หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 492 (เล่ม 60)

เต็ม ๕๐๐ เล่มเกวียน แต่ว่าบัดนี้พวกนี้พูดกันว่า จักตัดต้นไม้เสียทั้งโคนเลย
ละโมบเหลือเกิน ควรที่เราจะฆ่าเสียให้หมดเว้นแต่นายกองเกวียน. พญานาค
นั้นจึงตระเตรียมเสนา สั่งว่า ทหารหุ้มเกราะจำนวนเท่านี้ จงเคลื่อนออกไป
ทหารแม่นธนูจำนวนเท่านี้ จงเคลื่อนออกไป ทหารโล่จำนวนเท่านี้ จงเคลื่อน
ออกไป.
พระศาสดาเมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
ต่อจากนั้น นาคทั้งหลายก็พากันออกไป พวก
สวมเกราะ ๒๕ พวกถือธนู ๓๐๐ พวกถือโล่ ๖,๐๐๐ นาย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนทฺธา คือพวกที่คลุมร่างกายด้วย
เกราะหนึ่งอันประดับด้วยทองและแก้วเป็นต้น. บทว่า ธนุคฺคหานํ ติสตา
ความว่า พวกทหารที่ถือธนูอันทำด้วยเขาแกะมีประมาณ ๓๐๐. บทว่า จมฺมิโน
คือ พวกทหารที่ถือแผ่นโล่ทำด้วยหนังมีประมาณ ๖,๐๐๐ นาย.
ท่านทั้งหลายจงจับพวกนี้มัดฆ่าเสีย อย่าไว้ชีวิต
เลย เว้นไว้แต่นายกองเกวียนเท่านั้น นอกนั้นจง
สังหารมันทุกคนให้เป็นภัสมธุลีไป.
นี้เป็นคาถาที่พญานาคกล่าว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา โว มุญฺจิตฺถ ชีวิตํ ความว่า
ท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยชีวิตแก่ใคร ๆ แม้สักคนเดียวเลย.
นาคทั้งหลาย กระทำตามนั้น แล้วขนเอาสิ่งของมีเครื่องปูลาดชนิดดี ๆ
เป็นต้น บรรทุกเกวียน ๕๐๐ เล่ม ชวนนายกองเกวียนพากันขับเกวียนเหล่านั้น
ด้วยตนเองไปสู่กรุงพาราณสี เก็บทรัพย์ทั้งปวงไว้ในกองเกวียนของท่านแล้ว
ชวนกันอำลาท่านไปสู่นาคพิภพของตนดังเดิม.

492
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 493 (เล่ม 60)

