No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 741 (เล่ม 58)

พาลทารกเด็กอ่อนนั้นร้องไห้ถึงพระจันทร์ที่มีอยู่ ส่วนสามีของดิฉัน
ตายแล้ว บัดนี้ ไม่ปรากฏอยู่ แม้เขาเอาหลาวแทงเผาอยู่ก็ไม่รู้อะไร ๆ.
ท้าวสักกะได้ทรงสดับถ้อยคำของภรรยา แล้วจึงตรัสถามทาสี
ว่า ดูก่อนแม่ เขาเป็นอะไรแก่เจ้า ? ทาสีตอบว่า ข้าแต่นาย เขา
เป็นนายของดิฉัน. ท้าวสักกะตรัสว่า เจ้าจักได้ถูกบุรุษนี้เบียดเบียน
โบยตีแล้วใช้สอยเป็นแน่ เพราะฉะนั้น เจ้าจึงไม่ร้องไห้เพราะคิดว่า
บุรุษนี้พ้นไปเสียดีแล้ว. ทาสีกล่าวว่า นายท่านอย่าพูดอย่างนั้น คำที่
ท่านพูดนี้ไม่สมควรแก่นายดิฉันนี้ ลูกเจ้านายของดิฉัน เพียบพร้อมด้วย
ขันติ เมตตา และความเอ็นดู ได้เป็นผู้เสมือนบุตรที่ดิฉันให้เจริญ
เติบโตในอก. ท้าวสักกะตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร เจ้าจึง
ไม่ร้องไห้. ฝ่ายทาสีนั้น เมื่อจะบอกเหตุที่ไม่ร้องไห้แก่ท้าวสักกะนั้น
จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
หม้อน้ำที่แตกแล้ว เชื่อมให้สนิทอีก
ไม่ได้ ฉันใด การที่บุคคลเศร้าโศกถึงผู้ที่ละ
ไปสู่ปรโลกแล้วนี้ ก็มีอุปไมยฉันนั้น นาย
ของดิฉันถูกเผาอยู่ ย่อมไม่รู้สึกถึงความร่ำไห้
ของพวกญาติ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่เศร้า
โศกถึงนายนั้น คติของตนมีอย่างใด นาย
ของดิฉันก็ไปสู่คติของตนอย่างนั้น

741
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 742 (เล่ม 58)

คำที่เป็นคาถานั้นมีความว่า หม้อนำอันเขายกขึ้น พลัดตก
แตกออก ๗ เสี่ยง ย่อมไม่อาจที่จะเรียงเชื่อมกระเบื้องเหล่านั้นแล้ว ทำ
ให้กลับเป็นของปกติได้อีก ชื่อฉันใดความเศร้าโศกของตนผู้เศร้าโศก
ถึงคนที่ละไปแล้วนั้น ก็ให้สำเร็จความอุปไมยเหมือนฉันนั้น เพราะ
ไม่อาจทำคนตายให้เป็นขึ้นมาได้อีก อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีฤทธิ์ไม่อาจ
เชื่อมหม้อที่แตกแล้วให้เต็มด้วยน้ำ ด้วยอานุภาพแห่งฤทธิ์ ฉันใด
ถึงผู้ที่ตายแล้ว ใครๆ ก็ไม่อาจทำให้กลับเป็นปกติตามเดิม แม้ด้วย
กำลังฤทธิ์ได้ฉันนั้น. คาถานอกนี้ มีเนื้อความได้กล่าวไว้แล้วในคาถา
ก่อนทั้งนั้น.
ท้าวสักกะทรงสดับธรรมกถา ของคน ทั้งหมดแล้วทรงเลื่อมใส
ตรัสว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไม่ประมาทเจริญมรณัสสติแล้ว จำเดิมแต่
นี้ไป ท่านทั้งหลายไม่ต้องทำการงานด้วยมือของตน เราเป็นท้าวสักกะ-
เทวราช เราจักทำรัตนะทั้ง ๗ อันหาประมาณมิได้ไว้ในเรือนของ
พวกท่าน ท่านทั้งหลายจงให้ทาน รักษาศีลอยู่จำอุโบสถ จงเป็นผู้ไม่
ประมาทเถิด ครั้นให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นแล้ว ทรงกระทำเรือนให้
มีทรัพย์นับประมาณไม่ได้ แล้วเสด็จหลีกไป.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรง
ประกาศสัจจะแล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะกุฎุมพีดำรงอยู่ใน
โสดาปัตติผล. ทาสีในครั้งนั้น ได้เป็นนางขุชชุตตรา ธิดาได้เป็นนาง
อุบลวรรณา บุตรได้เป็นพระราหุล มารดาได้เป็นนางเขมา ส่วน
พราหมณ์ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุรคชาดกที่ ๔

