No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 26 (เล่ม 59)

[๘๔๖] เขาจะเข้าถึงนรกชนิดร้ายกาจ. เหล่า
สัตว์ที่ยังไม่ปราศจากราคะ ในกามทั้งหลาย
ติดแล้วในกายของตน ยังละไม่ได้ ซึ่งที่ที่ไม่
สะอาด ของผู้สะอาดทั้งหลาย ที่เดิมไปด้วย
มูตรและคูถ.
[๘๔๗] สัตว์ทั้งหลายเลอะอุจจาระ เปื้อนเลือด
เลอะไขออกมา เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายถูกต้อง
สิ่งใด ๆ ด้วยกายอยู่ในขณะใด ในขณะนั้น
เอง ก็สัมผัสผองทุกข์ล้วน ๆ ที่ไม่มีความ
แช่มชื่นเลย.
[๘๔๘] อาตมภาพเห็นแล้ว จึงได้ทูลถวายพระ
พร, ไม่ได้ฟังจากผู้อื่น ทูลถวายพระพร แต่
อาตมกาพระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอยู่อาศัยมาเป็น
จำนวนมาก.
จบ ทรีมุขชาดกที่ ๓

26
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 27 (เล่ม 59)

อรรถกถาทรีมุขชาดกที่ ๓
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภ
มหาภิเนษกรมณ์ จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ปงฺโกว กาม ดังนี้
เรื่องในปัจจุบันได้กล่าวไว้แล้ว ในหนหลัง.
ได้ยินว่า พระราชาทรงพระนามว่า มคธราช ครองราช
สมบัติที่อยู่ในนครราชคฤห์. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ ได้ถือกำเนิดใน
พระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระองค์. พระญาติทั้งหลายได้ถวาย
พระนามพระองค์ว่า พรหมทัตกุมาร. ในวันที่พระราชกุมารประสูติ
นั่งเอง ฝ่ายบุตรของปุโรหิต ก็เกิด. ใบหน้าของเด็กนั้น สวยงามมาก
เพราะเหตุนั้นญาติของเขา จึงได้ตั้งชื่อของเด็กนั้นว่า ทรีมุข. กุมาร
ทั้ง ๒ นั้น เจริญเติบโตแล้ว ในราชตระกูลนั้นเอง. ทั้งคู่นั้น
เป็นสหายรักของกัน เวลามีชนมายุ ๑๖ ชันษา ได้ไปยังเมืองตักกศิลา
เรียนศิลปะทุกอย่างแล้ว พากันเที่ยวไปในตามนิคมเป็นต้น ด้วยความ
ตั้งใจว่า จักพากันศึกษาลัทธิทุกลัทธิ และจักรู้จารีตของท้องถิ่นด้วย
ถึงเมืองพาราณสี พักอยู่ที่ศาลเจ้า รุ่งเช้าพากันเข้าไปเมืองพาราณสี
เพื่อภิกษา. ตนในตระกูล ๆ หนึ่ง ในเมืองพาราณสีนั้น ตั้งใจว่า พวก
เราจักเลี้ยงพราหมณ์ แล้วถวายเครื่องบูชา จึงหุงข้าวปายาส แล้วปู
อาสนะไว้. คนทั้งหลายเห็นคนทั้ง ๒ นั้น กำลังเที่ยวภิกขาจาร เข้า
ใจว่า พราหมณ์มาแล้ว จึงให้เข้าไปในบ้าน ปูผาขาวไว้สำหรับพระ-

27
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 28 (เล่ม 59)

