หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 921 (เล่ม 4)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๙๖. ๕๑. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันทำเสียงดัง
ซูดๆ.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันดังซูด ๆ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ
ฉันอาหารทำเสียงดังซูด ๆ ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๒
[๘๕๒] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารเลียมือ. . .
พระบัญญัติ
๑๙๗. ๕๒. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียมือ.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันเลียมือ ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ
ฉันอาหารเลียมือ ต้องอาบัติทุกกฏ.

921
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 922 (เล่ม 4)

อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๓
[๘๕๓] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารขอดบาตร...
พระบัญญัติ
๑๙๘. ๕๓. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันขอดบาตร.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันขอดบาตร ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ
ฉันอาหารขอดบาตร ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ ข้าวสุกเหลือน้อยกวาด
ขอดรวมกันเข้าแล้วฉัน ๑ มีอันตราย ๒ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้อง
อาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๔
[๘๕๔] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ฉันอาหารเลียริมฝีปาก...
พระบัญญัติ
๑๙๙. ๕๔. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก.

922
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 923 (เล่ม 4)

สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงฉันเลียริมฝีปาก ภิกษุใดอาศัยความไม่
เอื้อเฟื้อ ฉันอาหารเลียริมฝีปาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๕
[๘๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่สวนสัตว์
เภสกฬาวัน เขตพระนครสุงสุมารคิระ แขวงภัคคชนบท ครั้งนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายรับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส ในโกกนุทปราสาท ชาวบ้าน
พากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึง
ได้รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม
เล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลาย
จึงได้รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิสเล่า ... แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกภิกษุรับประเคนโอน้ำด้วยมือที่เป็นอามิส จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

923
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 924 (เล่ม 4)

ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวก
โมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิสเล่า การ
กระทำของพวกโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่
ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๒๐๐. ๕๕. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่รับโอน้ำด้วยมือ
เปื้อนอามิส.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุผู้ฉันอาหารไม่พึงรับประเคนโอน้ำ ด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส
ภิกษุใดอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับประเคนโอน้ำด้วยมือข้างที่เปื้อนอามิส ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ รับประเคนด้วยหมายว่า
จักล้างเอง หรือให้ผู้อื่นล้าง ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ

924
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 925 (เล่ม 4)

สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๖
[๘๕๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ที่สวนสัตว์
เภสกฬาวัน เขตพระนครสุงสุมารคิระ แขวงภัคคชนบท ครั้งนั้น ภิกษุ
ทั้งหลายเทน้ำล้างบาตรซึ่งมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน ใกล้โกกนุทปราสาท
ชาวบ้านพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากย-
บุตรจึงได้เทน้ำล้างบาตรซึ่งมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน เหมือนพวกคฤหัสถ์
ผู้บริโภคกามเล่า ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย. ..ต่างก็เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้เทน้ำล้างบาตร ซึ่งมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้านเล่า . . .
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกภิกษุเทน้ำล้างบาตรซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน จริงหรือ.
ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวก
โมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้เทน้ำล้างบาตรซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้านเล่า
การกระทำของพวกโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-

925
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 926 (เล่ม 4)

พระบัญญัติ
๒๐๑. ๕๖. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่เทน้ำล้างบาตร
มีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน.
สิกขาบทวิภังค์
อันภิกษุไม่เทน้ำล้างบาตร ซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน ภิกษุใด
อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เทน้ำล้างบาตรซึ่งยังมีเมล็ดข้าวลงในละแวกบ้าน ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ เก็บเมล็ดข้าวออกแล้ว
จึงเทน้ำล้างบาตร หรือขยี้เมล็ดข้าวให้ละลายแล้วเท หรือเทน้ำล้างบาตรลงใน
กระโถนแล้วนำไปเทข้างนอก ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ
โภชนปฏิสังยุตต์ ๓๐ สิกขาบท จบ
ธรรมเทศนาปฏิสังยุตต์ ๑๖ สิกขาบท
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๗
[๘๕๗] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคล
ผู้กั้นร่ม บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย. . . ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่มเล่า . . . แล้วกราบทูลเรื่อง
นี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

926
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 927 (เล่ม 4)

ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอแสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่ม จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอจึงได้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้กั้นร่มเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่
เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๒๐๒. ๕๗. ก. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดง
ธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ.
ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุ
ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
[๘๕๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายรังเกียจเพื่อจะแสดงธรรม
แก่คนเป็นไข้มีร่มในมือ ชาวบ้านพากันเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงไม่แสดงธรรมแก่คนเป็นไข้ซึ่งมีร่มในมือเล่า
ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

927
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 928 (เล่ม 4)

ทรงอนุญาตให้แสดงธรรมแก่คนไข้
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็น
เค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต
ให้แสดงธรรมแก่คนเป็นไข้มีร่มในมือได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ
๒๐๒. ๕๗. ข. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดง
ธรรมแก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีร่มในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
ที่ชื่อว่า ร่ม ได้แก่ร่ม ๓ ชนิด คือ ร่มผ้าขาว ๑ ร่มลำแพน ๑
ร่มใบไม้ ๑ ที่เย็บเป็นวงกลมผูกติดกับซี่.
ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ ถ้อยคำที่อิงอรรถอิงธรรม เป็นพุทธภาษิต
สาวกภาษิต อิสีภาษิต เทวตาภาษิต.
บทว่า แสดง คือแสดงโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ ทุก ๆ อักขระ.
อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรมแก่บุคคลไม่เป็นไข้ผู้กั้นร่ม ภิกษุใดอาศัย
ความเอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้กั้นร่ม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ

928
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 929 (เล่ม 4)

สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๘
[๘๕๙] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคล
ผู้ถือไม้พลอง. . .
พระอนุบัญญัติ
๒๐๓. ๕๘. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่
บุคคลไม้ใช่ผู้เจ็บไข้มีไม้พลองในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
ที่ชื่อว่า ไม้พลอง ได้แก่ ไม้พลองยาวสี่ศอกของมัชฌิมบุรุษ ยาว
กว่านั้น ไม่ใช่ไม้พลอง สั้นกว่านั้น ก็ไม่ใช่ไม้พลอง.
อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้ถือไม้พลอง ภิกษุใดอาศัย
ความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ถือไม้พลอง ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ด้วย ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๙
[๘๖๐] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคล
ผู้ถือศัสตรา . . .
พระอนุบัญญัติ
๒๐๔. ๕๙. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรม
แก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีศสัตราในมือ.

929
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 930 (เล่ม 4)

สิกขาบทวิภังค์
ที่ชื่อว่า ศัสตรา ได้แก่ วัตถุเครื่องประหารมีคมข้างเดียว มีคม
สองข้าง
อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรม แก่บุคคลผู้ไม่เป็นไข้ผู้ถือศัสตรา ภิกษุใด
อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้ไม่เป็นไข้ ผู้ถือศัสตรา ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
ไม่แกล้ง ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ อาพาธ ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑
อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ
สุรุสุรุวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
[๘๖๑] สาวัตถีนิทาน ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคล
ผู้ถืออาวุธ. . .
พระอนุบัญญัติ
๒๐๕. ๖๐. ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรม
แก่บุคคลไม่ใช่ผู้เจ็บไข้ มีอาวุธในมือ.
สิกขาบทวิภังค์
ที่ชื่อว่า อาวุธ ได้แก่ ปืน เกาทัณฑ์.
อันภิกษุไม่พึงแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ถืออาวุธ ภิกษุใดอาศัย
ความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ มีมือถืออาวุธ ต้องอาบัติทุกกฏ.

930