พระศาสดา ทรงทราบเนื้อความนั้น จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายว่า
เพราะเหตุนั้นแหละ บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อ
พิจารณาถึงประโยชน์ของตน ไม่ควรลุอำนาจแห่ง
ความโลภ พึงกำจัดใจอันประกอบด้วยความโลภเสีย
ภิกษุรู้โทษอย่างนี้และรู้ตัณหาว่าเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์
พึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีความถือมั่น พึงเป็นผู้
มีสติละเว้นโดยรอบเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะเหตุที่พวกพ่อค้า
ที่ลุอำนาจความโลภพากันถึงความวอดวายอย่างใหญ่หลวง อธิบายว่า นายกอง
เกวียนบรรลุสมบัติอันอุดม. บทว่า หเนยฺย ทิสกํ มนํ ความว่า บัณฑิต
พึงกำจัดใจ คือ จิตที่ประกอบด้วยโลภะที่เป็นของฝูงสัตว์ผู้มีความโลภมีอย่าง
ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตน. บทว่า เอวนาทีนวํ ความว่า ภิกษุทราบโทษในความ
โลภอย่างนี้แล้ว. บทว่า ตณฺหา ทุกฺขสฺส สมฺภวํ ความว่า และทราบว่าตัณหา
นั้นเป็นเหตุเกิดพร้อมแห่งทุกข์มีชาติเป็นต้น คือ ทุกข์นั้นเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
เพราะตัณหานั้น ตัณหานั่นแหละเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์อย่างนี้ ภิกษุรู้แล้ว พึง
ระลึกไว้ด้วยสติอันมาแล้วโดยมรรคเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีความยึดมั่นถือ
มั่น. บทว่า ปริพฺพเช ความว่า พึงประพฤติอิริยาบถ. พระศาสดาทรงถือ
เอายอดเทศนาด้วยพระอรหัต.
ก็และครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก
ทั้งหลาย พวกพ่อค้าที่ลุอำนาจความโลภ พากันถึงความพินาศใหญ่หลวงใน
ปางก่อนอย่างนี้ เหตุนั้น พึงเป็นผู้ไม่ลุอำนาจความโลภทั่วกัน ตรัสประกาศ
สัจจะทั้งหลาย เมื่อจบสัจจะพ่อค้าเหล่านั้นพากันดำรงในโสดาปัตติผล แล้วทรง
ประชุมชาดกว่า พญานาคในครั้งนั้นได้มาเป็นสารีบุตร ส่วนนายกองเกวียน
ได้มาเป็นเราตถาคตแล.
จบอรรถกถามหาวาณิชชาดก

493
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 494 (เล่ม 60)

๑๑. สาธินราชชาดก
ว่าด้วยพระเจ้าวิเทหราชประพาสดาวดึงส์
[๑๙๙๔] อัศจรรย์จริงหนอ ขนพองสยองเกล้า
เกิดขึ้นแล้วในโลก รถทิพย์ได้ปรากฏแก่พระเจ้า
วิเทหราชผู้เรืองยศ.
[๑๙๙๕] มาตลีเทพบุตรเทพสารถีผู้มีฤทธิ์มาก
ได้เชื้อเชิญพระเจ้าวิเทหราชผู้ครองมิถิลานครว่า ข้าแต่
พระราชาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ทั่วทิศ
ขอเชิญพระองค์เสด็จขึ้นทรงรถนี้เถิด ด้วยว่าทวยเทพ
ชนดาวดึงส์พร้อมด้วยสมเด็จอมรินทราธิราช ใคร่จะ
เห็นพระองค์ ทวยเทพเหล่านั้น ประชุมพร้อมกันอยู่
ณ สุธรรมาเทวสภา ลำดับนั้นแล พระเจ้าวิเทหราช
พระนามว่าสาธินะ ผู้ครองมิถิลานคร เสด็จทรงรถ
อันเทียมด้วยม้าพันหนึ่งได้เสด็จไปยังสำนักของเทวดา
ทั้งหลาย (พระมหาราชาทรงประทับยืนบนทิพยาน
อันเทียมด้วยม้าพันหนึ่ง ซึ่งม้าพาลากไป เสด็จไปอยู่
ได้ทอดพระเนตรเห็นเทวสภานี้) ทวยเทพเห็นพระ-
ราชาเสด็จมาดังนั้น ก็พากันชื่นชมยินดีกระทำ
ปฏิสัณฐานเชื้อเชิญว่า ข้าแต่พระมหาราชา พระองค์
เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง ชื่อว่าพระองค์มิได้เสด็จมาร้าย
ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหาคุณใหญ่ ขอพระองค์ทรง

494
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 495 (เล่ม 60)

