No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 771 (เล่ม 58)

หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-
ปาลกุมารนั้นเสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้า
ของหม่อมฉันเถิด.
อธิบายในคาถาที่ ๒ นั้น พึงทราบโดยนัยคาถาแรกนั่นแล.
ฝ่ายพระราชาทรงสั่งบังคับเพชฌฆาตอีก. นายเพชฌฆาตนั้น
ได้ตัดเท้าทั้งสองขาด. พระนางจันทาเทวีถือเอาปลายเท้าใส่ไว้ในพก
มีโลหิตโซมกาย ทรงร่ำไห้กราบทูลว่า ข้าแต่พระเจ้ามหาปตาปะผู้เป็น
พระสวามี ทารกชื่อว่ามีมือและเท้าอันพระองค์ให้ตัดแล้ว อันมารดา
จำต้องเลี้ยงดูมิใช่หรือ หม่อมฉันจักรับจ้างเลี้ยงบุตรของหม่อมฉัน ขอ
พระองค์จงประทานบุตรนั่นแก่หม่อมฉันเถิด. นายเพชฌฆาตกราบ-
ทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้ว
กิจของข้าพระองค์เสร็จแล้วหรือ ? พระราชาตรัสว่า ยังไม่เสร็จก่อน.
นายเพชฌฆาตกราบทูลว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะทำอะไร.
พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะธรรมปาลกุมารนี้. ลำดับนั้น พระนาง-
จันทาเทวี จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-

771
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 772 (เล่ม 58)

ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะ
ของหม่อมฉันเถิด.
ก็แหละครั้นตรัสแล้ว พระนางจึงน้อมศีรษะเข้าไป. เพชฌฆาต
กราบทูลถามพระราชาอีกว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะกระทำ
อะไร ? พระราชาตรัสว่า จงตัดศีรษะของธรรมปาลกุมารนั้นเสีย. นาย
เพชฌฆาตนั้นครั้นตัดศีรษะแล้ว จึงกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ
ข้าพระองค์กระทำตามพระราชอาชญาแล้วหรือ. พระราชาตรัสว่า ยัง
ไม่ได้กระทำก่อน. นายเพชฌฆาตกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพระองค์จะกระทำอะไรอีก ? พระราชาตรัสว่า ท่าน
จงเอาปลายดาบรับร่างธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิ-
มาลกะ. นายเพชฌฆาตนั้นจึงโยนร่างของธรรมปาลกุมารนั้นขึ้นไปใน
อากาศ แล้วเอาปลายดาบรับร่างของธรรมปาลกุมารนั้น กระทำกรรม
กรณ์ชื่อ อสิมาลกะ แล้วโปรยลงที่ท้องพระโรง. พระนางจันทาเทวีจึง
ใส่เนื้อของพระโพธิสัตว์ไว้ในพก ทรงร้องไห้คร่ำครวญได้กล่าวคาถา
เหล่านี้ว่า :-
ใครๆ ผู้เป็นมิตรและอำ มาตย์ของพระ-
ราชานั้น ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะ
ทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์
พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.

772
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 773 (เล่ม 58)

ใคร ๆ ผู้เป็นมิตร และพระญาติของ
พระราชานั้น ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่
จะทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์
พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเลย ก็ไม่มี.
แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาท
แห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทร์แดง
มาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของ
หม่อมฉันก็คงจะดับไป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตามจฺจา จ วิชฺชเร ความว่า
ใครๆ ผู้เป็นมิตรสนิทของพระราชานี้ หรืออำมาตย์ผู้ร่วมในกิจทั้งปวง
หรือผู้ที่ชื่อว่ามีใจดี เพราะมีหทัยอ่อนโยน จะไม่มีแน่นอน. บทว่า เย
น วทนฺติ ความว่า ชนเหล่าใดมาทันเวลา ไม่พูด คือห้ามพระราชา
นี้ว่า อย่าปลงพระชนม์พระปิโยรสของพระองค์ ชนเหล่านั้น เรา
เข้าใจว่า ไม่มีเลย. บทว่า ญาตี ในคาถาที่ ๒ ได้แก่ญาติหลายคน.
ก็พระนางจันทาเทวี ครั้นกล่าวคาถา ๒ คาถานี้แล้ว จึงกล่าว
คาถาที่ ๓ ว่า :-
พระพาหาทั้งสองของธรรมปาลกุมารผู้
เป็นทายาทแห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่น
จันทร์แดง มาขาดไป ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิต
ของหม่อมฉันก็คงจะดับไป.

