No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 6 (เล่ม 59)

พระเมตตา และพระกรุณาธรรม ครองราชสมบัติโดยธรรม จึงถวาย
พระพรคาถา ๒ คาถา ว่า:-
ข้าแต่มหาบพิตร ผู้ทรงเป็นใหญ่ในแผ่น-
ดิน ขอมหาบพิตรอย่าทรงพิโรธเลย ข้าแต่
มหาบพิตรผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระราชา
ผู้ไม่ทรงพิโรธตอนผู้ที่โกรธแล้ว ประชาชน
ของรัฐ ราษฎรบูชาแล้ว. อาตมภาพขอถวาย
อนุศาสน์ในที่ทุกสถาน จะเป็นในบ้าน ในป่า
หรือที่ดอนที่ลุ่มก็ตาม ข้าแต่มหาบพิตรผู้ทรง
พระคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์อย่าทรงพิโรธ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฏฺฐสฺส ปูชิโต มีเนื้อความว่า
พระราชาแบบนี้ เป็นผู้ที่ประชาชนของรัฐบูชาแล้ว. บทว่า สพฺพตฺถ-
มนุสาสามิ ความว่า ข้าแต่มหาราช อาตมภาพเมื่ออยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
บรรดาบ้านเป็นต้นเหล่านี้ ก็จะถวายอนุศาสน์พระองค์ ด้วยข้ออนุศาสน์
ข้อนี้นั่นแหละ คือว่า จะถวายอนุศาสน์ในที่ใดที่หนึ่ง บรรดาบ้าน
เป็นต้นเหล่านี้ จะเป็นที่บ้านหลังเดียวก็ตาม สัตวโลกตัวเดียวก็ตาม
บทว่า มาสุ กุชฺฌ รเถสภ ความว่า อาตมภาพ ถวายอนุศาสน์
พระองค์อยู่อย่างนี้นั่นแหละ ธรรมดาพระราชา ไม่ควรจะพิโรธ. เพราะ

6
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 7 (เล่ม 59)

เหตุไร ? เพราะว่าธรรมดาพระราชาทั้งหลาย มีพระบรมราชโองการ
เป็นอาวุธ คนมากมายถึงความสิ้นชีวิตด้วยเหตุเพียงพระบรมราชโอง-
การ ของพระราชาเหล่านั้น ผู้ทรงพิโรธแล้ว เท่านั้น.
ในทุกวันที่พระราชาเสด็จมา พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถาเหล่านี้
ถวายอย่างนี้. พระราชามีพระราชหฤหัยเลื่อมใส ได้พระราชทานหมู่
บ้านชั้นดีให้ ๑ ตำบลเก็บส่วยได้ ๑ แสนกหาปณะ แก่พระมหาสัตว์.
พระมหาสัตว์ทูลปฏิเสธ. ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้อยู่ ณ ที่นั้นแห่งเดียวเป็น
เวลา ๑๒ ปี ดำริว่า เราอยู่ที่นี้มานานนักหนาแล้ว เราจักไปเที่ยวจาริก
ชนบทก่อนแล้วจึงจะมา ไม่ทูลลาพระราชาเลย เรียกคนเฝ้าสวนมาสั่ง
ว่า อาตมาจักไปจาริกชนบท แล้วจึงจะมา ขอให้ท่านทูลให้พระราชา
ทรงทราบด้วย แล้วก็หลีกไปถึงท่าเรือที่แม่น้ำคงคา. ที่ท่านั้นมีคนแจว
เรือจ้าง ชื่อ อาวาริยปิตา. เขาเป็นคนพาลไม่รู้จักคุณของผู้มีคุณเลย
ทั้งไม่รู้จักอุบายเพื่อตนเองด้วย. เขาสั่งคนที่ต้องการข้ามแม่น้ำคงคา ข้าม
ก่อนแล้วจึงขอค่าจ้างภายหลัง เมื่อทะเลาะกับคนที่ไม่ให้ค่าจ้าง ก็ใช้วิธี
ด่าและทุบตีกันเท่านั้น จึงจะได้ค่าจ้างมาก. พระศาสดาทรงเป็นผู้รู้ยิ่ง
ได้ตรัสพระคาถาที่ ๓ ไว้ ทรงหมายถึงนายอาวาริยปิตานั้น ผู้มีลาภน้อย
เป็นอันธพาลอย่างนี้ ว่า:-
ที่แม่น้ำคงคาได้มีคนแจวเรือจ้าง ชื่อ
อาวาริยปิตา เขาส่งคนข้ามฟากก่อน แล้วจึง

7
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 8 (เล่ม 59)