ประทับใกล้ ๆ กับท้าวเทวราชเสียแต่บัดนี้เถิด ฝ่าย
ท้าววาสวสักกเทวราชทรงชื่นชมยินดี เชื้อเชิญพระเจ้า
สาธินราชผู้ครองมิถิลานครด้วยทิพยกามารมณ์และ
อาสนะว่า ข้าแต่พระราชฤาษี เป็นการดีแล้วที่พระองค์
เสด็จมาถึงที่อยู่ของทวยเทพ ผู้บันดาลให้เป็นไปใน
อำนาจได้ ขอเชิญพระองค์ประทับอยู่ในหมู่ทวยเทพ
ผู้ให้สำเร็จทิพยกามารมณ์ทุกอย่าง ขอเชิญพระองค์
ทรงเสวยกามคุณ อันมิใช่ของมนุษย์ในหมู่ทวยเทพ
ชาวดาวดึงส์เถิด.
[๑๙๙๖] ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าจอมเทพ
เมื่อก่อนหม่อมฉันมาถึงสวรรค์แล้ว ย่อมยินดีด้วยการ
ฟ้อนรำขับร้องและเครื่องประโคมทั้งหลาย บัดนี้
หม่อมฉันไม่ยินดีอยู่ในสวรรค์เลย จะหมดอายุ หรือ
ใกล้จะตายหรือว่าหม่อมฉันหลงใหลไป.
[๑๙๙๗] ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้ากว่านรชน
ผู้ประเสริฐ พระชนมายุของพระองค์ยังไม่หมดสิ้น
ความสิ้นพระชนม์ก็ยังห่างไกล อนึ่ง พระองค์จะได้
ทรงหลงใหลไปก็หาไม่ แต่ว่าวิบากแห่งบุญกุศลของ
พระองค์ ที่ได้ทรงเสวยในเทวโลกนี้มีน้อยไป ข้าแต่
พระราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ทั่วทิศ ขอเชิญ
พระองค์ประทับอยู่ เสวยกามคุณอันมิใช่ของมนุษย์
ในหมู่ทวยเทพชาวดาวดึงส์ ด้วยเทวานุภาพต่อไปเถิด.

495
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 496 (เล่ม 60)

[๑๙๙๘] ขอยืมยานเขามาขับ ขอยืมทรัพย์เขามา
ใช้ฉันใด การที่ได้เสวยความสุข เป็นความสุขที่ผู้อื่น
ยื่นให้ ก็เปรียบกันได้ฉะนั้นแล ก็แลการได้เสวย
ความสุข โดยเป็นความสุขที่ผู้อื่นยื่นให้ หม่อมฉัน
ไม่ปรารถนาเลย บุญทั้งหลายอันหม่อมฉันทำเองแล้ว
นั้น ย่อมเป็นทรัพย์อันอาจติดตามหม่อมฉันไปได้
หม่อมฉันไปในมนุษยโลกแล้ว จักได้ทำกุศลให้มาก
ที่บุคคลกระทำแล้วได้รับความสุข และไม่ต้องเดือดร้อน
ในภายหลัง ด้วยทาน ด้วยการประพฤติสม่ำเสมอ
ด้วยการสำรวม ด้วยการฝึกตน.
[๑๙๙๙] ที่ตรงนี้เป็นไร่นา ที่ตรงนี้ตรงร่องน้ำ
ตรงดี ที่ตรงนี้เป็นภูมิภาค มีหญ้าแพรกเขียวสะพรั่ง
ที่ตรงนี้เป็นแม่น้ำไหลอยู่ไม่ขาดสาย ที่ตรงนี้เป็น
สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์ มีฝูงนกจักรพรากร้องเสียง
ระงม เปี่ยมไปด้วยน้ำใสสะอาด ดารดาษไปด้วยดอก
ปทุมและดอกอุบล พวกเข้าเฝ้าและนักสนมพากันยึด
ถือสถานเหล่านี้ว่าเป็นของเรา เขาเหล่านั้นพากันไป
เสียทิศทางใดหนอ ดูก่อนพ่อนารทะ ไร่นาเหล่านั้น
ภูมิภาคตรงนั้น และอุปจารแห่งสวนและป่าไม้ยังคงมี
อยู่ดังเดิม เมื่อเราไม่เห็นหมู่ชนเหล่านั้น ทิศทั้งหลาย
ก็ปรากฏว่าว่างเปล่าแก่เรา.

