No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 761 (เล่ม 58)

พระยาช้างนั้นได้ฟังคำของนางนกไส้นั้นแล้ว จึงกล่าวคาถา
ที่ ๓ ว่า :-
แน่ะนางนกไส้ เราจะฆ่าลูกน้อยของ
เจ้าเสีย เจ้ามีกำลังน้อยจักทำอะไรเราได้
เราจะขยี้นกไส้อย่างเจ้าตั้งแสนตัวให้ละเอียด
ด้วยเท้าข้างซ้าย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วธิสฺสามิ เต ความว่า พระยา
ช้างกล่าวว่า เพราะเหตุไร เจ้าจึงวางลูกน้อยทั้งหลายไว้ในทางเป็น
ที่เที่ยวไปของเรา เพราะเหตุที่เจ้าวางไว้ ฉะนั้นเราจึงจักฆ่าลูกน้อย
ทั้งหลายของเจ้า. บทว่า กึ เม ตุวํ กาหสิ ความว่า เจ้าเป็น
ผู้ทุรพลจักกระทำอะไรแก่เราผู้มีเรี่ยวแรงมากมาย. บทว่า โปถเปยฺยํ๑
ความว่า แม้เราจะพึงทำนางนกไส้เช่นเจ้าตั้งแสนตัวให้แหลกละเอียด
ด้วยเท้าซ้าย ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงเท้าขวา.
ก็แล ครั้นช้างนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ทำลูกน้อยของนางนก
ไส้นั้นให้แหลกละเอียดด้วยเท้า แล้วทำให้ลอยไปด้วยน้ำมูตร ร้อง
บันลือเสียงแล้วก็หลีกไป. นางนกไส้จับอยู่ที่กิ่งไม้จึงกล่าวว่า แน่ะช้าง
บัดนี้ เจ้าจงบันลือไปก่อน ต่อล่วงไป ๒-๓ วัน เจ้าจักเห็นการ
กระทำของเรา เจ้าย่อมไม่รู้ว่ากำลังความรู้ยิ่งใหญ่กว่ากำลังกายข้อนั้น
จงยกให้เรา เราจักให้เจ้ารู้กำลังความรู้นั้น เมื่อจะคุกคามข้างนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
๑. บาลี เป็น โปถเยฺยํ.

761
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 762 (เล่ม 58)

กิจที่จะพึงทำด้วยกำลังกายย่อมสำเร็จ
ไม่ได้ในที่ทั้งปวง เพราะกำลังกายของตน
พาล ย่อมมีเพื่อฆ่าคนอื่น แน่ะพระยาช้าง
ท่านผู้ใดฆ่าลูกน้อย ๆ ของเราผู้มีกำลังทุรพล
เราจักทำสิ่งที่ไม่ใช่ความเจริญให้แก่ท่านผู้
นั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พเลน ได้แก่ กำลังกาย. บทว่า
อนตฺถํ ได้แก่ ความไม่เจริญ. บทว่า โย เม ความว่า ท่านผู้ใด
ฆ่าคือพิฆาตลูกน้อย ๆ ผู้ยังทุรพลของเรา.
นางนกไส้นั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงอุปัฏฐากกาตัวหนึ่ง
อยู่ ๒ - ๓ วัน อันกานั้นยินดีแล้วจึงกล่าวว่า เราจะกระทำอะไร
ให้แก่ท่าน จึงกล่าวว่า นาย กิจอย่างอื่นที่ท่านจะพึงทำแก่ข้าพเจ้าไม่มี
แต่ข้าพเจ้าหวังให้ท่านเอาจะงอยปากประหารนัยน์ตาทั้งสองข้างของช้าง
ที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียวเชือกหนึ่งให้แตก. นางนกไส้นั้นอันกานั้นรับ
คำว่า ได้ จึงไปอุปัฏฐากแมลงวันหัวเขียวตัวหนึ่ง อันแมลงวัน
หัวเขียวแม้นั้นก็กล่าวว่า เราจะทำอะไรให้แก่ท่าน จึงกล่าวว่า เมื่อ
นัยน์ตาทั้งสองข้างของช้างที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียว แตกไปเพราะเหตุ
นี้แล้ว ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านหยอดไข่ขังลงในนัยน์ตาทั้งสองข้าง
นั้น เมื่อแมลงวันหัวเขียวแม้นั้นกล่าวว่า ได้ จึงไปอุปัฏฐากกบตัวหนึ่ง
อันกบนั้นกล่าวว่า เราจะทำอะไรให้แก่ท่าน จึงกล่าวว่า ในกาลใด

762
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 763 (เล่ม 58)

