หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 951 (เล่ม 4)

ในคำว่า อชานนฺตสฺส นี้ มีวินิจฉัยดังนี้:- ภิกษุผู้ไม่รู้ธรรมเนียม
การนุ่งก็ไม่พ้นอาบัติ. อันที่จริงภิกษุพึงเรียนเอาธรรมเนียมการนุ่งให้ดี. การ
ไม่เรียนเอาธรรมเนียมการนุ่งนั้นนั่นเอง จัดเป็นความไม่เอื้อเฟื้อนั้น ควรแก่
ภิกษุผู้แกล้งไม่เรียนเท่านั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุใดแม้เรียนเอาธรรมเนียม
แล้ว ยังไม่รู้จักว่า ผ้านุ่งเลื้อยขึ้น หรือเลื้อยลง, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้น.
แต่ในกุรุนที ท่านกล่าวว่า ภิกษุผู้ไม่รู้เพื่อจะนุ่งให้เป็นปริมณฑล ก็ไม่เป็น
อาบัติ ส่วนภิกษุผู้แข้งลีบก็ดี มีปั้นเนื้อปลี แข็งใหญ่ก็ดี จะนุ่งให้เลื้อยลงจาก
มณฑลเข่าเกินกว่า ๘ องคุลี เพื่อต้องการให้เหมาะสม ก็ควร.
บทว่า คิลานสฺส มีความว่า ภิกษุมีแผลเป็นที่แข้งหรือที่เท้าจะนุ่ง
ให้เลื้อยขึ้น หรือให้เลื้อยลง ควรอยู่.
บทว่า อาปทาสุ มีความว่า เนื้อร้ายก็ดี พวกโจรก็ดี ไล่ติดตาม
มา, ในอันตรายเห็นปานนี้ ไม่เป็นอาบัติ. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้ง
นั้น.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐานดุจปฐมปาราชิก เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์
สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ดังนี้แล.
พระปุสสเทวเถระ กล่าวว่า เป็นสจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะมีเวทนา ๓
ฝ่ายพระอุปติสสเถระกล่าวว่า เป็นโลกวัชชะ อกุศลจิต ทุกขเวทนา เพราะ
ท่านอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อกล่าวไว้.
สองบทว่า ปริมณฺฑลํ ปารุปิตพฺพํ มีความว่า ภิกษุไม่ห่มอย่าง
คฤหัสถ์ มีประการมากอย่างนี้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ห่ม
อย่างคฤหัสถ์ เป็นต้น พึงทำมุมทั้ง ๒ ของจีวรให้เสมอกัน ห่มให้เป็นปริ-
มณฑลถูกธรรมเนียมการห่มโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในสิกขาบทนี้นั้นแล. ก็

951
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 952 (เล่ม 4)