496
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 497 (เล่ม 60)

[๒๐๐๐] วิมานทั้งหลายอันโอภาสทั่วทั้งสี่ทิศ
ฉันได้เห็นแล้วเฉพาะพระพักตร์ของท้าวสักกเทวราช
และเฉพาะหน้าของทวยเทพชาวไตรทศ ภพที่ฉันอยู่ก็
เป็นทิพย์ กามทั้งหลายอันมิใช่ของมนุษย์ฉันได้บริโภค
แล้ว ในทวยเทพชาวไตรทศ ภพที่ฉันอยู่ก็เป็นทิพย์
กามทั้งหลายอันมิใช่ของมนุษย์ฉันได้บริโภคแล้ว ใน
ทวยเทพชาวดาวดึงส์ ผู้ให้สำเร็จสิ่งที่น่าปรารถนา
ทุกอย่าง ฉันนั้นละสมบัติเช่นนั้นเสียแล้วมาในมนุษย-
โลกนี้ เพื่อต้องการทำบุญเท่านั้น ฉันจักประพฤติแต่
ธรรมเท่านั้น ฉันไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ
ฉันจัดดำเนินไปตามทางที่ท่านผู้ไม่มีอาชญาพากันท่อง
เที่ยวไป อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ซึ่ง
เป็นทางสำหรับไปของท่านผู้มีวัตรงามทั้งหลาย.
จบสาธินราชชาดกที่ ๑๑

497
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 498 (เล่ม 60)

อรรถกถาสาธินราชชาดก
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
พวกอุบาสกรักษาอุโบสถ ตรัสเรื่องนี้มีคำขึ้นต้นว่า อพฺภูโต วต โลกสฺมึ
ดังนี้.
มีเรื่องย่อว่า ครั้งนั้นพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย บัณฑิต
แต่ครั้งก่อน อาศัยอุโบสถกรรมของตน ไปสู่เทวโลกอยู่สิ้นกาลนานด้วยสรีระ
แห่งมนุษย์นั่นแล ทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามสาธินะ ทรงครองราชสมบัติโดย
ธรรม ณ พระนครมิถิลา ท้าวเธอได้สร้างโรงทานไว้ ๖ แห่ง คือ ที่ประตู
พระนครทั้ง ๔ ที่กลางพระนคร และที่ประตูราชนิเวศน์ ทรงบำเพ็ญ
มหาทาน กระทำชมพูทวีปทุกแห่งหน ให้เก็บไถได้ พระราชทานทรัพย์
ประมาณหกแสนกระษาปณ์ เป็นราชทรัพย์ที่ทรงใช้จ่ายทุก ๆ วัน ทรง
รักษาศีล ๕ ทรงถืออุโปสถ. ชาวแว่นแคว้นเล่าก็พากันตั้งอยู่ในโอวาทของท้าว
เธอ ต่างกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น ตายแล้ว ๆ บังเกิดในเมืองเทวดาทั้งนั้น
ฝูงเทพพากันนั่งแน่นเทวสภาชื่อสุธรรมา ต่างพรรณนาพระคุณมีศีลเป็นต้นของ
พระราชาเท่านั้น. เทพที่เหลือฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็มีปรารถนาที่จะเห็นพระราชา
ไปตาม ๆ กัน. ท้าวสักกเทวราช ทรงทราบใจของเทพเหล่านั้น ตรัสว่า
พวกเธอปรารถนาจะเห็นพระเจ้าสาธินราชหรือ พวกเทพพากันกราบทูลว่า
พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้เป็นเทพเจ้า. ท้าวเธอจึงตรัสสั่งเทพบุตรมาตลีว่า เธอ
จงไปจัดเวชยันตรถ รับพระเจ้าสาธินราชมา. เทพบุตรมาตลีรับเทวบัญชาว่า
สาธุ แล้วจัดรถไปสู่แคว้นวิเทหะ ครั้งนั้นเป็นวันเพ็ญ เวลาที่พวกมนุษย์บริโภค