773
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 774 (เล่ม 58)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทายาทสฺส ปฐพฺยา ความว่า
พระนางจันทาเทวีรำพันคำมีอาทิอย่างนี้ว่า มือของทายาทแห่งแผ่นดิน
มีมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต อันเป็นของพระบิดา ซึ่งไล้ทาด้วย
แก่นจันทร์แดงขาดไป เท้าขาด ศีรษะขาดทั้งถูกลงกรรมกรณ์ชื่ออสิมา
ลกะ บัดนี้ พระองค์ได้ตัดวงศ์ของพระองค์เอง ดังนี้ จึงตรัสอย่างนั้น.
บทว่า ปาณา เม เทว รุชฺฌติ ความว่า ข้าแต่สมมติเทพ เมื่อ
หม่อมฉันไม่อาจสามารถกลั้นความโศกนี้ได้ ชีวิตคงจะดับไป.
เมื่อพระนางทรงร่ำไห้อยู่อย่างนั้น พระหทัยก็แตกไป เหมือน
ไม้ไผ่ถูกไฟไหม้อยู่อย่างนั้นฉะนั้น พระนางได้ถึงความสิ้นพระชนม์
ลง ณ ที่นั้นเอง. ฝ่ายพระราชาก็ไม่อาจดำรงอยู่บนบัลลังก์ได้ จึงตก
ลงไปที่ท้องพระโรง. พื้นที่อันเรียบสนิทแยกออกเป็นสองภาค. พระ-
เจ้ามหาปตาปะนั้นพลัดตกจากพื้นเรียบแม้นั้นถึงพื้นดิน. แต่นั้น แผ่น
ดินทึบหนาถึงสองแสนสี่หมื่นโยชน์ ไม่อาจรองรับโทษผิดของพระ-
ราชานั้นได้ จึงได้แยกให้ช่อง. เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจีมหานรก หอบ
เอาพระเจ้ามหาปตาปะไปโยนลงในอเวจีมหานรก ประดุจหุ้มด้วยผ้า
กัมพลที่ตระกูลมอบให้ฉะนั้น. ส่วนพระนางจันทาเทวี และพระโพธิ-
สัตว์ อำมาตย์ทั้งหลายได้ปลงพระศพให้แล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระเทวทัต พระ-
นางจันทาเทวี ได้เป็นพระมหาปชาบดีโคตมี ส่วนธรรมปาลกุมาร
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘

774
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 775 (เล่ม 58)

๙. สุวรรณมิคชาดก
ว่าด้วยเนื้อติดบ่วงนายพราน
[๗๔๓] ข้าแต่เนื้อผู้มีกำลังมาก ท่านจงพยายาม
ดึงบ่วงออก ข้าแต่ท่านผู้มีเท้าดุจทองคำ ท่าน
จงพยายามคือบ่วงที่ติดแน่นให้ขาดเถิด ฉัน
ผู้เดียวจะไม่พึงยินดีอยู่ในป่า.
[๗๔๔] ฉันพยายามดึงอยู่ แต่ไม่สามารถจะ
ทำบ่วงให้ขาดได้ ฉันเอาเท้าตะกุยแผ่นดิน
ด้วยกำลังแรง บ่วงติดแน่นเหลือเกิน จึง
ครูดเอาเท้าของฉันเข้า.
[๗๔๕] ข้าแต่นายพราน ท่านจงปูใบไม้ลง จง
ชักดาบออก จงฆ่าฉันเสียก่อน แล้วจึงฆ่า
พระยาเนื้อต่อภายหลัง.
[๗๔๖] เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือได้เห็นเนื้อ
ที่พูดภาษามนุษย์ได้ แน่ะนางผู้มีหน้าอันเจริญ
ตัวท่านและพระยาเนื้อนี้จงเป็นสุขเถิด.
[๗๔๗] ข้าแต่นายพราน วันนี้ฉันเห็นพระยา-
เนื้อหลุดพ้นมาได้แล้วย่อมชื่นชมยินดี ฉันใด