สิกขาบททั้ง ๒ นี้ตรัสไว้โดยไม่แปลกกัน. เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงนุ่งและพึงห่ม
ให้เป็นปริมณฑลนั่นแหละ ทั้งในวัดทั้งในละแวกบ้าน ฉะนี้แล. สมุฏฐาน
เป็นต้น พร้อมทั้งเถรวาท บัณฑิตพึงทราบ โดยนัยดังได้กล่าวแล้ว ใน
สิกขาบทก่อนนั่นแล.
สองบทว่า กายํ วิวริตฺวา คือ เปิดเข่าบ้าง อกบ้าง.
บทว่า สุปฏิจฺฉนฺเนน มีความว่า ไม่ใช่ว่าห่มคลุมศีรษะ, ตาม
ความจริง ภิกษุพึงห่มกลัดลูกดุมแล้ว เอาชายอนุวาตทั้ง ๒ ข้างปิดคอจัดมุม
ทั้ง ๒ (แห่งจีวร) ให้เสมอกัน ม้วนเข้ามาปิดจนถึงข้อมือแล้ว จึงไปในละแวก
บ้าน.
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ พึงทราบว่า:- ภิกษุพึงนั่งเปิดศีรษะตั้งแต่
หลุมคอ เปิดมือทั้ง ๒ ตั้งแต่ข้อมือ เปิดเท้าทั้ง ๒ ทั้งแต่เนื้อปลีแข้ง ( ใน
ละแวกบ้าน).
บทว่า วาสูปคตสฺส มีความว่า ภิกษุผู้เข้าไปเพื่อต้องการอยู่พักถึง
จะนั่งเปิดกายในกลางวัน หรือกลางคืน ก็ไม่เป็นอาบัติ.
บทว่า สุสํวุโต ได้แก่ ไม่คะนองมือ หรือเท้า ความว่า เป็นผู้
เรียบร้อย (ฝึกหัดมาดี).
บทว่า โอกฺขิตฺตจกฺขุ คือ เป็นผู้มีจักขุทอดลงเบื้องต่ำ.
สองบทว่า ยุคมตฺตํ เปกฺขนฺเตน มีความว่า ม้าอาชาไนยตัวฝึก
หัดแล้ว อัน เขาเทียมไว้ที่แอก ย่อมมองดูชั่วแอก คือ แลดูภาคพื้นไปข้าง
หน้าประมาณ ๔ ศอก. ภิกษุแม้นี้ ก็พึงเดินแลดูชั่วระยะประมาณเท่านี้.
ข้อว่า โย อนาทริยํ ปฏิจฺจ ตหํ ตหํ โอโลเกนฺโต มีความ
ว่า ภิกษุใดเดินแลดูทิศาภาค ปราสาท เรือนยอด ถนนนั้น ๆ ไปพลาง,

952
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 953 (เล่ม 4)

ภิกษุนั้นต้องอาบัติทุกกฏ. แต่เพียงจะหยุดยืนในที่แห่งหนึ่ง ตรวจดูว่า ไม่มี
อันตรายจากช้าง ม้าเป็นต้น ควรอยู่. แม้ภิกษุผู้จะนั่ง ก็ควรนั่งมีจักษุทอด
ลงเหมือนกัน.
บทว่า อุกฺขิตฺตกาย คือ มีการเวิกขึ้น. คำนี้เป็นตติยาวิภัตติ ลง
ในลักษณะแห่งอิตถัมภูต. อธิบายว่า เป็นผู้มีจีวรเวิกขึ้นข้างเดียว หรือทั้ง ๒
ข้าง. อันภิกษุอย่าพึงเดินไปอย่างนั้น ตั้งแต่ภายในเสาเขื่อน (ภายในธรณี
ประตู). ในเวลานั่งแล้ว แม้เมื่อจะนำธมกรกออก อย่าเวิกจีวรขึ้นก่อนแล้ว
จึงนำออก ฉะนี้แล.
วรรคที่ ๑ จบ

953
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 954 (เล่ม 4)

วรรคที่ ๒
บทว่า อุชฺชคฺฆิกาย คือ หัวเราะลั่นอยู่. ในบทว่า อุชฺชคฺฆิกาย
นี้ เป็นตติยาวิภัตติ โดยนัยดังได้กล่าวแล้วเหมือนกัน.
ในคำว่า อปฺปสทฺโท อนฺตรฆเร นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :- จัดว่า
เป็นผู้มีเสียงน้อยโดยประมาณขนาดไหน ? บรรดาพระเถระทั้งหลายผู้นั่งใน
เรือนขนาด ๑๒ ศอกอย่างนี้ คือ พระสังฆเถระนั่งข้างต้น พระเถระรูปที่ ๒
นั่งท่ามกลาง พระเถระรูปที่ ๓ นั่งข้างท้าย, พระสังฆเถระปรึกษากับพระเถระ
ที่ ๒. พระเถระรูปที่ ๒ ฟังเสียงและกำหนดถ้อยคำของพระสังฆเถระนั้นได้.
ส่วนพระเถระรูปที่ ๓ ได้ยินเสียงกำหนดถ้อยคำไม่ได้. ด้วยขนาดเพียงเท่านี้จัด
เป็นผู้มีเสียงน้อย. แต่ถ้าว่าพระเถระรูปที่ ๓ กำหนดถ้อยคำได้ ชื่อว่า เป็นผู้
มีเสียงดังแล.
สองบทว่า กายํ ปคฺคเหตฺวา มีความว่า ภิกษุพึงเดินและพึงนั่ง
ไม่โยกโคลง คือ ด้วยกายตรง ด้วยอิริยาบถเรียบร้อย.
สองบทว่า พาหุํ ปคฺคเหตฺวา คือ ทำแขนให้นิ่ง ๆ.
สองบทว่า สีลํ ปคฺคเหตฺวา คือ ตั้งศีรษะไม่เอียงไปเอียงมา ได้แก่
ให้ตรง (ไม่นั่งคอพับ).
วรรคที่ ๒ จบ

