทันรู้ก็รีบไปทางอากาศ เพราะมันมีกำลัง
มาก. ต้นไทรพร้อมทั้งรากติดหางนาคไปด้วย เมื่อครุฑพานาคไปถึงต้นงิ้วก็
จิกด้วยจะงอยปาก ฉีกท้องนาคกินมันเหลวของนาค ทิ้งร่างลงไปในต้องมหา-
สมุทร ต้นไทรก็ตกลงเสียงดังสนั่นหวั่นไหว. ครุฑสงสัยว่าเสียงอะไร ก็มองไป
ดูเบื้องต่ำแลเห็นต้นไทร จึงคิดในใจว่า ต้นไทรนี้เราถอนมาแต่ไหน ก็นึกได้
โดยถ่องแท้ว่า ต้นไทรนั้นอยู่ท้ายที่จงกรมของพระดาบส ตัวเราจะปรากฏว่า ทำ
อกุศลหรือไม่หนอ เราจักไปถามดาบสนั้นดูก็จะรู้ได้ ดังนี้แล้วก็แปลงเพศเป็น
มาณพน้อยไปสู่สำนักพระดาบส. ขณะนั้นพระดาบสกำลังทำที่นั้นให้สม่ำเสมอ
พระยาสุบรรณไหว้พระดาบสแล้วก็นั่งอยู่ ณ ที่สมควร ทำทีประหนึ่งว่าไม่รู้
๑. ขุ. ชา. ๒๗/๒๓๘๗

58
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 59 (เล่ม 64)

แกล้งถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่อยู่ของอะไร. ดาบส
ตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ สุบรรณตนหนึ่งนำนาคมาเพื่อเป็นภักษาหาร เมื่อ
นาคเอาหางพันคาคบต้นไทรด้วยหมายจะให้พ้น สุบรรณนั้นมิทันรู้บินไปโดย
เร็ว เพราะความที่ตนมีกำลังมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต้นไม้ในที่นี้ ก็ถูกถอนขึ้นทันที
ที่ตรงนี้แหละเป็นที่แห่งต้นไทรนั้นถอนขึ้น. สุบรรณถามว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า
ผู้เจริญ อกุศลกรรมจะมีแก่สุบรรณหรือไม่. ดาบสตอบว่า ถ้าหากว่าสุบรรณ
นั้นไม่รู้อกุศลกรรมก็ไม่มี เพราะไม่มีเจตนา. สุบรรณถามว่า ก็อกุศลกรรมจะ
มีแก่นาคนั้นหรือไม่เล่าเจ้าข้า. ดาบสตอบว่า นาคก็มิได้จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้
ต้นไทรเสียหาย จับเหนี่ยวไว้เพื่อจะให้พ้นภัย เพราะเหตุนั้นอกุศลกรรมก็ไม่มี
แก่นาคแม้นั้นเหมือนกัน.
สุบรรณได้ฟังคำของดาบสก็ยินดีจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ
ข้าพเจ้านี้แหละคือสุบรรณนั้น ข้าพเจ้ายินดีด้วยพระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหา ข้าพเจ้า
รู้มนต์ชื่อว่า อาลัมพายน์ บทหนึ่งหาค่ามิได้ ข้าพเจ้าจะถวายมนต์นั้นแก่พระผู้
เป็นเจ้า ให้เป็นส่วนบูชาอาจารย์ พระผู้เป็นเจ้าจงรับไว้เถิด. ดาบสกล่าวว่า
พอละ เราไม่ต้องการด้วยมนต์ ท่านจงไปเถิด. สุบรรณวิงวอนอยู่บ่อย ๆ จน
พระดาบสรับแล้วจึงถวายมนต์ แล้วบอกยาแก่ดาบสแล้วก็หลีกไป.
จบครุฑกัณฑ์
ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์คนหนึ่งในกรุงพาราณสีกู้ยืมหนี้สินไว้มาก
มาย ถูกเจ้าหนี้ทั้งหลายทวงถามก็คิดว่า เราจะอยู่ในเมืองนี้ไปทำไมอีก เข้าไป
ตายเสียในป่ายังประเสริฐกว่า ดังนี้แล้วจึงออกจากบ้านเข้าไปในป่าจึงบรรลุถึง
อาศรมแห่งพระฤาษี ปฏิบัติพระดาบสให้ยินดีด้วยวัตตสัมปทาคุณ. พระดาบส
คิดว่า พราหมณ์ผู้นี้เป็นผู้มีอุปการะแก่เรายิ่งนัก เราจักให้ทิพยมนต์ซึ่งสุบรรณ-
ราชให้เราไว้แก่พราหมณ์ผู้นี้ ดังนี้ แล้วก็บอกพราหมณ์ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เรา