775
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 776 (เล่ม 58)

ขอให้ท่านพร้อมด้วยญาติทั้งมวลของท่านจง
ชื่นชมยินดี ฉันนั้น.
จบ สุวรรณมิคชาดกที่ ๙
อรรถกถาสุวรรณมิคชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กุลธิดาคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า วิกฺกม เร มหามิค ดังนี้.
ได้ยินว่า นางนั้นเป็นธิดาจองสกุลอุปัฏฐากแห่งพระอัครสาวก
ทั้งสอง ในกรุงสาวัตถี เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส นับถือพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ สมบูรณ์ด้วยมารยาท เป็นผู้ฉลาด ยินดียิ่งใน
บุญมีทานเป็นต้น. ตระกูลบุคคลมิจฉาทิฏฐิอื่นที่มีชาติเสมอกัน ใน
นครสาวัตถีนั้นแล ได้มาขอนางนั้น. ลำดับนั้น บิดามารดาของนาง
กล่าวว่า ธิดาของเรามีศรัทธาเลื่อมใส นับถือพระรัตนตรัย ยินดียิ่ง
ในการบุญมีทานเป็นต้น ท่านทั้งหลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ จักไม่ให้ธิดา
ของเราแม้นี้ให้ทาน ฟังธรรม ไปวิหาร รักษาศีล หรือทำอุโบสถ-
กรรม ตามความชอบใจ เราจะไม่ให้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจง
สู่ขอเอานางกุมาริกาจากตระกูลมิจฉาทิฏฐิที่เหมือนกับตนเถิด. ชนที่
มาขอเหล่านั้นถูกบิดามารดาของนางกุมาริกานั้นบอกคืนแล้ว จึง
กล่าวว่า ธิดาของท่านทั้งหลายไปเรือนของพวกเราแล้วจงกระทำกิจ

776
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 777 (เล่ม 58)

ทั้งปวงตามความประสงค์เถิด พวกเราจักไม่ห้าม ขอท่านจงให้ธิดานั้น
แก่พวกเราเถิด ผู้อันบิดามารดาของนางกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่าน
ทั้งหลายจะเอาไปเถิด เมื่อถึงฤกษ์ดี จึงกระทำมงคลพิธีแล้วนำนางไป
เรือนของตน. นางกุลธิดานั้นได้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความประพฤติ
และมารยาท มีสามีเป็นดังเทวดา. วัตรปฏิบัติสำหรับพ่อผัว แม่ผัว และ
สามีย่อมเป็นอันทำแล้วอย่างครบถ้วน. วันหนึ่ง นางกล่าวกะสามีว่า
ข้าแต่ลูกเจ้า ดิฉันปรารถนาจะให้ทานแก่พระเถระประจำสกุลของพวก
เรา. สามีกล่าวว่า ตีละนางผู้เจริญ เธอจงให้ทานตามอัธยาศัยเถิด.
นางจึงให้นิมนต์พระเถระทั้งสองมาแล้วกระทำสักการะใหญ่ ให้ฉัน
โภชนะอันประณีตแล้วนิมนต์ให้นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กล่าวว่า ท่าน
ผู้เจริญ ตระกูลนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีศรัทธา ไม่รู้คุณของพระรัตน-
ตรัย ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ดังดิฉันขอโอกาส ขอพระคุณเจ้า
ทั้งหลายจงรับภิกษาหารในที่นี้แหละจนกว่าตระกูลนี้จะรู้คุณของพระ-
รัตนตรัย. พระเถระทั้งหลายรับนิมนต์แล้วฉันเป็นประจำอยู่ในตระ-
กูลนั้น. นางกล่าวกะสามีอีกว่า ข้าแต่ลูกเจ้า พระเถระทั้งหลายมา
เป็นประจำ ณ ตระกูลนี้ เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ไปดูพระเถระเล่า.
สามีกล่าวว่า เราจักไปดู. วันรุ่งขึ้น นางจึงบอกแก่สามีนั้น ในตอน
พระเถระทั้งหลาย ทำภัตกิจเสร็จแล้ว. สามีของนางนั้นเข้าไปหา
แล้วทำปฏิสันถารกับพระเถระทั้งหลายแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ลำดับ
นั้น พระธรรมเสนาบดีจึงกล่าวธรรมกถาแก่สามีของนางนั้น เขา