ขอรับค่าจ้างภายหลัง เพราะเหตุนั้น เขาจึงมี
การทุ่มเถียงกัน และไม่เจริญด้วยโภคทรัพย์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาวาริยปิตา ความว่า เขามีธิดา
ชื่อว่า อาวาริยา ด้วยอำนาจของธิดานั้น เขาจึงกลายเป็นผู้มีชื่อว่า
อาวาริยปิตาพ่อของอาวาริยา. บทว่า เตนสฺส ภณฺฑนํ ความว่า
เพราะเหตุนั้น เขาจึงได้มีการทุ่มเถียงกัน. อีกอย่างหนึ่ง เขาได้มีการ
ทุ่มเถียงกับคน ๆ นั้น ที่ถูกขอค่าจ้างภายหลัง.
พระโพธิสัตว์เข้าไปหาคนแจวเรือจ้างคนนั้น แล้วพูดว่า ขอจง
นำอาตมภาพข้ามฟากเถิด. เขาครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงตอบว่า:-
ท่านสมณะ ท่านจักให้ค่าจ้างเรือผมเท่าไร.
พ. โยม ธรรมดาอาตมภาพจักบอกความเจริญแห่งโภคทรัพย์
ความเจริญแห่งอรรถ และความเจริญแห่งธรรมให้.
คนแจวเรือจ้างครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว เข้าใจว่า สมณะรูปนี้จัก
ให้อะไรแก่เราแน่นอน จึงนำท่านข้ามฟาก แล้วกล่าวว่าขอพระคุณเจ้า
จงให้ค่าจ้างเรือแก่ผมเถิด. พระโพธิสัตว์นั้นตอบว่าดีแล้วโยม เมื่อจะ
บอกความเจริญแห่งโภคะแก่เขาก่อน จึงกล่าวคาถาว่า:-
ดูก่อนโยมชาวเรือ โยมจงขอค่าจ้างกะ
คนที่ยังไม่ข้ามไปฝั่งโน้นก่อนสิ เพราะว่าจิตใจ

8
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 9 (เล่ม 59)

ของคนที่ข้ามฟากแล้ว เป็นอย่างหนึ่ง ของ
คนที่ต้องการจะข้ามฟากยังไม่ได้ข้าม ก็เป็น
อีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนกัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปารํ ความว่า ดูก่อนโยมชาวเรือ
โยมจงขอค่าจ้างกะคนที่ยังไม่ข้ามฟาก ยังยืนอยู่ฝั่งนี้เท่านั้น และรับเอา
ค่าจ้างที่ได้จากเขา เก็บไว้ในที่ ๆ คุ้มครองรักษาแล้วจึงนำคนส่งข้ามฟาก
ภายหลัง อย่างนี้โยมก็จักเจริญด้วยโภคทรัพย์. บทว่า อญฺโญ หิ
ติณฺณสฺส มโน ความว่า ดูก่อนโยมชาวเรือ เพราะว่าจิตใจของคน
ที่ข้ามฟากไปแล้วเป็นอย่างหนึ่ง คือไม่อยากจะให้ จะไปถ่ายเดียว แต่
ธรรมดาว่า ผู้ใดจะข้ามฟาก คือจะข้ามฝั่ง ได้แก่ ประสงค์จะไปฝั่งข้าง
หน้า ผู้นั้นอยากจะไป แม้เกินราคาค่าจ้างก็ให้ได้ ก็ใจของผู้ต้องการ
ข้ามฟาก ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ดังที่กล่าวมานี้ เพราะฉะนั้นโยมควรขอ
กะผู้ยังไม่ข้ามฟากเท่านั้นดังนี้ ชื่อว่า ความเจริญแห่งโภคทรัพย์ทั้งหลาย
ของโยมก่อนดังนี้แล.
คนแจวเรือได้ฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า เราจักมีโอวาทนี้ก่อน แต่
บัดนี้ สมณะนี้ จักให้อะไรอื่นแก่เราอีก. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้
กล่าวกะเขาว่า โยมนี้เป็นความเจริญแห่งโภคทรัพย์ของโยมก่อน บัดนี้
โยมจงฟังความเจริญแห่งอรรถและธรรม เมื่อให้โอวาทเขา จึงได้กล่าว
คาถาไว้ว่า:-

9
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 10 (เล่ม 59)

