หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 781 (เล่ม 4)

อนุปสัมบัน ภิกษุมีความสงสัย. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน...ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
[๗๑๘] ภิกษุเดินไปหมายว่า จักฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านี้แล้ว จัก
งด จักเว้น จักระงับ จักเปลื้องตน ดังนี้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิ-
กัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ
อุปัสสุติกสิกขาบทที่ ๘
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๘ พึงทราบดังนี้:-
บทว่า อธิกรณชาตานํ ได้แก่ เกิดวิวาทาธิกรณ์ขึ้น เพราะการ
บาดหมางกันเป็นต้นเหล่านี้.
บทว่า อุปสฺสุตึ คือ ใกล้พอได้ยิน, อธิบายว่า ในที่ซึ่งตนยืนอยู่
แล้ว อาจได้ยินคำพูดของภิกษุเหล่านั้นได้.
ในคำว่า คจฺฉติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ เป็นทุกกฏทุก ๆ ย่างเท้า.
บทว่า มนฺเตนตํ คือ เมื่อภิกษุอีกรูปหนึ่งปรึกษากับภิกษุอีกรูปหนึ่ง.
อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า มนฺเตนฺเต ก็มี ความก็อย่างนี้.
บทว่า วูปสมิสฺสานิ มีความว่า เราจักสงบ จักถึงความสงบ คือ
จักไม่ทำการทะเลาะกัน.

781
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 782 (เล่ม 4)

สองบทว่า อตฺตานํ ปริโมเจสฺสาม มีความว่า เราจักบอกว่าเรา
ไม่ใช่เป็นผู้กระทำแล้วเปลื้องตน. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น .
สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐานดุจเถยยสัตถสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑
ทางกายวาจากับจิต ๑ บางคราวเป็นกิริยา ด้วยอำนาจแห่งการไปเพราะความ
อยากฟัง, บางคราวเป็นอกิริยาด้วยอำนาจแห่งการไม่ยังผู้บาดหมางกันซึ่งมาสู่ตน
ยืนอยู่แล้ว ปรึกษากันอยู่ ให้รู้ตัว. แท้จริงสิกขาบททั้ง ๓ นี้ คือ รูปิย-
สิกขาบท อัญญวาทสิกขาบท อุปัสสุติกสิกขาบท มีความกำหนดอย่างเดียวกัน
เป็นสัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต
เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
อุปัสสุติกสิกขาบทที่ ๘ จบ

782
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 783 (เล่ม 4)

สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๙
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๗๑๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
พระฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจารแล้ว เมื่อการกสงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุแต่ละรูปอยู่
ย่อมคัดค้าน ครั้นสงฆ์ประชุมกันด้วยกรรมบางอย่างที่สงฆ์จะต้องทำ พระ
ฉัพพัคคีย์สาละวนทำจีวรกรรมกันอยู่ ได้ให้ฉันทะไปแก่พระรูปหนึ่ง ทันใด
สงฆ์จึงกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้เป็นพวกพระฉัพพัคคีย์มารูปเดียว
ฉะนั้นพวกเราจะทำกรรมแก่เธอ ดังนี้ แล้วได้ทำกรรมแก่พระฉัพพัคคีย์รูปนั้น
เมื่อเสร็จแล้ว ภิกษุฉัพพัคคีย์รูปนั้นได้เข้าไปหาพระฉัพพัคคีย์ ๆ ถามภิกษุ
รูปนั้นว่า อาวุโส สงฆ์ได้ทำอะไร.
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่ผม ขอรับ.
พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า อาวุโส เราไม่ได้ให้ฉันทะไปเพื่อหมายถึงกรรม
นี้ว่า สงฆ์จักทำกรรมแก่ท่าน ถ้าเราทราบว่า สงฆ์จักทำกรรมแก่ท่าน เราจะ
ไม่พึงให้ฉันทะไป.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย...ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
พระฉัพพัคคีย์ให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว จึงได้ถึงความบ่นว่าใน
ภายหลังเล่า . . . แล้ว กราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว ได้ถึงความบ่นว่าใน
ภายหลัง จริงหรือ.

783
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 784 (เล่ม 4)

พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว จึงได้ถึงความบ่นว่าในภายหลัง
เล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลือมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๒๖. ๙. อนึ่ง ภิกษุใด ให้ฉันทะเพื่อกรรมอัน เป็นธรรม
แล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง เป็นปาจิตตีย์ .
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๗๑๖] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ...นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
กรรมอันเป็นธรรม ๔ อย่าง
ที่ชื่อว่า กรรมอันเป็นธรรม ได้แก่ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑
ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ ที่สงฆ์ทำแล้วตามธรรม ตามวินัย
ตามสัตถุศาสน์ นี้ชื่อว่ากรรมอันเป็นธรรม.
ภิกษุให้ฉันทะไปแล้ว บ่นว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

784
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 785 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
[๗๑๗] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ให้ฉันทะ
ไปแล้ว บ่นว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัยอยู่ ให้ฉันทะไปแล้ว บ่นว่า ต้องอาบัติ
ทุกกฏ.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ให้ฉันทะไปแล้ว
บ่นว่า ไม่ต้องอาบัติ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม . . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย. . . ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม. ..ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๗๑๘] ภิกษุรู้อยู่ว่า สงฆ์ทำกรรมโดยไม่ถูกธรรม เป็นพวกหรือทำ
แก่ภิกษุมิใช่ผู้ควรแก่กรรม บ่นว่า ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ
กัมมปฏิพาหนสิกขาบทที่ ๙
วินิจฉัย ในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้:-
ข้อว่า สเจ จ มยํ ชาเนยฺยาม แปลว่า ถ้าพวกเราพึงรู้ไซร้.
ส่วน จ อักษร เป็นเพียงนิบาตเท่านั้น.