954
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 955 (เล่ม 4)

วรรคที่ ๓
การยกมือวางบนสะเอวทำความค้ำ ชื่อว่า ทำความค้ำ.
บทว่า โอคุณฺฐิโต แปลว่า คลุมศีรษะ.
กิริยาที่ภิกษุยกส้นเท้าทั้ง ๒ จดพื้นดินด้วยเพียงปลายเท้าทั้ง ๒ หรือ
เขย่งปลายเท้าทั้ง ๒ จดพื้นดินด้วยเพียงส้นเท้าทั้ง ๒ เดินไป พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า เดินเขย่งเท้าในคำว่า อุกฺกุฏิกาย นี้ ก็ตติยาวิภัตติ ในคำว่า
อุกฺกุฏิกาย นี้ มีลักษณะดังกล่าวแล้วนั่นแหละ. แม้การรัดเข่าด้วยสายโยก
ก็ชื่อว่าการรัดเข่าด้วยผ้าเหมือนกัน ในคำว่า ทุสฺสปลฺลตฺถิกาย นี้.
บทว่า อากีรนฺเตปิ คือ แม้เมื่อเขากำลังถวายบิณฑบาต.
บทว่า สกฺกจฺจํ คือ ตั้งสติไว้.
บทว่า ปตฺตสญฺญี คือ กระทำความสำคัญในบาตร. บิณฑบาตซึ่งมี
กับข้าวประมาณเท่าส่วนที่ ๔ แห่งข้าวสวย ชื่อว่าบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน.
และในมหาปัจจรีท่านกล่าวไว้ว่า แม้แกงที่ปรุงด้วยถั่วพูเป็นต้น ก็ถึง
การสงเคราะห์เข้าในคำว่า มุคฺคสูโป มาสสูโป นี้. กับข้าวมีรสชวนให้ยิน
ดี* แกงผักดอง รสปลาและรสเนื้อเป็นต้นที่เหลือ เว้นกับข้าว ๒ อย่างเสีย
* สารัตถทีปนี ๓/๓๘๖ แก้ว่า โอโลณีติ เอกา พฺพญฺชนวิกติ โย โกจิ สุทฺโธ กญฺชิกตกฺ-
กาทิรโสติ เกจิ. แปลว่า กับข้าวชนิดหนึ่งชื่อว่าโอโลณี. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้แก่ รส
น้ำข้าวและเปรียงเป็นต้นล้วน ๆ ชนิดใดชนิดหนึ่ง. วิมติ : แก้เหมือนกันว่า โอโลณีติ เอกา
พฺพญฺชนวิกติ. กญฺชิกตกุกาทิรโสติ เกจิ.
อตฺถโยชนา ๒/๑๒๔ แก้ว่า อวลิยติ สาทิยตีติ โอโลณิ ลิ สาทเน ณปฺปจฺจโย.
แปลว่า กับข้าวที่ชื่อว่า โอโลณะ ด้วยอรรถว่า น่าอร่อย น่ายินดี ลิธาตุ ลงในอรรถว่า น่า
ยินดีลง ณ ปัจจัย. ผู้ชำระ.