59
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 60 (เล่ม 64)

รู้มนต์ชื่อว่าอาลัมพายน์ จักให้มนต์นั้นแก่ท่าน ท่านจงเรียนมนต์นั้นไว้ แม้เมื่อ
พราหมณ์นั้นห้ามว่า อย่าเลย ข้าพเจ้าไม่ต้องการมนต์ ก็อ้อนวอนแล้วอ้อนวอน
เล่า จนพราหมณ์รับถ้อยคำแล้วจึงให้มนต์ และบอกยาอันประกอบกับมนต์
และอุปจารแห่งมนต์ พราหมณ์นั้นคิดว่า. เราได้อุบายที่จะเลี้ยงชีพแล้ว ก็พัก
อยู่ ๒-๓ วัน แล้วอ้างเหตุว่า โรคลมเบียดเบียน จนพระดาบสยอมปล่อยไป
จึงกราบไหว้พระดาบสขอขมาโทษแล้วก็ออกจากป่าไป จนถึงฝั่งแม่น้ำยมุนา
โดยลำดับ เดินสาธยายมนต์นั้นไปตามหนทางใหญ่.
ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาบาทบริจาริกาของพระภูริทัตประมาณ
๑,๐๐๐ ตน ต่างถือเอาแก้วมณีที่ให้ความปรารถนาทุกอย่างนั้นออกจากนาคพิภพ
แล้ววางแก้วนั้นไว้บนกองทราย ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา แล้วพากันเล่นน้ำตลอด
คืน ด้วยแสงสว่างแห่งแก้วมณีนั้น ครั้นอรุณขึ้น จึงพากันตกแต่งกายด้วย
เครื่องอาภรณ์ทั้งปวง นั่งล้อมแก้วมณีให้สิริเข้าสู่กาย. ฝ่ายพราหมณ์ก็เดิน
สาธยายมนต์มาถึงที่นั้น เหล่านางนาคมาณวิกาได้ยินเสียงมนต์ สำคัญว่าเสียง
พราหมณ์นั้นเป็นสุบรรณ ก็สะดุ้งกลัวเพราะมรณภัยไม่ทันหยิบแก้วมณี ก็พา
กันแทรกปฐพีไปยังนาคพิภพ พราหมณ์เห็นแก้วมณีก็ดีใจว่ามนต์ของเราสำเร็จ
ผลเดี๋ยวนี้แล้ว ก็หยิบเอาแก้วมณีนั้นไป.
ขณะนั้น พราหมณ์เนสาทพร้อมโสมทัตเข้าไปสู่ป่าเพื่อล่าเนื้อ เห็น
แก้วมณีนั้นในมือของพราหมณ์นั้น จึงกล่าวกะบุตรว่า ดูก่อนโสมทัต แก้วมณี
ดวงนี้พระภูริทัตให้แก่เรามิใช่หรือ.
โสมทัต. ใช่แล้วพ่อ.
บิดา. ถ้าเช่นนั้นเราจะกล่าวโทษแก้วมณีดวงนั้นหลอกพราหมณ์เอา
แก้วมณีนี้เสีย.
โสมทัต. ข้าแต่พ่อ เมื่อพระภูริทัตให้ครั้งก่อนพ่อไม่รับ แต่บัดนี้
กลับจะไปหลอกพราหมณ์เล่า นิ่งเสียเถิด.