มหาสัตว์ ปูผ้ากัมพลแดงไว้สำหรับทรีมุขกุมาร. ทรีมุขกุมารเห็นนิมิตร
นั้นแล้ว รู้ชัดว่า วันนี้สหายของเราจักเป็นพระเจ้าพาราณสี ส่วนเรา
จักเป็นเสนาบดี. ทั้ง ๒ ท่านบริโภค ณ นั้น แล้วรับเอาเครื่องบูชา
กล่าวมงคลแล้วออกไป ได้พากันไปถึงพระราชอุทยานนั้น. ในจำนวน
คนทั้ง ๒ นั้น พระมหาสัตว์บรรทมแล้ว บนแผ่นศิลามงคล ส่วน
ทรีมุขกุมารนั่งนวดพระบาทของพระมหาสัตว์นั้น วันนั้น เป็นวันที่ ๗
แห่งการสวรรคตของพระเจ้าพาราณสี. ปุโรหิต ถวายพระเพลิงพระศพ
แล้ว ได้เสี่ยงบุษยราชรถในวันที่ ๗ เพราะราชสมบัติไม่มีรัชทายาท.
กิจเกี่ยวกับบุษยราชรถ จักมีแจ้งชัด ในมหาชนกชาดก. บุษยราชรถ
ออกจากพระนครไป มีจตุรงคเสนาห้อมล้อม พร้อมด้วยดุริยางค์หลาย
ร้อย ประโคมขัน ถึงประตูพระราชอุทยาน. ครั้งนั้น ทรีมุขกุมาร
ได้ยินเสียงดุริยางค์ แล้วคิดว่า บุษยราชรถมาแล้ว เพื่อสหายของเรา
วันนี้สหายของเราจักเป็นพระราชา แล้วประทานตำแหน่งเสนาบดี
แก่เรา เราจักประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือน เราจักออกบวช ดังนี้
แล้ว จึงไม่ทูลเชิญพระโพธิสัตว์ เลยไปยังที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วได้
ยืนอยู่ในที่กำบัง. ปุโรหิตหยุดรถที่ประตูพระราชอุทยาน แล้วเข้าไปยัง
พระราชอุทยาน เห็นพระโพธิสัตว์บรรทมบนแผ่นศิลามงคล ตรวจดู
ลักษณะที่เท้าลายพระบาท แล้วทราบว่า เป็นคนมีบุญ สามารถครอง
ราชสมบัติ สำหรับมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวารได้

28
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 29 (เล่ม 59)

แต่คนเช่นนี้ คงเป็นคนมีปัญญาเครื่องทรงจำ จ่งได้ประโคมดุริยางค์
ทั้งหมดขึ้น. พระโพธิสัตว์ตื่นบรรทมแล้ว ทรงนำผ้าสาฎกออกจาก
พระพักตร์ ทรงทอดพระเนตรเห็นมหาชน แล้วทรงเอาผ้าสาฎกปิด
พระพักตร์อีก บรรทมหน่อยหนึ่ง ระงับความกระวนกระวาย แล้ว
เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิบนแผ่นศิลา. ปุโรหิตคุกเข่าลงแล้ว
ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ราชสมบัติ กำลังตกถึงพระองค์.
พ. ราชสมบัติไม่มีรัชทายาทหรือ ?
ปุ. ไม่มีพระพุทธเจ้าข้า.
พ. ถ้าอย่างนั้น ก็ดีแล้ว จึงทรงรับไว้.
ประชาชนเหล่านั้น ได้พากันทำการอภิเษก พระโพธิสัตว์นั้น
ที่พระราชอุทยานนั่นอง. พระองค์มิได้ทรงรำลึกถึงทรีมุขกุมาร เพราะ
ความมียศมา. พระองค์เสด็จขึ้นพระราชรถ มีบริวารห้อมล้อม เข้า
ไปสู่พระนคร ทรงการทำปทักษิณ แล้วประทับยืนที่ประตูพระราช-
นิเวศน์นั่นเอง ทรงพิจารณาถึงฐานันดรของอำมาตย์ทั้งหลาย แล้ว
เสด็จขึ้นสู่ปราสาท. ขณะนั้น ทรีมุขกุมาร คิดว่า บัดนี้ พระราชอุทยาน
ว่างแล้ว จึงมานั่งที่ศิลามงคล. ลำดับนั้น ใบไม้เหลืองได้ร่วงลงมา
ข้างหน้าของเขา. เขาเริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมไป ในใบไม้เหลือง
นั้นนั่นเอง พิจารณาไตรลักษณ์ให้แผ่นดินกึกก้องไป พร้อมกับให้พระ-
ปัจเจกโพธิญาณเกิดขึ้น ในขณะนั้นนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ของท่าน ก็

29
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 30 (เล่ม 59)