498
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 499 (เล่ม 60)

อาหารเย็นแล้วนั่งสนทนากันด้วยสุขกถาที่ประตูเรือน มาตลีเทพบุตรก็ขับรถ
พร้อมกับจันทรมณฑล. ฝูงชนพากันกล่าวว่า พระจันทร์ขึ้นสองดวง แต่ครั้น
เห็นทั้งรถทั้งจันทรมณฑลวิ่งมาพากันชื่นชมโสมนัสว่า นี่ไม่ใช่ดวงจันทร์ นี่เป็น
รถ ทั้งเทพบุตรก็ปรากฏ รถทิพย์เทียมด้วยสินธพมโนมัยคันนี้มารับใคร ไม่มี
คนอื่นละ ต้องเป็นพระราชาของพวกเรา เพราะว่าพระราชาของพวกเรา
ทรงธรรมเป็นพระธรรมราชา แล้วต่างยืนประครองอัญชลี กล่าวคาถาเป็น
ปฐมว่า
อัศจรรย์จริงหนอ ขนพองสยองเกล้าเกิดขึ้น
แล้วในโลก รถทิพย์ได้ปรากฏแก่พระเจ้าวิเทหราชผู้
เรืองยศ.
คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายว่า พระจอมวิเทหะผู้เรืองพระยศ ราชา
ของพวกเรานั้นเป็นผู้น่าอัศจรรย์ จริงละ ความขนพองสยองเกล้าเกิดแล้วในโลก
ตรงที่รถทิพย์ปรากฏเพื่อพระองค์.
มาตลีเทพบุตรนำรถมาถึง เมื่อฝูงชนพากันบูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น
ก็กระทำประทักษิณพระนคร ๓ รอบ แล้วไปสู่ทวารวังของพระราชากลับรถจอดไว้
ใกล้ธรณีช่องพระแกลทางส่วนด้านหลัง ยืนเตรียมรับเสด็จ วันนั้นเล่าพระราชา
ตรวจโรงทาน ตรัสสั่งว่า สูทั้งหลายจงให้ทานโดยทำนองนี้ทีเดียว ทรงสมา
ทานอุโบสถ ประทับยับยั้งอยู่ตลอดวัน มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ประทับนั่งผัน
พระพักตร์เฉพาะช่องพระแกลด้านตะวันออก ตรัสกถาอันประกอบด้วยธรรม
อยู่ ณ ท้องพระโรงอันอลงกต. ครั้งนั้นมาตลีเทพบุตร ก็ทูลเชิญพระองค์
เสด็จขึ้นสู่รถ พาไป.

499
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 500 (เล่ม 60)