742
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 743 (เล่ม 58)

๕. ธังกชาดก
ว่าด้วยการร้องไห้ไม่มีประโยชน์
[๗๒๒] ชนเหล่าอื่นเศร้าโศกอยู่ ร้องไห้อยู่
ชนเหล่าอื่นมีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พระองค์
เป็นผู้มีผิวพระพักตร์ผ่องใส ดูก่อนฆฏราชา
เพราะเหตุไรพระองค์จึงไม่เศร้าโศก.
[๗๒๓] ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
มาได้ไม่ หาได้นำความสุขในอนาคตมาได้ไม่
ดูก่อนธังกราชา เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึง
ไม่เศร้าโศก ความเป็นสหายในความโศก
ย่อมไม่มี.
[๗๒๔] บุคคลเศร้าโศกอยู่ ย่อมเป็นผู้ผอมเหลือง
และไม่พอใจบริโภคอาหาร เมื่อเขาถูกลูกศร
คือความเศร้าโศกเสียบแทงแล้ว เร่าร้อนอยู่
ศัตรูทั้งหลายย่อมดีใจ.
[๗๒๕] ความฉิบหายอันมีความเศร้าโศกเป็นมูล
จักไม่มาถึงหม่อมฉันผู้อยู่ในบ้านหรือในป่า
ในที่ลุ่มหรือในที่ดอน หม่อมฉันเห็นบทฌาน
แล้วอย่างนี้.

743
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 744 (เล่ม 58)

[๗๒๖] คนผู้เดียวเท่านั้นสามารถจะนำกามรส
ทั้งปวงมาให้ได้ สหายของพระราชาพระองค์
ใด ไม่สามารถจะนำมาให้ได้ ถึงสมบัติใน
แผ่นดินทั้งสิ้น ก็จักนำความสุขมาให้แก่
พระราชาพระองค์นั้นไม่ได้.
จบ ธังกชาดกที่ ๕
อรรถกถาธังกชาดกที่ ๕
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
อำมาตย์ผู้หนึ่งของพระเจ้าโกศล จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่ม
ต้นว่า อญฺเญ โสจนฺติ โรทนฺติ ดังนี้.
เรื่องปัจจุบัน เป็นเช่นกับที่กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแหละ.
ส่วนในชาดกนี้ พระราชาประทานยศใหญ่แก่อำมาตย์ผู้อุปการะช่วย
เหลือพระองค์ ภายหลังทรงเชื่อถือถ้อยคำของผู้ยุยง จึงจองจำอำมาตย์
นั้นแล้วให้ขังไว้ในเรือนจำ. อำมาตย์นั้นนั่งยู่ในเรือนจำนั้นแหละ
ทำโสดาปัตติมรรคให้บังเกิดแล้ว. พระราชาทรงกำหนดได้ถึงคุณความ
ดีของอำมาตย์นั้น จึงรับสั่งให้ปล่อยจากเรือนจำ. อำมาตย์นั้นจึง
ถือของหอมและดอกไม้ไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว
นั่งอยู่. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามอำมาตย์นั้นว่า เขาว่า
ความฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกิดขึ้นแล้วแก่ท่านหรือ เมื่ออำมาตย์

744
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 745 (เล่ม 58)