อาตมาจะตามสอนโยมทุกหนทุกแห่ง ทั้ง
ในบ้านทั้งในป่า ทั้งในที่ลุ่มและที่ดอน ดูก่อน
โยมชาวเรือ ขอโยมจงอย่าโกรธนะ.
พระโพธิสัตว์ ครั้นบอกความเจริญแห่งอรรถและธรรม ด้วย
คาถานี้ แก่เขาแล้ว จึงกล่าวว่า นี้เป็นความเจริญแห่งอรรถและความ
เจริญแห่งธรรมของโยม. แต่เขาเป็นคนดุ ไม่สำคัญโอวาทนั้นว่าเป็น
อะไร จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านสมณะ นี้หรือคือค่าจ้างเรือที่ท่านให้ผม
พระโพธิสัตว์ ถูกแล้วโยม.
คนแจวเรือ ผมไม่มีงานตามค่าจ้างนี้.
พระโพธิสัตว์ โยมนอกจากโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่น
คนแจวเรือกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุไร? ท่านจึงลงเรือ
ผม แล้วผลักดาบสให้ล้มลงที่ฝั่งแม่น้ำคงคา นั่งทับอกแล้วตบปากท่าน
ทีเดียว.
พระศาสดาครั้นตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดาบสได้ถวาย
โอวาทพระราชา แล้วจึงได้รับพระราชทานหมู่บ้านชั้นดี ในราชสำนัก
แต่ได้บอกโอวาทนั้นนั่นเอง แก่คนแจวเรือจ้างอันธพาล กลับประสบ
การตบปากด้วยประการดังนี้. เพราะฉะนั้น ผู้จะให้โอวาทควรให้แก่คน

10
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 11 (เล่ม 59)

ที่เหมาะสม ไม่ควรให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังนี้แล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้
ยิ่งแล้ว ลำดับต่อจากนั้นได้ตรัสพระคาถาว่า :-
พระราชาได้พระราชทานหมู่บ้านชั้นดีแก่
ดาบส เพราะอนุศาสนีบทใด เพราะอนุศาสนี
บทนั้นนั่นเอง คนแจวเรือได้ตบปากดาบส.
เมื่อคนแจวเรือนั้นกำลังตบอยู่นั่นแหละ. ภรรยาถืออาหารมา
เห็นดาบสเข้า จึงบอกว่า พี่ ดาบสนี้เป็นชีต้นประจำราชตระกูล พี่
อย่าตีท่าน เขาโกรธแล้วพูดว่า แกนี่แหละ ไม่ให้ข้าตีดาบสขี้โกงคนนี้
แล้วลุกขึ้นตบภรรยานั้นให้ล้มลงไป. เมื่อเป็นเช่นนั้น ถาดข้าวก็ตกแตก
และเด็กในท้องของภรรยาท้องแก่ ได้คลอดออกตกลงที่พื้นดิน. ครั้นนั้น
มนุษย์ทั้งหลายจึงพากันมาล้อมดู แล้วจับเขามัดด้วยความเข้าใจว่า เป็น
โจรฆ่าคน แล้วนำไปมอบถวายพระราชา. พระราชาทรงวินิจฉัยแล้ว
ลงพระราชอาญาแก่เขา.
พระศาสดาทรงเป็นผู้ตรัสรู้ยิ่งแล้ว เมื่อจะทรงประกาศข้อความ
นั้น จึงได้ตรัสพระคาถาสุดท้ายไว้ว่า:-
ถาดข้าวก็แตก ภรรยาก็ถูกตบ และเด็ก
ในครรภ์ก็ตกลงที่พื้นดิน เขาไม่อาจจะให้ประ-
โยชน์งอกเงยขึ้น เพราะโอวาทนั้น เหมือน

11
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 12 (เล่ม 59)

เนื้อไม่อาจจะให้ประโยชน์เกิดขึ้นเพราะทองคำ
ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภตฺตํ ภินฺนํ ความว่า ถาดข้าวก็
ตกแตกแล้ว. บทว่า หตา ได้แก่ ตบแล้ว. บทว่า ฉมา ได้แก่ ที่
พื้นดิน. บทว่า มิโคว ชาตรูเปน มีอธิบายว่า เนื้อเหยียบย่ำทอง
เงินหรือแก้วมุกดา แก้วมณีเป็นต้นไปบ้าง นอนที่บ้าง ไม่สามารถ
จะใช้ทองคำนั้น เพิ่มพูน คือให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้ฉันใด คน
อันธพาลนั้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงฟังโอวาทที่บัณฑิตให้แล้ว ก็ไม่
สามารถเพิ่มพูน คือให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุนั้นดำรงอยู่แล้ว
ในโสดาปัตติผล. คนแจวเรือครั้งนั้นคือคนแจวเรือเวลานี้นั่นเอง พระ-
ราชา ได้แก่พระอานนท์ ส่วนดาบส ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอาวาริยชาดกที่ ๑

12
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 13 (เล่ม 59)