777
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 778 (เล่ม 58)

เลื่อมใสในธรรมกถาและอิริยาบถของพระเถระ ตั้งแต่นั้น จึงให้ปูลาด
อาสนะเพื่อพระเถระทั้งหลาย กรองน้ำดื่ม ฟังธรรมกถาในระหว่างภัต.
ในกาลต่อมา มิจฉาทิฏฐิของเขาก็ทำลายไป. อยู่มาวันหนึ่ง พระเถระ
เมื่อกล่าวธรรมกถาแก่สามีภรรยาแม้ทั้งสองนั้น จึงประกาศสัจจะ ๔.
ในเวลาจบสัจจะ สามีภรรยาทั้งสอง ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. จำเดิม
แต่นั้นมา ชนแม้ทั้งหมดมีบิดามารดาของเขาเป็นต้น จนชั้นที่สุดแม้
ทาสและกรรมกรได้ทำลายมิจฉาทิฏฐิ เกิดเป็นผู้นับถือพระพุทธเจ้า
พระธรรม และพระสงฆ์. อยู่มาวันหนึ่ง นางทาริกานั้นกล่าวกะสามี
ว่า ข้าแต่ลูกเจ้า ดิฉันจะประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ครองเรือน ดิฉัน
ปรารถนาจะบวช. สามีนั้นกล่าวว่า ดีละนางผู้เจริญ แม้ฉันก็จักบวช
แล้วนำภรรยานั้นไปยังสำนักภิกษุณี ด้วยบริวารมากมายให้บวชแล้ว
ฝ่ายตนเองก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลขอบรรพชา. พระศาสดาให้
บรรพชาอุปสมบทแล้ว. เธอแม้ทั้งสองเจริญวิปัสสนาไม่นานนัก ก็ได้
บรรลุพระอรหัต. อยู่มาวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันใน
โรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุณีสาวชื่อโน้นเกิดเป็นปัจจัย
แก่ตนและแก่สามี แม้ตนบวชแล้วบรรลุพระอรหัต ก็ให้สามีแม้นั้น
บรรลุด้วย. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนังสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรง
ทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นางภิกษุณีนี้จะได้ปลด-
เปลื้องสามีจากบ่วงคือราคะ ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ก่อน แม้ในกาล

778
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 779 (เล่ม 58)