อันตรธานไป. บาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ก็ล่องลอยมาจากอากาศ
สวมที่สรีระของท่าน. ทันใดนั้นนั่นเอง ท่านก็เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘
สมบูรณ์ด้วยอิริยาบท เป็นเหมือนพระเถระผู้มีพรรษาร้อยพรรษา เหาะ
ไปในอากาศด้วยฤทธิ์ ได้ไปยังเงื้อมนันทมูลกะในท้องถิ่นป่าหิมพานต์.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เสวยราชสมบัติโดยธรรม. แต่เพราะเป็นผู้มียศมาก
จึงทรงเป็นผู้มัวเมาด้วยยศ ไม่ทรงรำลึกถึงทรีมุขกุมาร เป็นเวลาถึง
๔๐ ปี. แต่เมื่อเวลาเลย ๔๐ ปี ผ่านไปแล้ว พระองค์ทรงรำลึกถึงเขา
แล้ว จึงตรัสว่า ฉันมีสหายอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า ทรีมุข เขาอยู่ที่ไหน
หนอ ? ดังนี้แล้ว มีพระราชประสงค์จะพบพระสหายนั้น. จำเดิมแต่
นั้นมา พระองค์ก็ตรัสถามหา ภายในเมืองบ้าง ท่ามกลางบริษัทบ้าง
ว่า ทรีมุขกุมาร สหายของฉันอยู่ที่ไหน ? ผู้ใดบอกที่อยู่ของเขาแก่ฉัน
ฉันจะให้ยศสูงแก่ผู้นั้น. เมื่อพระองค์ทรงระลึกถึงเขาอยู่บ่อย ๆ อย่างนี้
นั่นแหละ ปีอื่น ๆ ได้ผ่านไปถึง ๑๐ ปี. โดยเวลาผ่านไปถึง ๕๐ ปี
แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทรีมุข ทรงรำลึกถึงอยู่ ก็ทรง
ทราบว่า สหายรำลึกถึงเราอยู่แล แล้วทรงดำริว่า บัดนี้ พระโพธิสัตว์
นั้น ทรงพระชรา จำเริญด้วยพระโอรสพระธิดา เราจักไปแสดงธรรม
ถวายให้พระองค์ทรงผนวช ดังนี้แล้ว จึงได้เสด็จมาทางอากาศ ด้วย
ฤทธิ์ ลงที่พระราชอุทยาน นั่งบนแผ่นศิลา เหมือนพระพุทธรูปทองคำ
ก็ปานกัน. เจ้าหน้าที่รักษาพระราชอุทยาน เห็นท่านแล้ว เข้าไปเฝ้า
ทูลถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านมาจากที่ไหน ?

30
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 31 (เล่ม 59)

พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสตอบว่า มาจากเงื้อมเขานันทมูลกะ
จ. ท่านเป็นใคร ?
พ. อาตมภาพ คือพระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า ทรีมุข โยม.
จ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงรู้จักในหลวงของข้า
พระองค์ทั้งหลายไหม ?
พ. รู้จักโยม เวลาเป็นคฤหัสถ์ พระองค์ทรงเป็นสหายของ
อาตมา.
จ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในหลวงมีพระราชประสงค์จะพบ
พระองค์ ข้าพระองค์ จักทูลบอกว่า พระองค์เสด็จมาแล้ว.
พ. เชิญโยม ไปทูลบอกเถิด.
จ. รับพระบัญชาแล้ว รีบด่วนไปทีเดียว ทูลในหลวงถึงความ
ที่พระทรีมุขปัจเจกพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่แผ่นศิลาแล้ว.
ในหลวงตรัสว่า ได้ทราบว่า พระสหายของฉันมาแล้ว ฉันจัก
ไปเยี่ยมท่าน แล้วเสด็จขึ้นรถไปยังพระราชอุทยาน พร้อมด้วยข้าราช-
บริพารจำนวนมาก ไหว้พระปัจเจกพุทธเจ้า ทำการปฏิสันถาร แล้ว
นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงทำ
ปฏิสันถารกะพระองค์ พลางทูลคำมีอาทิว่า ขอถวายพระพร พระเจ้า
พรหมทัต พระองค์ทรงเสวยราชสมบัติโดยธรรมอยู่หรือ ? ไม่ทรงลุ

31
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 32 (เล่ม 59)