60
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 61 (เล่ม 64)

พราหมณ์เนสาทจึงกล่าวว่า เรื่องนั้นยกไว้ก่อน เจ้าคอยดูเราหลอกตา
นั่นเถิด ว่าแล้วเมื่อจะปราศรัยกับอาลัมพายน์จึงกล่าวว่า
แก้วมณีที่สมมติว่าเป็นมงคล เป็นของดี เป็น
เครื่องปลื้มรื่นรมย์ใจเกิดแต่หิน สมบูรณ์ด้วยลักษณะ
ที่ท่านถืออยู่นี้ ใครได้มาไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มงฺคลฺยํ ความว่า แก้วมณีที่สมมติว่าเป็น
มงคล ให้ซึ่งสมบัติอันน่าใคร่ทั้งปวง.
ลำดับนั้น อาลัมพายน์กล่าวคาถาว่า
แก้วมณีนี้ พวกนางนาคมาณวิกาประมาณ ๑,๐๐๐
ตน ล้วนมีตาแดงแวดล้อมอยู่โดยรอบ ในกาลวันนี้
เราเดินทางไปได้แก้วมณีนั้นมา.
คำเป็นคาถานั้นมีอธิบายว่า วันนี้เราเดินไปตามทางแต่เวลาเช้าตรู่
เดินไปตามหนทางใหญ่ได้พบแก้วมณี แวดล้อมโดยรอบด้วยนางนาคมาณวิกา
ผู้มีตาแดงประมาณ ๑,๐๐๐ ตน ก็นางนาคมาณวิกาทั้งหมดนั้นเห็นเราเข้า
สะดุ้งตกใจแล้ว พากันทิ้งแก้วมณีนี้หนีไป.
พราหมณ์เนสาท ประสงค์จะลวงอาลัมพายน์นั้น จึงประกาศโทษ
แห่งแก้วมณี ประสงค์จะยึดเอาเป็นของตนจึงกล่าวคาถาว่า
แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่สั่งสมมาได้ด้วยดี อัน
บุคคลเคารพบูชาประดับประดาเก็บรักษาไว้ดีทุกเมื่อ
ยังประโยชน์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ เมื่อบุคคลปราศจาก
การระวังในการเก็บรักษา หรือในการประดับประดา

61
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 62 (เล่ม 64)

แก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ ที่บุคคลหามาได้โดยไม่แยบ
คาย ย่อมเป็นไปเพื่อความพินาศ คนผู้ไม่มีกุศล ไม่
ควรประดับแก้วมณีอันเป็นทิพย์นี้ เราจักให้ทองคำ
ร้อยแท่ง ขอท่านจงให้แก้วมณีนี้แก่เราเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพตฺถํ ความว่า ผู้ใดจักเก็บประดับ
สั่งสมแก้วมณีอันเกิดแต่หินนี้ คือทรงไว้เก็บไว้ด้วยดี โดยยึดถือว่าของๆ เรา
เหมือนชีวิตของตน อันผู้นั้นนั่นเก็บสั่งสมด้วยดี บูชาทรงไว้เก็บรักษาไว้ด้วยดี
ย่อมยังประโยชน์ทุกอย่างให้สำเร็จ. บทว่า อุปจารวิปนฺนสฺส ความว่า ก็
บุคคลผู้ปราศจากการเก็บรักษาไว้โดยอุบายอันไม่แยบคาย ท่านกล่าวว่าย่อมนำ
มาแต่ความพินาศเท่านั้น. บทว่า ธาเรตุมารโห แปลว่า ไม่ควรเพื่อจะประดับ
ประดา. บทว่า ปฏิปชฺช สตํ นิกฺขํ ความว่า พวกเรารู้เพื่อจะเก็บแก้วมณี
ไว้ให้มากในเรือนของเรา เราจะให้แท่งทอง ๑๐๐ แท่งแก่ท่าน ท่านจงปกครอง
แท่งทองนั้น แล้วจงให้แก้วมณีแก่เรา. แม้แท่งทองในเรือนของท่านเพียงแท่ง
เดียวก็ไม่มี ผู้นั้นย่อมรู้ว่าแก้วมณีนั้นให้สิ่งสารพัดนึก เราจะอาบน้ำดำศีรษะแล้ว
เอาน้ำประพรมแก้วมณี จึงกล่าวว่า ท่านจงให้แท่งทอง ๑๐๐ แท่งแก่เรา เมื่อ
เป็นเช่นนี้เราจักให้แก้วมณีที่ปรากฏว่าเป็นของเราแก่ท่าน เพราะเหตุนั้นผู้
กล้าหาญจึงกล่าวอย่างนี้.
ลำดับนั้น อาลัมพายน์ กล่าวคาถาว่า
แก้วมณีของเรานี้ ไม่ควรแลกเปลี่ยนด้วยโคหรือ
รัตนะ เพราะแก้วมณีอันเกิดแต่หิน บริบูรณ์ด้วย
ลักษณะเราจึงไม่ขาย.