955
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 956 (เล่ม 4)

พึงทราบว่ารสรส (กับข้าวต่างอย่าง) ในคำว่า รสรเส นี้. ไม่เป็นอาบัติ
แก่ภิกษุผู้รับกับข้าวต่างอย่างนั้นแม้มาก.
บทว่า สมติตฺติกํ แปลว่า เต็มเสมอ คือเพียบเสมอ.
ในคำว่า ถูปีกตํ ปิณฺฑปาตํ ปฏิคฺคณฺหาติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส
นี้ ความว่า บิณฑบาต ที่ภิกษุทำให้ล้นรอยขอบภายในปากบาตรขึ้นมา ชื่อ
ว่า ทำให้พูนล้นบาตร คือ เพิ่มเติม แต่งเสริมให้เต็มแปล้ในบาตร. ภิกษุไม่
รับบิณฑบาตที่ทำอย่างนั้น พึงรับพอประมาณเสมอรอยภายในขอบปากบาตร.
ในคำว่า ถูปีกตํ นั้น พระอภัยเถระกล่าวว่า ที่ชื่อว่าทำให้ล้นบาตร
ได้แก่ทำ (ให้ล้นบาตร) ด้วยโภชนะทั้ง ๕. แต่พระจูฬนาคเถระผู้ทรงไตร
ปิฏกกล่าวสูตรนี้ว่า ยาคูก็ดี ภัตก็ดี ขาทนียะก็ดี ก้อนแป้งก็ดี ไม้ชำระฟัน
ก็ดี ด้ายชายผ้าก็ดี ชื่อว่าบิณฑบาต แล้วกล่าวว่า แม้ด้ายชายผ้าทำให้พูนเป็น
ยอดดุจสถูป ก็ไม่ควร.
พวกภิกษุฟังคำของพระเถระเหล่านั้นแล้ว ไปยังโรหณชนบทเรียน
ถามพระจูฬสุนนเถระว่า ท่านขอรับ บิณฑบาตล้นบาตร กำหนด้วยอะไร ?
และได้เรียนบอกให้ทราบวาทะของพระเถระเหล่านั้น .
พระเถระได้ฟังแล้วกล่าวว่า จบละ ! พระจูฬนาค ได้พลาดจาก
ศาสนา, โอ ! พระจูฬนาคนั้น ได้ให้ช่องทางแก่ภิกษุเป็นอันมาก, เราสอน
วินัยให้แก่พระจูฬนาคนี้ถึง ๗ ครั้ง ก็ไม่ได้กล่าวอย่างนี้สักครั้ง, พระจูฬนาค
นี้ได้มาจากไหน จึงกล่าวอย่างนี้.
พวกภิกษุขอร้องพระเถระว่า โปรดบอกในบัดนี้เถิด ขอรับ ! (บิณ-
ฑบาตล้นบาตร) กำหนดด้วยอะไร ? พระเถระกล่าวว่า กำหนดด้วยยาวกาลิก
ผู้มีอายุ ! เพราะฉะนั้น ยาคูก็ดี ภัตก็ดี ผลาผลก็ดี ที่เป็นอามิสอย่างใดอย่างหนึ่ง

956
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 957 (เล่ม 4)