ช้างตัวหนึ่งที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียว เป็นช้างตาบอดแล้วเที่ยวแสวงหา
น้ำดื่ม ในกาลนั้น ท่านพึงเกาะอยู่ที่ยอดเขาแล้วส่งเสียงร้อง เมื่อ
ช้างนั้นขึ้นถึงยอดเขา พึงลงมาส่งเสียงร้องอยู่ที่เหว ข้าพเจ้าหวัง
การกระทำมีประมาณเท่านี้จากสำนักของท่าน. กบนั้นได้ฟังคำของ
นางนกไส้นั้นแล้ว จึงรับคำว่า ได้. อยู่มาวันหนึ่งกาเอาจะงอยปาก
ทำลายตาทั้งสองข้างของช้างแตกแล้ว. แมลงวันจึงหยอดไข่ขังลงไป
ที่นัยน์ตา. ช้างนั้นถูกตัวหนอนทั้งหลายชอนไชอยู่ ได้รับทุกขเวทนา
อยากจะดื่มน้ำเป็นกำลัง จึงเที่ยวแสวงหาน้ำดื่ม. ในกาลนั้น กบจึง
เกาะอยู่บนยอดเขาส่งเสียงร้อง ช้างคิดว่า น้ำดื่มจักมี ณ ที่นี้ จึงขึ้น
ไปยังภูเขา. ลำดับนั้น กบจึงลงมาเกาะอยู่ที่เหวส่งเสียงร้อง. ช้าง
คิดว่า น้ำดื่มจักมี จึงบ่ายหน้าไปทางเหว ได้ลื่นพลัดตกลงไปที่
เชิงเขาถึงสิ้นชีวิต. นางนกไส้รู้ว่าช้างนั้นตายแล้ว จึงร่าเริงดีใจว่า
เราเห็นหลังปัจจามิตรแล้ว จึงเดินไป ๆ มา ๆ บนร่างของช้างนั้น
แล้วก็ตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเวร ไม่ควร
ทำกับใคร ๆ สัตว์ทั้ง ๔ เหล่านี้ ร่วมกันแล้ว ทำช้างผู้ถึงพร้อมด้วย
กำลัง ให้ถึงสิ้นชีวิตได้ แล้วตรัสอภิสัมพุทธคำถานี้ว่า :-
ท่านจงดูกา นางนกไส้ กบ และ
แมลงวันหัวเขียว สัตว์ทั้ง ๔ เหล่านี้ได้ร่วม
ใจกันฆ่าช้างเสียได้ ท่านทั้งหลายจงเห็นคติ

763
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 764 (เล่ม 58)

แห่งเวรของตนผู้มีเวรทั้งหลาย เพราะเหตุ
นั้นแล ท่านทั้งหลายอย่าพึงกระทำเวรกับ
ใคร ๆ แม้ผู้ไม่เป็นที่รักใคร่เลย.
ครั้นตรัสแล้ว จึงทรงประชุมชาดก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺส นี้ เป็นคำเรียกซึ่งไม่
กำหนดแน่นอนลงไป. แต่เพราะตรัสหมายเอาภิกษุทั้งหลาย จึงเป็น
อันตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทั้งหลายจงเห็น. บทว่า เอเต
ได้แก่ สัตว์ทั้ง ๔ ได้รวมกัน. บทว่า อฆาเตสุํ ได้แก่ ฆ่าช้างนั้น.
บทว่า ปสฺส เวรสฺส เวรินํ ความว่า ท่านทั้งหลายจงเห็น
คติแห่งเวรของคนที่มีเวรกัน.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ช้างตัวที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียว ในกาลนั้น ได้เป็น
พระเทวทัต ส่วนช้างจ่าโขลงในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาลฏุกิกชาดกที่ ๗

764
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 765 (เล่ม 58)

๘. จุลลธรรมปาลชาดก
ความรักของแม่ที่มีต่อลูก
[๗๓๗] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-
ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือของ
หม่อมฉันเถิด.
[๗๓๘] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม.
ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดเท้า
ของหม่อมฉันเถิด.
[๗๓๙] หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม.
ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดศีรษะ
ของหม่อมฉันเถิด.

765
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 766 (เล่ม 58)

[๗๔๐] ใคร ๆ ผู้เป็นมิตรและอำมาตย์ของพระ-
ราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่จะ
ทูลห้ามพระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์
พระราชบุตรซึ่งเกิดแต่พระอุระเสียเลย ก็
ไม่มี.
[๗๔๑] ใคร ๆ ผู้เป็นมิตรและพระญาติของพระ-
ราชานี้ ที่มีใจดี คงจะไม่มีแน่นอน ผู้ที่ห้าม
พระราชาว่า อย่าทรงปลงพระชนม์พระราช-
บุตรที่เกิดจากพระองค์เสียเลย ก็ไม่มี.
[๗๔๒] แขนของธรรมปาลกุมารผู้เป็นทายาท
แห่งแผ่นดิน อันลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์แดง
มาขาดไปเสีย ข้าแต่สมมติเทพ ชีวิตของ
หม่อมฉันก็คงจะดับไป.
จบ จุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘
อรรถกถาจุลลธรรมปาลชาดกที่ ๘
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
การพยายามของพระเทวทัต เพื่อจะปลงพระชนม์พระองค์ จึงตรัส
พระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหเมว ทูสิยา ภูนหตา ดังนี้.
ในชาดกอื่น ๆ พระเทวทัตไม่ได้อาจเพื่อจะทำ แม้มาตรว่าความ