๒. เสตเกตุชาดก
ว่าด้วยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นทิศ
[๘๓๗] พ่อเอ๋ย พ่ออย่าโกรธเลย เพราะความ
ความโกรธไม่ดี ทิศที่เจ้ายังไม่เห็นและยังไม่
ได้ยินมีเป็นอันมา พ่อเสตเกตุเอ๋ย มารดา
บิดาก็เป็นทิศ ๆ หนึ่ง บัณฑิตทั้งหลายสรร-
เสริญอาจารย์ เรียกว่าเป็นทิศ ๆ หนึ่ง.
[๘๓๘] คฤหัสถ์ทั้งหลายเป็นผู้ถวายข้าวน้ำและ
ผ้านุ่งห่ม ส่วนสมณะพราหณ์ทั้งหลาย เป็นผู้
เรียกร้อง บัณฑิตทั้งหลายเรียกสมณะและ
พราหมณ์แม้นั้นว่าเป็นทิศ ๆ หนึ่ง พ่อเสตเกตุ
เอ๋ย ทิศนี้เป็นยอดทิศ เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มี
ทุกข์ไปถึงแล้ว จะมีความสุข.
[๘๓๙] ชฎิลเหล่าใด ผู้นุ่งหนังสัตว์ที่แข็งกระด้าง
มีฟันสกปรก มีรูปร่างเศร้าหมอง ร่ายมนต์อยู่
ชฎิลเหล่านั้น ดำรงอยู่ในความเพียรของมนุษย์
รู้โลกนี้แล้ว จะพ้นจากอบายหรือไม่หนอ ?

13
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 14 (เล่ม 59)

[๘๔๐] ข้าแต่มหาราชเจ้า ผู้ใดเป็นพหูสูตคงแก่
เรียน แต่ทำบาปธรรมไว้ ไม่ประพฤติธรรมเลย
ผู้นั้นถึงจะมีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยเวทมนต์นั้น
แต่ไม่ถึงจรณะ ก็ไม่พ้นทุกข์.
[๘๔๑] คนแม้มีเวทมนต์ตั้งพัน อาศัยเวทมนต์
นั้น แต่ยังไม่ถึงจรณะ ยังไม่พ้นทุกข์
อาตมาภาพเข้าใจว่า พระเวททั้งหลายเป็นสิ่ง
ที่ไร้ผล จรณะคือการสำรวมอย่างดีเท่านั้น
แหละ เป็นของจริง.
[๘๔๒] พระเวทไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีผลเลย จรณะ
คือการสำรวมระวังเท่านั้น เป็นของจริงก็หา
มิได้ คนอาศัยพระเวทแล้ว ได้รับเกียรติก็มี
ผู้ฝึกตนแล้วด้วยจรณะ จะบรรลุความสงบได้.
จบ เสตเกตุชาดกที่ ๒
อรรถกถาเสตเกตุชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันทรงปรารภ
ภิกษุผู้โกหก จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า มา ตาต กุชฺฌิ น หิ สาธุ

14
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ – หน้าที่ 15 (เล่ม 59)

โกโธ ดังนี้. เรื่องปัจจุบันจักมีชัดในกุททาลชาดก.
ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในนครพาราณสี
สอนมนต์มาณพ ๕๐๐ คน. หัวหน้ามาณพเหล่านั้นชื่อว่า เสตเกตุ
เป็นมาณพเกิดในสกุลอุททิจพราหมณ์. เขาได้มีมานะมาก เพราะอาศัย
ชาติตระกูล. อยู่มาวันหนึ่ง เขาออกจากพระนครไปพร้อมกับมาณพอื่น ๆ
ได้เห็นจัณฑาลคนหนึ่ง กำลังเข้าพระนคร จึงถามว่า เจ้าเป็นใคร ?
เมื่อเขาตอบว่า เป็นจัณฑาล จึงพูดว่า ฉิบหาย ไอ้จัณฑาล กาลกรรณี
เอ็งจงไปใต้ลมดังนี้ เพราะกลัวลมที่พัดผ่านตัวของเขาจะมากระทบร่าง
ของตน แล้วได้ไปเหนือลมโดยเร็ว. แต่คนจัณฑาลเดินเร็วกว่า จึงได้
ไปยินเหนือลมเขา. เมื่อมีเหตุการณ์อยู่หมั้น มาณพนั้น ก็ได้ด่าแช่ง
เขาอย่างหนักว่า ฉิบหาย ไอ้ถ่อย กาลกรรณี. คนจัณฑาล ครั้นได้
ฟังคำนั้นแล้ว จึงถามว่า คุณเป็นใคร ?
พ. ฉันเป็นพราหมณมาณพสิ
จ. เป็นพราหมณ์ ก็เป็นไม่ว่า แต่คุณสามารถจะตอบปัญหา
ที่ผมถามได้ไหม ?
พ. เออได้ซิ
จ. ถ้าแม้ว่าคุณไม่สามารถตอบได้ไซร้ ผมจะให้คุณลอดหว่าง
ขาผม

15