นั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ประโยชน์ก็มาถึง
ข้าพระองค์ ด้วยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ คือ โสดาปัตติมรรคบังเกิด
แล้ว พระเจ้าข้า. พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก มิใช่แต่ท่าน
เท่านั้น จะนำเอาประโยชน์มาด้วยสิ่งอันไม่เป็นประโยชน์ แม้
โบราณกบัณฑิตทั้งหลายก็นำมาแล้ว อันอำมาตย์นั้นทูลอาราธนา
แล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์ใต้บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของ
พระเจ้าพรหมทัตนั้น พระญาติทั้งหลายขนานพระนามพระโพธิสัตว์
นั้นว่า ฆฏกุมาร. สมัยต่อมา ฆฏกุมารนั้น เรียนศิลปะในเมืองตักก-
ศิลาแล้วครองราชสมบัติโดยธรรม. อำมาตย์คนหนึ่งในภายในพระ-
ราชวังของพระราชานั้นคิดประทุษร้าย. พระราชานั้นทรงทราบโดย
ชัดแจ้งจึงให้ขับไล่อำมาตย์นั้นออกจากแว่นแคว้น. ครั้นนั้น พระเจ้า
ธังกราชครองราชสมบัติในนครสาวัตถี. อำมาตย์นั้นได้ไปยังราชสำ-
นักของพระเจ้าธังกราชนั้นอุปัฏฐากท้าวเธอ ให้เชื่อถือคำของตน โดย
นัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ แล้วให้ยึดราชสมบัติในนคร
พาราณสี. พระเจ้าธังกราชนั้น ครั้นยึดราชสมบัติได้แล้ว ให้เอาโซ่
ตรวนพันธนาการพระโพธิสัตว์ไว้ แล้วส่งให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ.
พระโพธิสัตว์ทำฌานให้บังเกิดแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ในอากาศ. ความ
เร่าร้อนตั้งขึ้นในพระสรีระของพระเจ้าธังกราช ท้าวเธอจึงไปได้เห็น

745
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 746 (เล่ม 58)

หน้าพระโพธิสัตว์มีสง่างามดุจแว่นทองและดอกบัวบาน เมื่อจะถาม
พระโพธิสัตว์ จึงตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :-
ชนเหล่าอันเศร้าโศก ร้องไห้อยู่ ชน
เหล่าอื่นมีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา ส่วนพระองค์
เป็นผู้มีผิวพระพักตร์ผ่องใส ดูก่อนฆฏราชา
เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่เศร้าโศก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺเญ หมายถึงว่ามนุษย์ที่เหลือ
เว้นพระโพธิสัตว์นั้น.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะบอกเหตุที่ไม่เศร้าโศกแก่พระ-
เจ้าธังกราชนั้น จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า :-
ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
มาได้ไม่ หาได้นำความสุขในอนาคตมาได้ไม่
ดูก่อนธังกราชา เพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึง
ไม่เศร้าโศก ความเป็นสหายในความโศก
ย่อมไม่มี.
บุคคลผู้เศร้าโศกอยู่ ย่อมเป็นผู้ผอม-
เหลืองและไม่พอใจบริโภคอาหาร เมื่อเขาถูก
ลูกศรคือความเศร้าโศกเสียบแทงแล้วเร่าร้อน
อยู่ พวกศัตรูย่อมดีใจ.

746
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 747 (เล่ม 58)

ความฉิบหายอันมีความเศร้าโศกเป็นมูล
จักไม่มาถึงหม่อมฉันผู้อยู่ในบ้านหรือในป่า
ในที่ลุ่มหรือในที่ดอน หม่อมฉันเห็นบทฌาน
แล้วอย่างนี้.
ตนผู้เดียวเท่านั้นจะสามารถนำกามรส
ทั้งปวงมาให้ได้ สหายของพระราชาพระองค์
ใด ไม่สามารถจะนำมาให้ได้ถึงสมบัติใน
แผ่นดินทั้งสิ้น ก็จักนำความสุขมาให้แก่พระ-
ราชานั้นไม่ได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาพฺภตีตหโร แปลว่า นำสิ่งที่
ล่วงไปแล้วมาไม่ได้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. ขึ้น
ชื่อว่าความโศกย่อมนำเอามาอีกไม่ได้ซึ่งสิ่งที่ล่วงเลยดับลับหายไปแล้ว
บทว่า ทุตียตา ได้แก่ ความเป็นสหาย. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า
ขึ้นชื่อว่าความโศกย่อมไม่เป็นสหายของใคร ๆ ในการที่จะนำเอาอดีต
มา หรือในการที่จะนำเอาอนาคตมา ด้วยเหตุแม้นั้น เราจึงไม่เศร้า-
โศก. บทว่า โสจํ แปลว่า เศร้าโศกอยู่. บทว่า สลฺลวิทฺธสฺส
รุปฺปโต ความว่า เมื่อบุคคลถูกลูกศรคือความโศกเสียบแทง คือถูก
ลูกศรคือความโศกกระทบอยู่ ศัตรูทั้งหลายย่อมดีใจว่า พวกเราเห็น
หลังข้าศึกแล้ว. บทว่า  ิตํ มํ นาคมิสฺสติ ความว่า ดูก่อนพระ-