62
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 63 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนวมายํ ความว่า แก้วมณีของเรานี้
ชื่อว่า ควรแลกเปลี่ยนด้วยวัตถุอะไร. บทว่า เนว เกยฺโย ความว่า และ
แก้วมณีของเรานี้ สมบูรณ์ด้วยลักษณะชื่อว่าเป็นของไม่ควรซื้อและควรขาย
ด้วยวัตถุอะไรๆ.
พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า
ถ้าท่านไม่แลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยโคหรือรัตนะ
เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจะแลกเปลี่ยนแก้วมณีด้วยอะไร
เราถามแล้ว ขอท่านจงบอกความข้อนั้นแก่เรา.
อาลัมพายน์กล่าวว่า
ผู้ใดบอกนาคใหญ่ผู้มีเดช ยากที่บุคคลจะล่วง
เกินได้ เราจะให้แก้วมณีอันเกิดแต่หินอันรุ่งเรืองด้วย
รัศมี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชลนฺตริว เตชสา แปลว่า เหมือน
รุ่งเรืองด้วยรัศมี
พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า
ครุฑผู้ประเสริฐหรือใครหนอ แปลงเพศเป็น
พรหมณ์มาแสวงหานาค ประสงค์จะนำไปเป็นอาหาร
ของตน.
คำว่า โก นุ นี้ในคาถานั้น พราหมณ์เนสาทคิดว่า ชะรอยว่าผู้
นั้นเป็นครุฑติดตามอาหารของตนจึงกล่าวอย่างนั้น 
อาลัมพายน์กล่าวว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เรามิได้เป็นครุฑ เราไม่เคยเห็น
ครุฑ เราเป็นผู้สนใจด้วยงูพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า
เป็นหมองู.

63
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 64 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มํ วิทู ความว่า ชนทั้งหลายรู้จักเราว่า
ผู้นี้เป็นผู้สนใจด้วยงูพิษ เป็นหมองู ชื่อว่า อาลัมพายน์.
พราหมณ์เนสาทกล่าวว่า
ท่านมีกำลังอะไร มีศิลปอะไร ท่านเป็นผู้ทรง
ไว้ซึ่งผลอันพิเศษในอะไร จึงไม่ยำเกรงนาค.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยคำว่า กิสฺมึ วา ตฺวึ ปรตฺถทฺโธ ท่าน
ถามว่า ท่านเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งผลอันพิเศษในอะไร กระทำอะไรให้เป็นที่อาศัย จึง
ไม่ยำเกรงนาคคืออสรพิษ คือดูหมิ่นไม่ทำความยำเกรงให้เป็นผู้ประเสริฐ.
อาลัมพายน์นั้น เมื่อแสดงกำลังของตนจึงกล่าวว่า
ครุฑมาบอกวิชาหมองูอย่างสูงแก่ฤาษีโกสิยโคตร
ผู้อยู่ในป่าประพฤติตบะอยู่สิ้นกาลนาน เราเข้าไปหา
ฤาษีตนหนึ่งซึ่งนับเข้าในพวกฤาษีผู้บำเพ็ญตน อาศัย
อยู่ในระหว่างภูเขา ได้บำรุงท่านโดยเคารพ มิได้เกียจ
คร้านทั้งกลางคืนกลางวัน ในกาลนั้น ท่านบำเพ็ญ
วัตรและพรหมจรรย์ เป็นผู้มีโชค เมื่อได้สมาคมกับ
เรา จึงสอนมนต์ทิพย์ให้แก่เราด้วยความรัก เราทรงไว้
ซึ่งผลอันวิเศษในมนต์นั้น จึงไม่กลัวต่อนาค เราเป็น
อาจารย์ของพวกหมอผู้ฆ่าอสรพิษ ชนทั้งหลายรู้จักเรา
ว่าอาลัมพายน์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกสิยสฺสกฺขา ความว่า ครุฑมาบอกแก่
ฤาษีโกสิยโคตร ก็เหตุที่ครุฑนั้นบอกทั้งหมดพึงกล่าวให้พิสดาร. บทว่า
ภาวิตตฺตญฺญตรํ ความว่า เราเข้าไปหาฤาษีคนหนึ่ง บรรดาผู้บำเพ็ญตน.

