หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 731 (เล่ม 4)

ว่า ดูก่อนกัณฑกะ. ข่าวว่า เธอมีทิฏฐิอันทรามเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เรารู้ทั่วถึง
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ดังข้อที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรม
เหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่
ดังนี้จริงหรือ.
สมณุทเทสกัณฑกะทูลรับว่า ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนั้นจริง
พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว ดังข้อ
ที่ตรัสธรรมเหล่าใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นหา
อาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เพราะเหตุใดเจ้าจึงเข้าใจ
ธรรมที่เราแสดงแล้วเช่นนั้นเล่า ธรรมอันทำอันตรายเรากล่าวไว้ โดยบรรยาย
เป็นอันมากมิใช่หรือ และธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง กาม
ทั้งหลายเรากล่าวว่ามีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษใน
กามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนร่างกระดูก.. .
กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนชิ้นเนื้อ . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่า
เปรียบเหมือนคบหญ้า . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง
. . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนความฝัน. . . กามทั้งหลายเรากล่าว
ว่าเปรียบเหมือนของยืม . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนผลไม้ .. .
กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือนเขียงสำหรับสับเนื้อ .. . กามทั้งหลายเรา
กล่าวว่าเปรียบเหมือนแหลนหลาว . . . กามทั้งหลายเรากล่าวว่าเปรียบเหมือน
ศีรษะงู มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก โทษในกามทั้งหลายนี้มากยิ่งนัก
ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยทิฏฐิที่ตนยึดถือไว้ผิด ชื่อว่าทำลาย
ตนเองและชื่อว่าประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ข้อนั้นแหละจักเป็นไปเพื่อผล
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อผลเป็นทุกข์แก่เจ้า ตลอดกาลนาน การกระทำ

731
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 732 (เล่ม 4)

ของเจ้านั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเจ้านั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่าง
อื่นของชุมชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงนาสนะสมณุทเทส
กัณฑกะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงนาสนะอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
เจ้ากัณฑกะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าอย่าอ้างพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ว่าเป็นศาสดาของเจ้า และสมณุทเทสอื่น ๆ ย่อมได้การนอนด้วยกัน เพียง ๒-๓
คืน กับภิกษุทั้งหลายอันใด แม้กิริยาที่ได้การนอนร่วมนั้นไม่มีแก่เจ้า เจ้าคน
เสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย.
ครั้งนั้น สงฆ์ได้นาสนะสมณุทเทสกัณฑะแล้ว.
เกลี้ยกล่อมสมณุทเทส
[๖๗๔] ต่อมา พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะ
ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว ให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอน
ด้วยกันบ้าง บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย . . .ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
ไฉนพระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ จึงได้เกลี่ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ
อย่างนั้นแล้ว ให้อุปัฎฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้างเล่า . . .
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า พวกเธอรู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะ ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้น
แล้ว ให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอนด้วยกันบ้าง จริงหรือ.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

732
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 733 (เล่ม 4)

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน
พวกเธอรู้อยู่ จึงได้เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสกัณฑกะผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว
ให้อุปัฏฐากบ้าง กินร่วมบ้าง สำเร็จการนอนร่วมกันบ้างเล่า การกระทำของ
พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว . . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่า
ดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๑๙. ๑๐. ถ้าแม้สมณุทเทสกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง
ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว โดยประการที่ตรัสว่าเป็น
ธรรมทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้
เสพได้จริงหรือไม่ สมณุทเทสนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้
ว่า อาวุโสสมณุทเทส เธออย่าได้พูดอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวตู่
พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีดอก พระผู้-
มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย อาวุโส สมณุทเทส พระผู้มี -
พระภาคเจ้าตรัสธรรมทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แล
ธรรมเหล่านั้นอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง และสมณุทเทสนั้น
อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอย่าอย่างนั้น ขืนถืออยู่อย่างนั้นเทียว
สมณุทเทสนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะอาวุโํส
สมณุทเทส เธออย่าอ้างพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่าเป็นพระศาสดาของ
เธอ ตั้งแต่วันนี้ไป และพวกสมณุทเทสอื่นย่อมได้การนอนร่วมเพียง

733
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 734 (เล่ม 4)