747
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 748 (เล่ม 58)

สหายธังกราชความพินาศฉิบหายอันมีความโศกซึ่งมีสภาวะเป็นผู้ผอม-
เหลืองเป็นต้นเป็นมูล จักไม่มาถึงเราผู้สถิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ใน
บรรดาบ้านเป็นต้นเหล่านี้. บทว่า เอวํ ทิฏฺฐปโท ความว่า เรา
ได้เห็นบทแห่งฌานโดยประการที่ความพินาศฉิบหายนั้นยังไม่มาถึง.
บางอาจารย์กล่าวว่า บทคือโลกธรรม ๘ ดังนี้ก็มี. แต่ในบาลีเขียนว่า
น มตฺตํ นาคมิสฺสติ ความตายจักไม่มาถึง. คำที่เขียนไว้นั้น ย่อม
ไม่มีแม้ในอรรถกถาทั้งหลาย.
ในคาถาสุดท้ายมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ตนที่ชื่อว่านำมาซึ่งกามรส
ทั้งปวง เพราะนำมาซึ่งสรรพกามรสกล่าวคือฌานสุข เพราะอรรถว่า
น่าอยากได้น่าปรารถนา. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า. ก็ตนผู้เดียวละ
เว้นสหายอื่น ๆ เสีย ไม่อาจนำกามรสทั้งปวงมา คือไม่สามารถนำมา
ซึ่งกามรสทั้งปวง กล่าวคือความสุขในฌานทั้งปวงแก่พระราชาใด
ทรัพย์สมบัติในแผ่นดินแม้ทั้งสิ้นก็จักไม่นำความสุขมาให้แก่พระราชา
นั้น เพราะธรรมดาความสุข ย่อมไม่มีแก่ผู้เดือดร้อนเพราะกาม
ส่วนพระราชาผู้สามารถนำมาซึ่งความสุขในฌานอันเว้นจากความกระ-
วนกระวาย เพราะกิเลส ย่อมเป็นผู้มีความสุข. ส่วนเนื้อความของ
บาลีในคาถานี้ที่ว่า ยสฺสตฺถา นาลเมโก ดังนี้ก็มีนั้น ไม่ปรากฏแล.
พระเจ้าธังกราชได้สดับคาถาทั้ง ๔ คาถา ด้วยประการดังนี้แล้ว
จึงขอษมาพระโพธิสัตว์แล้วมอบราชสมบัติคืน ได้เสด็จหลีกไปแล้ว.

748
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 749 (เล่ม 58)

ฝ่ายพระมหาสัตว์มอบราชสมบัติแก่อำมาตย์ทั้งหลาย แล้วไปยังหิม-
วันตประเทศ บวชเป็นฤาษีมีฌานไม่เสื่อม ได้เป็นผู้มีพรหมโลกเป็น
ที่ไปในเบื้องหน้า.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึง
ทรงประชุมชาดกว่า พระเจ้าธังกราชในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระ-
อานนท์ ส่วนพระเจ้าฆฏราช ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาธังกชาดกที่ ๕

749
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 750 (เล่ม 58)

๖. การันทิยชาดก
ว่าด้วยการทำที่เหลือวิสัย
[๗๒๗] ท่านผู้เดียวรีบร้อน ยกเอาก้อนหินใหญ่
กลิ้งลงไปในซอกเขาในป่า ดูก่อนการันทิยะ
จะเป็นประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยการทิ้ง
ก้อนหินลงในซอกเขานี้เล่าหนอ.
[๗๒๘] ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลง
จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ซึ่งมีมหาสมุทรสี่เป็น
ขอบเขต ให้ราบเรียบเพียงดังฝ่ามือ เพราะ
ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ทิ้งหินลงในซอกเขา.
[๗๒๙] ดูก่อนการันทิยะ เราสำคัญว่า มนุษย์
คนเดียวย่อมไม่สามารถจะทำแผ่นดินให้ราบ
เรียบดังฝ่ามือได้ ท่านพยายามจะทำซอกเขา
นี้ให้เต็มขึ้น ท่านก็จักละชีวโลกนี้ไปเสีย
เปล่าเป็นแน่.
[๗๓๐] ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หากว่ามนุษย์
คนเดียวไม่สามารถจะทำแผ่นดินใหญ่นี้ให้
ราบเรียบได้ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์เหล่านี้

750