766
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 767 (เล่ม 58)

สะดุ้งแก่พระโพธิสัตว์. ส่วนในจุลลธรรมปาลชาดกนี้ พระเทวทัตให้.
ตัดมือ เท้า และศีรษะและให้ทำกรรมกรณ์ชื่ออสิมาลกะ๑ ในเวลาที่
พระโพธิสัตว์มีอายุ ๗ เดือน. ในทัททรชาดก พระเทวทัตหักคอให้
ตายแล้วปิ้งเนื้อบนเตากิน. ในขันติวาทีชาดก ให้เอาแช่หวายสองเส้น
เฆี่ยนพันครั้ง ให้ตัดมือ เท้า หู และจมูก แล้วจับที่ชฎาดึงมาให้
นอนหงาย กระทืบที่อกแล้วไป. พระโพธิสัตว์ถึงความสิ้นชีวิต ใน
วันนั้นเอง. ในจุลลนันทิกชาดกก็ดี ในมหากปิชาดกก็ดี ได้แต่ฆ่า
ให้ตายเท่านั้น. พระเทวทัตนี้ พยายามปลงพระชนม์อยู่ตลอดกาลนาน
ด้วยประการอย่างนี้ ในครั้งพุทธกาล ได้พยายามอยู่เหมือนกัน อยู่
มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส
ทั้งหลาย พระเทวทัตกระทำอุบายเพื่อปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเท่า
นั้น พระเทวทัตคิดว่า จักปลงพระชนม์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึง
ประกอบนายขมังธนูกลิ้งศิลา และให้ปล่อยช้างนาฬาคิรี. พระศาสดา
เสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนาด้วย
เรื่องอะไรในบัดนี้ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อ
นี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้
ในกาลก่อน พระเทวทัตก็พยายามฆ่าเราเหมือนกัน แต่ว่า ในบัดนี้
พระเทวทัตไม่อาจทำแม้สักว่าความสะดุ้งตกใจ ในกาลก่อน ในเวลา
ที่เราเป็นธรรมปาลกุมาร พระเทวทัตทำเราผู้เป็นบุตรของตนให้ถึง
๑. กรรมกรณ์ ชนิดโยนซากศพขึ้นบนอากาศแล้วรับด้วยปลายดาบ ในฎีกาว่า
เอาดาบสับให้เนื้อละเอียด.

767
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 768 (เล่ม 58)

ความสิ้นชีวิต แล้วให้ทำกรรมกรณ์ชื่อ อสิมาลกะ ครั้นตรัสแล้ว
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้ามหาปตาปะ ครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางจันทาเทวี
อัครมเหสีของพระเจ้ามหาปตาปราชนั้น พระญาติทั้งหลายขนานนาม
พระโพธิสัตว์นั้นว่า ธรรมปาละ. ในเวลาที่ธรรมปาลกุมารนั้นมีอายุ
ได้ ๗ เดือน พระมารดาให้สรงสนานธรรมปาลกุมารนั่นนั้น โดยน้ำ
ผสมด้วยของหอม แต่งพระองค์แล้วประทับนั่งให้เล่นอยู่. พระราชา
เสด็จมายังสถานที่พระเทวีนั้นประทับอยู่. พระเทวีนั้นให้พระโอรส
เล่นอยู่ เป็นผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสิเนหา แม้ได้เห็นพระราชาก็
มิเสด็จลุกขึ้นรับ. พระราชานั้นทรงดำริว่า เดี๋ยวนี้ นางจันทานี้
กระทำมานะถือตัวเพราะอาศัยบุตรก่อน ไม่สำคัญเราในเรื่องไร ๆ ก็
เมื่อบุตรเติบโตขึ้น นางจักไม่กระทำความสำคัญเราว่าเป็นมนุษย์ก็ได้
เราจักฆ่าเสียในบัดนี้แหละ. ท้าวเธอจึงเสด็จกลับไปประทับนั่งบน
ราชอาสน์ แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตมา โดยพระโองการว่า เพชฌ-
ฆาตจงมาโดยพิธีธรรมเนียมของตน. เพชฌฆาตนั้นจึงนุ่งห่มผ้าย้อม
น้ำฝาด ทัดทรงดอกไม้แดง แบกขวาน ถือท่อนไม้สำหรับวางพาดมือ
และเท้า มีปุ่มเป็นที่รองรับมาถวายบังคมพระราชากราบทูลว่า เทวะ
ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร ครั้นกราบทูลแล้ว ได้ยืนคอยรับ
พระบัญชาอยู่. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงเข้าไปยังห้องอันมีสิริ
ของพระเทวี แล้วนำธรรมปาลกุมารมา. ฝ่ายพระเทวีทรงทราบว่า