ภิกษุพึงรับเสมอ (ขอบบาตร) เท่านั้น. ก็แลยาคูและภัต หรือผลาผลนั้น
พึงรับเสมอ (ขอบบาตร) ด้วยบาตรที่ควรอธิษฐาน, แต่ด้วยบาตรนอกนี้รับ
ให้ล้นขึ้นมาแม้เป็นเหมือนยอดสถูปก็ควร. ส่วนยามกาลิก สัตตาหกาลิก และ
ยาวชีวิก รับให้ล้นเหมือนยอดสถูปแม้ด้วยบาตรควรอธิษฐานก็ได้. ภิกษุรับ
ภัตตาหารด้วยบาตร ๒ ใบ บรรจุให้เต็มใบหนึ่งแล้วส่งไปยังวิหาร ควรอยู่.
แต่ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ของกินมีขนม ลำอ้อย ผลไม้น้อยใหญ่เป็นต้นที่เขา
บรรจุลงในบาตรพร่องอยู่แต่ข้างล่าง ไม่ชื่อว่าทำให้ล้นบาตร.
พวกชาวบ้านถวายบิณฑบาต วางกระทงขนมไว้ (ข้างบน) จัดว่า
รับล้นบาตรเหมือนกัน. แต่พวงดอกไม้ และพวงผลกระวานผลเผ็ดร้อน (พริก)
เป็นต้น ที่เขาถวายวางไว้ (ข้างบน) ไม่จัดว่ารับล้นบาตร. ภิกษุรับเต็มแล้ววาง
ถาด หรือใบไม้ข้างบนข้าวสวย ไม่ชื่อว่ารับล้นบาตร. แม้ในกุรุนทีก็กล่าวไว้
ว่า พวกทายกใส่ข้าวสวยลงบนถาดหรือบนใบไม้แล้ว วางถวายถาดหรือใบไม้
แล้ว วางถวายถาดหรือใบไม้นั้นบนที่สุดบาตร (บนฝาบาตร), ภาชนะแยกกัน
ควรอยู่. ภิกษุอาพาธไม่มีมาในอนาปัตติวารในสิกขาบทนี้ . เพราะฉะนั้น
โภชนะที่ทำให้เป็นยอดดุจสถูป (ที่รับล้นบาตร) ไม่ควรแม้แก่ภิกษุอาพาธ.
จะรับประเคนพร่ำเพรื่อในภาชนะทั่วไป ก็ไม่ควร. แต่โภชนะที่รับประเคนไว้
แล้ว จะรับประเคนใหม่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงฉัน ควรอยู่ฉะนี้แล.
วรรคที่ ๓ จบ

957
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 958 (เล่ม 4)

วรรคที่ ๔
แม้ในคำว่า สกฺกจฺจํ นี้ ก็เป็นอาบัติ เพราะรับโดยไม่ได้เอื้อเฟื้อ
เหมือนกัน. แต่ของที่รับ ไว้เป็นอันรับประเคนแล้วแล.
บทว่า สกฺกจฺจํ และบทว่า ปตฺตสญฺญี ทั้ง ๒ มีนัยดังกล่าวแล้ว
นั่นแหละ.
บทว่า สปทานํ ได้แก่ ตามลำดับไม่ทำให้ลักลั่นในบิณฑบาตนั้นๆ.
คำที่ควรจะกล่าวในบิณฑบาตมีสูปะเสมอกัน มีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน
บทว่า ถูปโต คือ แต่ยอด. ความว่า แต่ท่ามกลาง.
สองบทว่า ปฏิจฺฉาเทตฺวา เทนฺติ มีความว่า พวกเจ้าของหมก
กับข้าวไว้ถวายในสมัยห้ามฆ่าสัตว์เป็นต้น. ในเรื่องวิญญัตติไม่มีคำที่จะพึง
กล่าว แม้ในอุชฌานสัญญีสิกขาบทนี้ ภิกษุอาพาธก็ไม่พ้น
สองบทว่า นาติมหนฺโต กวโฬ มีความว่า ฟองไข่นกยงใหญ่เกิน
ไป ฟองไข่ไก่ ก็เล็กเกินไป, คำข้าวมีประมาณขนาดกลางระหว่างฟองไข่นก
ยูงและไข่ไก่นั้น (ชื่อว่าคำข้าวไม่ใหญ่เกินไป).
บัณฑิตพึงถือเอาขาทนียะทุกอย่างมีมูลขาทนียะเป็นต้น ในคำว่า
ขชฺชเก นี้.
วรรคที่ ๔ จบ

958
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 959 (เล่ม 4)