ก่อน นางภิกษุณีนี้ก็ได้ปลดเปลื้องโบราณกบัณฑิตทั้งหลายจากบ่วงคือ
มรณะ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในกำเนิดมฤค เจริญวัยแล้ว เป็น
ผู้มีรูปงาม น่ารักใคร่ น่าดู มีผิวพรรณเหมือนทอง ประกอบด้วย
เท้าหน้าและเท้าหลังประหนึ่งกระทำบริกรรมย้อมด้วยน้ำครั่ง เขาเช่น
กับพวงเงิน นัยน์ตาทั้งสองมีส่วนเปรียบด้วยก้อนแก้วมณี และหาง
ประดุจกลุ่มผ้ากัมพล. ฝ่ายภรรยาของเนื้อนั้นก็เป็นนางเนื้อสาวมีรูป
งามน่ารัก. เนื้อทั้งสองนั้นอยู่ร่วมกันด้วยความพร้อมเพรียง. มีเนื้อ
อันงดงามตระการตาแปดหมื่นตัวคอยอุปัฏฐากบำรุงพระโพธิสัตว์อยู่.
ในกาลนั้น พวกพรานฆ่าเนื้อทั้งหลายและดักบ่วง อยู่มาวันหนึ่ง
พระโพธิสัตว์เดินไปข้างหน้าเนื้อทั้งหลาย เท้าติดบ่วง จึงดึงเท้ามา
ด้วยคิดว่า จักทำบ่วงนั้นให้ขาด. หนังจึงขาด เมื่อดึงเท้ามาอีก เนื้อ
ขาด เอ็นขาด. บ่วงได้รัดจนจดถึงกระดูก. พระโพธิสัตว์นั้นเมื่อไม่
อาจทำบ่วงให้ขาดก็สดุ้งกลัวต่อมรณภัยจึงร้องบอกให้รู้ว่าติดบ่วง. หมู่
เนื้อได้ฟังดังนั้นก็กลัวจึงพากันหนีไป. ส่วนภรรยาของพระโพธิสัตว์
นั้น หนีไปแล้วแลดูในระหว่างพวกเนื้อไม่เห็นพระโพธิสัตว์นั้น คิด
ว่า ภัยนี้คงจักเกิดแก่สามีที่รักของเรา จึงรีบไปยังสำนักของพระ-
โพธิสัตว์นั้น ร้องไห้มีหน้านองด้วยน้ำตากล่าวว่า ข้าแต่สามี ท่าน
เป็นผู้มีกำลังมาก ท่านจักไม่อาจทนบ่วงนี้หรือ ท่านจงรวบรวมกำลัง

779
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 780 (เล่ม 58)

ทำบ่วงนั้นให้ขาด เมื่อจะยังความอุตสาหะให้เกิดแก่พระโพธิสัตว์นั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่เนื้อผู้มีกำลังมาก ท่านจงพยายาม
ดึงบ่วงออก ข้าแต่ท่านผู้มีเท้าดุจทองคำ
ท่านจงพยายามดึงบ่วงที่ติดแน่นให้ขาดออก
ฉันผู้เดียวเว้นท่านเสีย จะไม่รื่นรมย์อยู่ใน
ป่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิกฺกม ได้แก่ จงพยายาม
อธิบายว่า จงดึงออก. ศัพท์ว่า เร เป็นนิบาตใช้ในอรรถร้องเรียก.
บทว่า หรีปท แปลว่า ผู้มีเท้าดุจทองคำ. แม้ในสรีระทั้งสิ้นของ
พระโพธิสัตว์นั้นก็มีวรรณดุจทองคำ. แต่นางเนื้อนี้กล่าวอย่างนั้น ด้วย
อำนาจราคะ. ด้วยบทว่า นาหํ เอกา นี้ แสดงว่า ดิฉันเว้นท่านเสีย
ผู้เดียวจักไม่รื่นรมย์ในป่า ก็ดิฉันจักไม่รับหญ้าและน้ำ ซูบผอมตาย.
เนื้อได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ฉันพยายามดึงอยู่ แต่ไม่สามารถทำบ่วง
ให้ขาดได้ ฉันเอาเข้าตะกุยแผ่นดินด้วยกำลัง
แรง บ่วงติดแน่นเหลือเกิน จึงบาดเท้าฉัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิกฺกมามิ ความว่า นางผู้เจริญ
ฉันทำความพยายามเพื่อเธออยู่. บทว่า น ปาเทมิ๑ ความว่า แต่
๑. บาลี น ปเรมิ.

780