ในคำว่า อชานนฺตสฺส นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุผู้ไม่รู้ธรรมเนียม
การนุ่งก็ไม่พ้นอาบัติ. อันที่จริงภิกษุพึงเรียนเอาธรรมเนียมการนุ่งให้ดี. การ
ไม่เรียนเอาธรรมเนียมการนุ่งนั้นนั่นเอง จัดเป็นความไม่เอื้อเฟื้อนั้น ควรแก่
ภิกษุผู้แกล้งไม่เรียนเท่านั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุใดแม้เรียนเอาธรรมเนียม
แล้ว ยังไม่รู้จักว่า ผ้านุ่งเลื้อยขึ้น หรือเลื้อยลง, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น.
แต่ในกุรุนที ท่านกล่าวว่า ภิกษุผู้ไม่รู้เพื่อจะนุ่งให้เป็นปริมณฑล ก็ไม่เป็น
อาบัติ ส่วนภิกษุผู้แข้งลีบก็ดี มีปั้นเนื้อปลี แข็งใหญ่ก็ดี จะนุ่งให้เลื้อยลงจาก
มณฑลเข่าเกินกว่า ๘ องคุลี เพื่อต้องการให้เหมาะสม ก็ควร.
บทว่า คิลานสฺส มีความว่า ภิกษุมีแผลเป็นที่แข้งหรือที่เท้าจะนุ่ง
ให้เลื้อยขึ้น หรือให้เลื้อยลง ควรอยู่.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เนื้อร้ายก็ดี พวกโจรก็ดี ไล่ติดตาม
มา, ในอันตรายเห็นปานนี้ ไม่เป็นอาบัติ. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้ง
นั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์
สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ดังนี้แล.
พระปุสสเทวเถระ กล่าวว่า เป็นสจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะมีเวทนา ๓
ฝ่ายพระอุปติสสเถระกล่าวว่า เป็นโลกวัชชะ อกุศลจิต ทุกขเวทนา เพราะ
ท่านอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อกล่าวไว้.
สองบทว่า ปริมณฺฑลํ ปารุปิตพฺพํ มีความว่า ภิกษุไม่ห่มอย่าง
คฤหัสถ์ มีประการมากอย่างนี้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ห่ม
อย่างคฤหัสถ์ เป็นต้น พึงทำมุมทั้ง ๒ ของจีวรให้เสมอกัน ห่มให้เป็นปริ-
มณฑลถูกธรรมเนียมการห่มโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในสิกขาบทนี้นั้นแล. ก็