768
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 769 (เล่ม 58)

พระราชาทรงกริ้วแล้วเสด็จกลับไป จึงให้พระโพธิสัตว์นอนแนบพระ-
อุระ ประทับนั่งทรงพระกรรแสงอยู่. นายเพชฌฆาตมาถึงเอามือตบ
พระปฤษฎางค์พระเทวีนั้นแล้ว ชิงพระกุมารไปจากพระหัตถ์ พามายัง
สำนักของพระราชาแล้วกราบทูลว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำ
อะไร. พระราชารับสั่งว่า ท่านจงให้นำเอาแผ่นกระดานมาแล้วให้
เรียบลงข้างหน้า แล้วให้กุมารนั้นนอนบนแผ่นกระดานนี้. นาย
เพชฌฆาตนั้นได้กระทำตามรับสั่งอย่างนั้น. พระนางจันทาเทวีทรง
ปริเทวนาการร่ำไรมาข้างหลังพระโอรสนั่นแล. เพชฌฆาตกราบทูล
อีกว่า เทวะ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำอะไร. พระราชารับสั่งว่า จง
ตัดมือทั้งสองของธรรมปาลกุมาร. พระนางจันทาเทวีกราบทูลว่า ข้า
แต่มหาราช บุตรของหม่อมฉันเพิ่งมีอายุได้ ๗ เดือน ยังอ่อนอยู่ ไม่
รู้อะไร บุตรของหม่อมฉันนั้น ไม่มีโทษผิด ก็โทษผิดแม้จะยิ่งใหญ่ก็
ควรจะมีในหม่อมฉัน เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงรับสั่งให้ตัดมือทั้ง
สองของหม่อมฉันเถิด เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ จึงกล่าวคาถา
ที่ ๑ ว่า :-
หม่อมฉันผู้เดียวที่ตัดความเจริญ กระทำ
ความผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ ข้าแต่สมมติ-
เทพ ขอพระองค์ได้ทรงโปรดปล่อยธรรม-
ปาลกุมารนี้เสียเถิด โปรดรับสั่งให้ตัดมือทั้ง
สองของหม่อมฉันเถิด.

769
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 770 (เล่ม 58)

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูสิยา ได้แก่ ผู้ทำ ให้เสียหาย
อธิบายว่า เห็นพระองค์แล้วไม่ลุกขึ้นรับ ชื่อว่าผู้กระทำผิด. บาลีว่า
ทูสิกา ดังนี้ก็มี เนื้อความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ภูนหตา ได้แก่
ขจัดความเจริญ อธิบายว่า กำจัดความเจริญ. บทว่า รญฺโญ พึง
ประกอบกับบทว่า ทูสิยา. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า หม่อมฉันทำความ
ผิดต่อพระเจ้ามหาปตาปะ มิใช่กุมารนี้ เพราะฉะนั้น ขอพระองค์โปรด
ปลดปล่อยธรรมปาละ ผู้ยังอ่อนหาความผิดมิได้นี้เสียเถิด ก็ถ้าพระ-
องค์ประสงค์จะตัดมือทั้งสอง ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงตัดมือ
ทั้งสองของหม่อมฉัน ผู้กระทำผิด.
พระราชาทรงแลดูนายเพชฌฆาตๆ จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติ-
เทพ ข้าพระองค์จะการทำอย่างไร. พระราชาตรัสว่า ท่านอย่าชักช้า
จงตัดมือทั้งสองเสีย. ขณะนั้น นายเพชฌฆาตถือขวานอันคมกล้า
ตัดมือทั้งสองของพระกุมารเหมือนตัดหน่อไม้อ่อนฉะนั้น. เมื่อนาย
เพชฌฆาตตัดมือทั้งสองอยู่ ธรรมปาลกุมารนั้น ไม่ร้องไห้ ไม่ร่ำไร
กระทำขันติและเมตตาให้เป็นปุเรจาริก อดกลั้นอยู่. ส่วนพระนาง-
จันทาเทวีถือเอาปลายมือที่ขาดใส่ไว้ในพก มีโลหิตไหลอาบพระองค์
ทรงเที่ยวปริเทวนาการอยู่. นายเพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าแต่สมมติ
เทพ ข้าพระองค์จะทำอะไร. พระราชาตรัสว่า จงตัดเท้าทั้งสองเสีย.
พระนางจันทาเทวีได้สดับดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

770