วรรคที่ ๕
บทว่า อนาหเฏ คือ ยังนำมาไม่ถึง. ความว่า ยังไม่ทันถึงช่องปาก.
สองบทว่า สพฺพํ หตฺถํ ได้แก่ นิ้วมือทุกนิ้ว.
ในบทว่า สกวเฬน นี้ มีวินิจฉัย ดังนี้:- ภิกษุกำลังแสดงธรรมใส่
สมอ หรือชะเอมเครือเข้าปาก แสดงธรรมไปพลาง, คำพูดจะไม่ขาดหายไป
ด้วยชิ้นสมอเเป็นต้นเท่าใด, เมื่อชิ้นสมอเป็นต้นเท่านั้นยังมีอยู่ในปาก จะพูด
ก็ควร.
บทว่า ปิณฺฑุกฺเขปกํ คือ ฉันเดาะคำข้าว ๆ.
บทว่า กวฬาวจฺเฉทกํ คือ ฉันกัดคำข้าว ๆ.
บทว่า อวคณฺฑการกํ ได้แก่ ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ยดุจลิง.
บทว่า หตฺถนิทฺธูนกํ คือ ฉันสลัดมือ ๆ.
บทว่า สิตฺถาวการกํ คือ ฉันโปรยเม็ดข้าว ๆ.
บทว่า ชิวฺหานิจฺฉารกํ คือ ฉันแลบลิ้น ๆ.
บทว่า จปุจปุการกํ ได้แก่ ฉันทำเสียงดังอย่างนี้คือ จับ ๆ.
วรรคที่ ๕ จบ

959
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 960 (เล่ม 4)

วรรคที่ ๖
บทว่า สุรุสุรุการกํ ได้แก่ ฉันทำเสียงดังอย่างนี้ คือ ซูด ๆ.
บทว่า ทโว คือ คำตลกคะนอง. อธิบายว่า ภิกษุไม่พึงเปล่งคำพูด
ตลกคะนองนั้น ปรารภพระรัตนตรัยโดยปริยายไร ๆ โดยนัยเป็นต้นว่า พระ
พุทธหิน พระพุทธปลอม, พระธรรมอะไร ? พระธรรมโค พระธรรมแพะ
พระสงฆ์อะไร ? หมู่เนื้อ หมู่ปศุสัตว์ เป็น.
บทว่า หตฺถนิลฺเลหกํ คือ ฉันเลียมือ ๆ. จริงอยู่ ภิกษุผู้กำลังฉัน
จะเลียแม้เพียงนิ้วมือ ก็ไม่ควร. แต่ภิกษุจะเอานิ้วมือทั้งหลายหยิบยาคูแข้น
น้ำอ้อยงบ และข้าวปายาสเป็นต้น แล้วสอดนิ้วมือเข้าในปากฉัน ควรอยู่.
แม้ในการฉันขอดบาตรเลียริมฝีปากเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. เพราะฉะนั้น
ภิกษุไม่ควรเอานิ้วมือ แม้นิ้วเดียวขอดบาตร. แม้ริมฝีปากข้างหนึ่ง ก็ไม่ควร
เอาลิ้นเลีย. แต่จะเอาเฉพาะเนื้อริมฝีปากทั้ง ๒ ข้างคาบแล้วขยับ ให้เข้าไปภาย
ในปากควรอยู่.
บทว่า โกกนุเท คือ ในปราสาทมีชื่ออย่างนี้. ดอกบัว เรียกกันว่า
โกกนุท. ก็ปราสาทนั้น อันนายช่างทำให้มีสัณฐานคล้ายดอกบัว. ด้วยเหตุ
นั้น ชนทั้งหลายจึงตั้งชื่อให้ปราสาทนั้นว่า โกกนุท นั่นเทียว.
คำว่า ไม่รับโอน้ำด้วยมือ ที่เปื้อนอามิส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ห้ามด้วยอำนาจแห่งความน่าเกลียด. เพราะฉะนั้น สังข์ก็ดี ขันน้ำก็ดี ภาชนะ
ก็ดี เป็นของสงฆ์ก็ตาม เป็นของบุคคลก็ตาม เป็นของคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นของ
ส่วนตัวก็ตาม ไม่ควรเอามือเปื้อนอามิสจับทั้งนั้น. เมื่อจับ เป็นทุกกฏ แต่
ถ้าว่า บางส่วนของมือ ไม่ได้เปื้อนอามิส, จะจับโดยส่วนนั้น ควรอยู่.

960