64
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 65 (เล่ม 64)

บทว่า สมฺมนฺตํ แปลว่า อาศัยอยู่. บทว่า กามสา ได้แก่ ด้วยความปรารถนา
ของตน. บทว่า มนํ ความว่า ย่อมประกาศมนต์นั้นแก่เรา. บทว่า ตฺยาหํ
มนฺเต ปรตฺถทฺโธ ความว่า เราทรงไว้ซึ่งผลอันวิเศษคืออาศัยมนต์เหล่านั้น.
บทว่า โภคินํ ได้แก่ นาคทั้งหลาย. บทว่า วิสฆาฏานํ ความว่า เป็น
อาจารย์ของพวกหมอฆ่าอสรพิษ.
พราหมณ์เนสาท ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงคิดว่า อาลัมพายน์นี้ให้แก้วมณี
แก่บุคคลผู้แสดงที่อยู่ของพระภูริทัตแก่เขา ครั้นแสดงพระภูริทัตแก่เขาแล้วจึง
จักรับเอาแก้วมณี.
แต่นั้นเมื่อจะปรึกษากับบุตรจึงกล่าวว่า
ดูก่อนลูกโสมทัต เราควรรับแก้วมณีไว้สิ
เจ้าจงรู้ไว้ เราอย่าละสิริอันมาถึงตนด้วยท่อนไม้ตาม
ชอบใจสิ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คณฺหามฺหเส แปลว่า ควรรับเอา.
บทว่า กามสา ความว่า อย่าที่ด้วยท่อนไม้แล้วละสิริตามชอบใจของตน.
โสมทัตกล่าวว่า
ข้าแต่พ่อผู้เป็นพราหมณ์ ภูริทัตนาคราชบูชา
คุณพ่อผู้ไปถึงที่อยู่ของตน เพราะเหตุไร คุณพ่อจะ
ปรารถนาประทุษร้าย ต่อผู้กระทำดี เพราะความหลง
อย่างนี้ ถ้าคุณพ่อปรารถนาทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็
คงจักให้ คุณพ่อไปขอท่านเถิด ภูริทัตนาคราชคงจัก
ให้ทรัพย์เป็นอันมากแก่คุณพ่อ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปูชยิ ความว่า บูชาแล้วด้วยกามอัน
เป็นทิพย์. บทว่า ทุพฺภิมิจฺฉสิ ความว่า ดูก่อนพ่อ ท่านปรารถนาเพื่อ
กระทำกรรมคือการประทุษร้ายต่อมิตรเห็นปานนั้นหรือ.

65
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 66 (เล่ม 64)