785
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 786 (เล่ม 4)

บทว่า ธมฺมิกานํ มีวิเคราะห์ว่า ธรรมมีอยู่ในกรรมเหล่านั้น เพราะ
สงฆ์ทำโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์; เพราะเหตุนั้น กรรมเหล่านั้น
จึงขอว่า ธรรมิกะ (กรรมอันเป็นธรรม). เพื่อสังฆกรรม ๔ อันเป็นธรรม
เหล่านั้น.
ในคำว่า ขียติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ เป็นปาจิตตีย์ ทุก ๆ
คำพูด. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น .
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ.
โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
กัมมปฏิพาหนสิกขาบทที่ ๙ จบ

786
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 787 (เล่ม 4)

สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๗๑๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ-
เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น สงฆ์
ประชุมกันด้วยกรรมบางอย่างที่สงฆ์จะต้องทำ พระฉัพพัคคีย์สาละวนทำจีวร
กรรมกันอยู่. ได้ให้ฉันทะไปแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ถึงก็พอดีสงฆ์ตั้งญัตติแล้วว่า
สงฆ์ประชุมกันเพื่อประสงค์ทำกรรมใด พวกเราจักทำกรรมนั้น ดังนี้.
ภิกษุรูปนั้นจึงพูดขึ้นว่า ภิกษุเหล่านี้ทำกรรมแก่ภิกษุแต่ละรูปอย่างนี้
พวกท่านจักทำกรรมแก่ใครกัน แล้วไม่ให้ฉันทะ ลุกจากอาสนะหลีกไป.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย. .. ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน
ภิกษุเมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ จึงได้ไม่ให้ฉันทะ ลุกจาก
อาสนะหลีกไปเล่า. . .แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ ข่าวว่า
เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ เธอไม่ให้ฉันทะ ลุกจากอาสนะ
หลีกไป จริงหรือ.
ภิกษุรูปนั้นทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉนเธอ
เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ จึงได้ไม่ให้ฉันทะ ลุกจากอาสนะ

787
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 788 (เล่ม 4)

หลีกไปเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส แล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๒๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็น
ไปอยู่ในสงฆ์ ไม่ให้ฉันทะแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย เป็น
ปาจิตตีย์.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๗๒๐] บทว่า อนึ่ง. . .ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด. . .
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. . .
นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า เรื่องอันจะพึงวินิจฉัยในสงฆ์ ได้แก่ เรื่องที่โจทก์จำเลย
แจ้งไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้วินิจฉัย ๑ ตั้งญัตติแล้ว ๑ กรรมวาจายังสวดค้างอยู่ ๑.
คำว่า ไม่ให้ฉันทะแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย คือ ตั้งใจ
ว่าไฉน กรรมนี้พึงกำเริบ พึงเป็นวรรค พึงทำไม่ได้ ดังนี้แล้ว ลุกเดินไป
ต้องอาบัติทุกกฏ กำลังละหัตถบาสแห่งที่ชุนนุมสงฆ์ ต้องอาบัติทุกกฏ ละหัตถ-
บาสไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

788
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 789 (เล่ม 4)

บทภาชนีย์
[๗๒๑] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ไม่ให้ฉันทะ
แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัยอยู่ ไม่ให้ฉันทะแล้ว ลุกจากอาสนะหลีก
ไปต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ให้ฉันทะแล้ว
ลุกจากอาสนะหลีกไป ไม่ต้องอาบัติ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม...ต้องอาบัติ
ทุกกฎ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัยอยู่. . .ต้องอาบัติทุกกฏ.
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๗๒๒] ภิกษุติดเห็นว่า ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความ
แก่งแย่งหรือการวิวาท จักเกิดแก่สงฆ์ ดังนี้แล้วหลีกไป ๑ ภิกษุคิดเห็นว่า
สงฆ์จักแตกแยกกัน หรือจักร้าวรานกัน ดังนี้แล้วหลีกไป ๑ ภิกษุคิดเห็นว่า
สงฆ์จักทำกรรมแก่ภิกษุมิใช่ผู้ควรแก่กรรม ดังนี้แล้วหลีกไป ๑ ภิกษุเกิดอาพาธ
หลีกไป ๑ ภิกษุหลีกไปด้วยธุระอันจะทำแก่ภิกษุอาพาธ ๑ ภิกษุปวดอุจจาระ
ปัสสาวะแล้วหลีกไป ๑ ภิกษุไม่ตั้งใจจะทำกรรมให้เสีย หลีกไปด้วยคิดว่าจะ
กลับมาอีก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ

789
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 790 (เล่ม 4)

ฉันทังอทัตวาคมนสิกขาบทที่ ๑๐
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้:-
ข้อว่า วตฺถุํ วา อาโรจิตํ โหติ มีความว่า ทั้งโจทก์และจำเลยได้
แถลงถ้อยคำของตนแล้ว ภิกษุผู้สอบสวนสืบสวนก็ได้รับสมมติแล้วแม้ด้วย
อาการเพียงเท่านี้ วัตถุเป็นอันบอกแล้ว. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้ มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต
เป็นทังกิริยาทั้งอกิริยา ส้ญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจี-
กรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล.
ฉันทังอทัตวาคมนสิกขาบทที่ ๑๐ จบ

790