อำนาจอคติหรือ ? ไม่ทรงเบียดเบียนประชาสัตว์ เพื่อต้องการทรัพย์
หรือ ? ทรงบำเพ็ญบุญ มีทานเป็นต้นอยู่หรือ ? ดังนี้แล้ว ทูลว่า
ขอถวายพระพรพระเจ้าพรหมทัต พระองค์ทรงพระชราภาพแล้ว บัดนี้
เป็นสมัยของพระองค์ที่จะทรงละกาม เสด็จออกผนวชแล้ว. เมื่อจะทรง
แสดงธรรมถวายพระองค์ จึงได้ทูลคาถาที่ ๑ ว่า :-
กามทั้งหลายเหมือนหล่ม กามทั้งหลาย
เหมือนพุ ก็อาตมาภาพได้ทูลภัยนี้ไว้ว่ามีมูล ๓
ธุลีและควัน อาตมาภาพก็ได้ถวายพระพรแล้ว
ข้าแต่พระเจ้าพรหมทัตมหาบพิตร ขอพระองค์
จงทรงละสิ่งเหล่านั้น เสด็จออกผนวชเถิด.
บรรดาบสเหล่านั้น บทว่า ปงฺโก พระปัจเจกพุทธเจ้า ตรัส
หมายถึง พืชทั้งหลาย มีหญ้า สาหร่าย ไม้อ้อและกอหญ้าเป็นต้น
ที่เกิดขึ้นในน้ำ. อุปมาเหมือนหนึ่งว่า พืชเหล่านั้น ยังมีกำลังน้ำ ให้
ติดอยู่ฉันใด เบญจกามคุณทั้งหลาย หรือว่า วัตถุกามและกิเลสกาม
ทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปลัก คือปังกะ ด้วยอำนาจยังพระโยคาวจร
ผู้กำลังข้ามสงสารสาคร ให้ติดข้องอยู่. เพราะว่า เทวดาก็ตาม มนุษย์
ก็ตาม สัตว์เดียรฉานทั้งหลายก็ตาม ผู้ข้องแล้ว ติดแล้ว ในปลักนั้น
จะลำบาก ร้องไห้ คร่ำครวญอยู่. ที่หล่มใหญ่ พระปัจเจกพุทธเจ้า

32
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 33 (เล่ม 59)

ตรัสเรียกว่า พุ คือปลิปะ ในคำว่า ปลิโปว กามา ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย
มีสุกรและเนื้อเป็นต้นก็ตาม สิ่งโตก็ตาม ช้างก็ตาม ที่ติดแล้ว ไม่
สามารถจะถอนตนขึ้น แล้วไปได้, ก็วัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย
ท่านเรียกว่า ปลิปะ เพราะเป็นเสมือนกับพุนั้น. เพราะว่า สัตว์
ทั้งหลาย ถึงจะมีบุญก็ไม่สามารถทำลายกามเหล่านั้น รีบลุกขึ้น แล้ว
เข้าไปสู่การบรรพชาที่ไม่มีกังวล ไม่มีปลิโพธ เป็นที่รื่นรมย์ ได้เริ่มต้น
แต่เวลาติดอยู่คราวเดียว ในกามทั้งหลายเหล่านั้น. บทว่า ภยญฺจ เมตํ
ได้แก่ ภยญฺจ เอตํ และอาตมาภาพได้กล่าวภัยนี้ ม อักษร ท่าน
กล่าวไว้ ด้วยสามารถแห่งการต่อบท ด้วยพยัญชนะ. บทว่า ติมูลํ
ความว่า ไม่หวั่นไหว เหมือนตั้งมั่นอยู่ด้วยราก ๓ ราก. คำนี้ เป็นชื่อ
ของภัยที่มีกำลัง. บทว่า ปวุตฺตํ ความว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร
ขึ้นชื่อว่า กามเหล่านี้ ทั้งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธ-
สาวกทั้งหลาย ทั้งพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นสัพพัญญูทั้งหลาย ตรัสแล้ว
คือทรงบอกแล้ว อธิบายว่า ทรงแสดงไว้แล้วว่า ชื่อว่าเป็นภัยมี
กำลัง เพราะหมายความว่า เป็นปัจจัยแห่งภัย ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
และสัมปรายิกภพ มีภัยคือการติเตียนตนเองเป็นต้น และที่เป็นไปแล้ว
ด้วยสามารถแห่งกรรมกรณ์ ๓๒ ประการ และโรค ๗๘ ชนิด. อีก
อย่างหนึ่ง. บทว่า ภยญฺจ เมตํ ความว่า ก็อาตมาภาพได้ทูลภัยนี้ไว้ว่า
มีมูล ๓ พึงทราบเนื้อความในบทนี้ ดังที่พรรณนามานี้นั่นเอง. บทว่า

33
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 34 (เล่ม 59)