พราหมณ์กล่าวว่า
ดูก่อนโสมทัต การกินของที่ถึงมือ ที่อยู่ใน
ภาชนะหรือที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เป็นความประเสริฐ
ประโยชน์ที่อยู่เบื้องหน้าเรา อย่าได้ล่วงเราไปเสียเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺถคตํ ความว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต
ท่านเป็นหนุ่มไม่รู้ความเป็นไปของโลกอะไร เพราะจะเคี้ยวกินสิ่งที่อยู่ในมือ
อยู่ในบาตร หรือที่ตั้งเก็บไว้ตรงหน้านั้นนั่นแลประเสริฐ คือ ตั้งอยู่ในที่ไม่ไกล
โสมทัตกล่าวว่า
คนประทุษร้ายต่อมิตร สละความเกื้อกูล จะตก
หมกไหม้อยู่ในนรกอันร้ายแรง แผ่นดินย่อมสูบผู้นั้น
หรือเมื่อผู้นั้นมีชีวิตอยู่ที่ซูบซีด ถ้าคุณพ่อปรารถนา
ทรัพย์ ภูริทัตนาคราชก็คงจักให้ ลูกเข้าใจว่า คุณพ่อ
จักต้องประสบเวรที่ตนทำไว้ในไม่ช้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหิมสฺส วินฺทฺรียติ ความว่า ดูก่อน
พ่อ ปฐพีย่อมแยกให้ช่องแก่ประทุษร้ายต่อมิตร ทั้งที่ยังเป็นอยู่นั่นแล.
บทว่า หิตจฺจาคี ได้แก่ ผู้สละประโยชน์เกื้อกูลของตน. บทว่า
ชีวเร วาปิ สุสฺสติ ความว่า ถึงจะมีชีวิตอยู่ก็ย่อมซูบซีดเป็นมนุษย์เพียงดัง
เปรตฉะนั้น. ว่า อตฺตกตํ เวรํ ได้แก่ บาปที่ตนทำ. บทว่า น จิรํ
ความว่า ลูกเข้าใจว่า ไม่นานเขาจักประสบเวร.
พราหมณ์กล่าวว่า
พราหมณ์ทั้งหลายบูชามหายัญแล้ว ย่อมบริสุทธิ์
ได้ เราจักบูชามหายัญ ก็จักพ้นจากบาปด้วยการบูชา
ยัญอย่างนี้.

66
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓ – หน้าที่ 67 (เล่ม 64)

บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า สุชฺฌนฺติ แสดงว่า ลูกโสมทัต
ลูกยังเป็นหนุ่มไม่รู้อะไร ธรรมดาว่า พราหมณ์ทั้งหลาย ครั้นกระทำบาป
อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยยัญ จึงได้กล่าวอย่างนี้
โสมทัตกล่าวว่า
เชิญเถิด ลูกจะขอแยกไป ณ บัดนี้ วันนี้ลูกจะ
ไม่ขออยู่ร่วมกับคุณพ่อ จะไม่ขอเดินทางร่วมกับคุณ
พ่อ ผู้ทำกรรมหยาบอย่างนี้สักก้าวเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปายามิ ความว่า เชิญเถิด ลูกจะขอ
แยกไป คือหนีไป. ก็แลบัณฑิตมาณพครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อไม่อาจให้
บิดาเชื่อฟังคำของตน จึงโพนทนาให้เทวดาทราบด้วยเสียงอันดังว่า ข้าพเจ้า
จะไม่ไปกับคนทำบาปเห็นปานนี้ละ ครั้นประกาศแล้ว ก็หนีไปทั้ง ๆ ที่บิดา
เห็นอยู่นั่นแลเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษียังอภิญญาและสมาบัติให้เกิด
แล้ว มิให้เสื่อมฌานแล้วเกิดในพรหมโลก.
เมื่อพระศาสดาจะประกาศความนั้นจึงตรัสว่า
โสมทัตผู้ได้ยินได้ฟังมามาก ได้กล่าวคำนี้กะ
บิดาแล้ว ได้ประกาศให้เทวดาทั้งหลายทราบแล้ว ก็
ได้หลีกไปจากที่นั้น.
จบโสมทัตกัณฑ์
พราหมณ์เนสาทคิดว่า โสมทัตจักไปไหน ออกจากเรือนของตน
ครั้นเห็นอาลัมพายน์ไม่พอใจหน่อยหนึ่ง จึงปลอบว่า ดูก่อนอาลัมพายน์ ท่าน
อย่าวิตกไปเลย เราจักชี้ภูริทัตให้ท่าน ดังนี้แล้ว ก็พาอาลัมพายน์ไปยังที่
รักษาอุโบสถแห่งพระยานาค เห็นพระยานาคคู้ขดขนดอยู่ที่จอมปลวก จึงยืนอยู่
ในที่ไม่ไกล เหยียดมือออกแล้วกล่าว ๒ คาถาว่า

67