พระศาสดา เมื่อทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
มาตลีเทพบุตรเทพสารถีผู้มีฤทธิ์มาก ได้เชื้อเชิญ
พระเจ้าวิเทหราชผู้ครองมิถิลานครว่า ข้าแต่พระราชา
ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ผู้เป็นใหญ่ทั่วทิศ ขอเชิญ
พระองค์เสด็จทรงรถนี้เถิด ด้วยว่าทวยเทพชั้นดาวดึงส์
พร้อมด้วยสมเด็จอมรินทราธิราช ใคร่จะเห็นพระองค์
ทวยเทพเหล่านั้น ประชุมพร้อมกันอยู่ ณ สุธรรมา
เทวสภา ลำดับนั้นแล พระเจ้าวิเทหราชพระนามว่า
สาธินะ ผู้ครองมิถิลานคร เสด็จทรงรถอันเทียมด้วย
ม้าพันหนึ่ง ได้เสด็จไปยังสำนักเทวดาทั้งหลาย (พระ-
มหาราชาทรงประทับยืนบนทิพยาน อันเทียมด้วยม้า
พันหนึ่งซึ่งม้าลากไป เสด็จไปอยู่ ได้ทอดพระเนตร
เห็นเทวสภานี้) ทวยเทพเห็นพระราชาเสด็จมาดังนั้น
ก็พากันชื่นชมยินดี กระทำปฏิสัณฐารเชื้อเชิญว่า ข้าแต่
พระมหาราชา พระองค์เสด็จมาดีแล้ว อนึ่ง ชื่อว่า
พระองค์มิได้เสด็จมาร้าย ข้าแต่พระราชาผู้แสวงหา
คุณใหญ่ ขอพระองค์ทรงประทับใกล้ ๆ กับท้าวเทวราช
เสียแต่บัดนี้เถิด ฝ่ายท้าววาสวสักกเทวราวชทรงชื่นชม
ยินดี เชื้อเชิญพระเจ้าสาธินราชผู้ครองมิถิลานครด้วย
ทิพยกามารมณ์และอาสนะว่า ข้าแต่พระราชฤาษี
เป็นการดีแล้วที่พระองค์เสด็จมาถึงที่อยู่ของทวยเทพ
ผู้บันดาลให้เป็นไปในอำนาจได้ ขอเชิญพระองค์

500
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ – หน้าที่ 501 (เล่ม 60)

ประทับอยู่ในหมู่ทวยเทพ ผู้ให้สำเร็จทิพยกามารมณ์
ทุกอย่าง ขอเชิญพระองค์ทรงเสวยกามคุณ อันมิใช่
ของมนุษย์ในหมู่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์เถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมจฺฉเร แปลว่า ย่อมปรารถนา. บทว่า
อคา เทวาน สนฺติเก ความว่า ได้ครรไลไป ณ สำนักแห่งหมู่เทพ แท้
จริงเมื่อพระเจ้าสาธินราชเสด็จรถประทับเรียบร้อยแล้ว รถก็ออกแล่นไปสู่อากาศ
แล้วหายวับไปทั้ง ๆ ที่มหาชนกำลังแหงนดูอยู่นั่นแล เทพบุตรมาตลีนำเสด็จ
พระราชาสู่เทวโลก. หมู่เทวดาและท้าวสักกะเห็นท้าวเธอต่างร่างเริงดีใจพากัน
ลุกขึ้นรับกระทำปฏิสันถาร เพื่อแสดงความข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระ
คาถามีคำว่า ตํ เทวา เป็นอาทิ. ในพระคาถานั้น บทว่า ปฏินนฺทึสุ ความว่า
ยินดีเนือง ๆ. บทว่า อาสเนน จ ความว่า ท้าวสักกะทรงสวมกอดพระราชา
ทรงเชื้อเชิญด้วยบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะว่า เชิญประทับนั่งตรงนี้
และทรงเชื้อเชิญด้วยสิ่งน่าปรารถนาทั้งหลาย แบ่งเทวราชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง
ให้ประทับร่วมอาสนะกัน.
เมื่อพระเจ้าสาธินราชพระองค์นั้น ทรงเสวยราชสมบัติอันท้าวสักก-
เทวราชทรงแบ่งเทพนครมีประมาณหมื่นโยชน์ และนางเทพอัปสรสองโกฏิกึ่ง
กับเวชยันตปราสาทประทานให้ครึ่งหนึ่ง กาลเวลาล่วงไปถึง ๗๐๐ ปี ด้วยการ
นับตามปีมนุษย์ พระองค์ประทับอยู่ในเทวโลกด้วยอัตภาพนั้น. เมื่อเวลา
สิ้นบุญ พระองค์เกิดเบื่อหน่าย เพราะฉะนั้น เมื่อท้าวเธอจะตรัสสนทนากับ
ท้าวสักกะ จึงตรัสพระคาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าจอมเทพ เมื่อ
หม่อมฉันมาถึงสวรรค์แล้ว ย่อมยินดีด้วยการฟ้อนรำ

501