รโช จ ธูโม จ ความว่า กามทั้งหลาย อาตมาภาพประกาศไว้แล้วว่า
เป็นธุลีด้วย เป็นควันด้วย เพราะเป็นเช่นกับด้วยธุลีและควัน. อุปมา
เหมือนหนึ่งว่า ร่างกายของชายที่อาบน้ำสะอาดแล้ว ลูบไล้และตกแต่ง
ดีแล้ว แต่มีฝุ่นที่ละเอียดตกลงที่ร่างกาย จะมีสีคล้ำ ปราศจากความ
งาม ทำให้หม่นหมอง ฉันใด พระโยคาวจรทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือน
กัน แม้มาแล้ว โดยทางอากาศเหาะได้ ด้วยกำลังฤทธิ์ ปรากฏแล้ว
ในโลก เหมือนพระจันทร์และพระอาทิตย์ ก็มีสีมัวหมอง ปราศจาก
ความงาม เป็นผู้เศร้าหมองแล้ว เริ่มแต่เวลาที่ธุลี คือกามตกลงไป
ในภายในครั้งเดียว เพราะคุณความดี คือสี คุณความดี คือความงาม
และคุณความดี คือความบริสุทธิ์ ถูกขจัดแล้ว. อนึ่ง คนทั้งหลาย
แม้จะสะอาด ดีแล้ว ก็จะมีสีดำเหมือนฝาเรือน เริ่มต้นแต่เวลา ถูก
ควันรม ฉันใด พระโยคาวจรทั้งหลาย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้มีญาณ
บริสุทธิ์เหลือเกิน ก็จะปรากฏเป็นเหมือนคนผิวดำ ท่ามกลางมหาชน
ทีเดียว เพราะถึงความพินาศแห่งคุณความดี เริ่มต้นแต่เวลาที่ถูกควัน
คือกามารมณ์ ดังนั้น กามเหล่านี้ อาตมภาพ จึงประกาศแก่มหาบพิตร
ว่า เป็นทั้งธุลี เป็นทั้งควัน เพราะเป็นเช่นกับด้วยธุลีและควัน
เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงทรงให้พระราชาทรงเกิดอุตสาหะ
ในการบรรพชา ด้วยพระดำรัสว่า ข้าแต่มหาบพิตร พระราชสมภาร
พรหมทัตเจ้า ขอพระองค์ จงทรงละกามเหล่านี้ ทรงผนวชเถิด

34
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 35 (เล่ม 59)

พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว เมื่อจะตรัสบอกความที่
พระองค์ทรงคิดอยู่ ด้วยกิเลสทั้งหลาย จึงตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ โยมทั้งกำหนัด ทั้ง
ยินดี ทั้งสยบอยู่ในกามทั้งหลาย ต้องการมี
ชีวิตอยู่ ไม่อาจละกามนั้น ที่มีรูปสะพึงกลัว
ได้ แต่โยมจักทำบุญไม่ใช่น้อย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เคธิโต ได้แก่ ถูกกายคันถะ คือ
อภิชฌาผูกมัดไว้. บทว่า รตฺโต ได้แก่ ถูกราคะย้อมใจแล้ว. บทว่า
อธิมุจฺฉิโต ได้แก่ สลบไสลไปมากเหลือเกิน. บทว่า กาเมสฺวาหํ
ความว่า โยมยังติดอยู่ในกามทั้ง ๒. พระราชาตรัสเรียก พระทรีมุข-
ปัจเจกพุทธเจ้าว่า พราหมณ์. บทว่า ภึสรูปํ ได้แก่ มีรูปมีพลัง.
บทว่า ตํ นุสฺสเห ความว่า โยมไม่อาจ คือไม่สามารถละกามทั้ง ๒
อย่างนั้นได้. ด้วยคำว่า ชีวิกตฺโก ปาหาตุํ พระราชาตรัสว่า โยมยัง
ต้องการความเป็นอยู่นี้ จึงไม่อาจละกามนั้นได้. บทว่า กาหามิ
ปุญฺญานิ ความว่า แต่โยมจักทำบุญ คือทานศีลและอุโบสถกรรม
ไม่น้อย คือมาก ดังนี้. ขึ้นชื่อว่า บุคคลผู้มีกิเลสกามอย่างนี้ ไม่สามารถ
จะนำออกไปจากใจได้ เริ่มต้นตั้งแต่เวลาที่ติดอยู่คราวเดียว พระมหา-
บุรุษผู้มีจิตเศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสอันใดเล่า แม้เมื่อพระปัจเจก-
พุทธเจ้า ตรัสถืงคุณของบรรพชาแล้ว ก็ยังตรัสว่า โยมไม่สามารถจะ

35