๒-๓ คืน กับภิกษุทั้งหลายอันใด แม้กิริยาที่ได้การนอนร่วมนั้นไม่
มีแก่เธอ เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหายเสีย อนึ่ง ภิกษุใดรู้
อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสผู้ถูถให้ฉิบหายเสียอย่างนั้น แล้วก็ดี ให้
อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องสมณุทเทสกัณฑกะ มิจฉาทิฏฐิ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๖๗๕] ที่ชื่อว่า สมณุทเทส ได้แก่ บุคคลที่เรียกกันว่าสามเณร
คำว่า กล่าวอย่างนี้ คือกล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงแล้วโดยประการที่ตรัสว่าเป็นธรรมทำอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่า
นั้นหาอาจทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริงไม่
[๖๗๖] คำว่า สมณุทเทสนั้น ได้แก่สมณุทเทสผู้ที่กล่าวอย่างนั้น.
บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุพวกอื่น คือ พวกภิกษุผู้
ได้เห็น ผู้ได้ยิน พึงว่ากล่าวว่า อาวุโส สมณุทเทส เธออย่าได้พูดอย่างนั้น
เธออย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ดีแน่
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้นเลย อาวุโสสมณุทเทส พระผู้มีพระ -
ภาคเจ้าตรัสธรรมทำอันตรายไว้โดยบรรยายเป็นอันมาก ก็แลธรรมเหล่านั้นอาจ
ทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง พึงว่ากล่าว แม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่
สาม ถ้าเธอสละได้ การสละได้ดังนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่สละ สมณุทเทสนั้น
อัน ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส สมณุทเทส เธออย่าอ้างพระผู้-
มีพระภาคเจ้านั้น ว่าเป็นพระศาสดาของเธอตั้งแต่วันนี้ไป และพวกสมณุทเทส
อื่น ย่อมได้การนอนร่วมเพียง ๒-๓ คืน กับภิกษุทั้งหลายอันใด แม้กิริยาที่
ได้การนอนร่วมนั้นไม่มีแก่เธอ เจ้าคนเสีย เจ้าจงไป เจ้าจงฉิบหาย ดังนี้.

734
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 735 (เล่ม 4)

[๖๗๗] บทว่า อนึ่ง . . .ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. ..
นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้ .
ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือรู้เอง หรือคนอื่นบอกแก่เธอ หรือเจ้าตัวบอก.
บทว่า ผู้ถูกให้ฉิบหายเสียอย่างนั้นแล้ว คือ ผู้สงฆ์นาสนะอย่าง
นั้นแล้ว .
ที่ชื่อว่า สมณุทเทส ได้แก่ บุคคลที่เรียกกันว่าสามเณร.
บทว่า เกลี้ยกล่อมก็ดี คือ เกลี้ยกล่อมว่า เราจักให้บาตร จีวร
อุเทศหรือปริปุจฉาแก่เธอ ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า ให้อุปัฏฐากก็ดี คือ ยินดี จุรณ ดินเหนียว ไม้ชำระฟัน
หรือน้ำบ้วนปากของเธอ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทว่า กินร่วมก็ดี อธิบายว่า ที่ชื่อว่ากินร่วม หมายถึงการคบหา
มี ๒ อย่าง คือคบหากันในทางอามิส ๑ คบหากันในทางธรรม ๑.
ที่ชื่อว่า คบหากัน ในทางอามิส คือ ให้อามิสก็ดี รับอามิสก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ที่ชื่อว่า คบหากันในทางธรรม คือบอกธรรมให้ หรือขอเรียน
ธรรม.
ภิกษุบอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม โดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุก ๆ บท.
ภิกษุบอกธรรมให้ หรือขอเรียนธรรม โดยอักขระ ต้องอาบัติ-
ปาจิตตีย์ ทุก ๆ อักขระ.
คำว่า สำเร็จการนอนร่วมก็ดี อธิบายว่า ในที่มุงบังอันเดียวกัน
เมื่อสมณุทเทส ผู้ถูกสงฆ์นาสนะนอนแล้ว ภิกษุจึงนอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์

735
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 736 (เล่ม 4)

เมื่อภิกษุนอนแล้ว สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะจึงนอน ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์
หรือนอนทั้งสอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ลุกขึ้นแล้วนอนต่อไปอีก ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
[๖๗๘] สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ภิกษุสำคัญว่าถูกสงฆ์นาสนะ
แล้ว เกลี้ยกล่อมก็ดี ให้อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี
ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ภิกษุมีความสงสัย เกลี้ยกล่อมก็ดี ให้
อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ
เกลี้ยกล่อมก็ดี ให้อุปัฏฐากก็ดี กินร่วมก็ดี สำเร็จการนอนร่วมก็ดี ไม่ต้อง
อาบัติ.
สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ภิกษุสำคัญว่าผู้ถูกสงฆ์นาสนะ...
ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ภิกษุสงสัย ...ต้องอาบัติทุกกฏ.
สมณุทเทสไม่ใช่ผู้สงฆ์นาสนะ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ .. .
ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๖๗๙] ภิกษุรู้อยู่ว่า สมณุทเทสไม่ใช่ผู้ถูกสงฆ์นาสนะ ๑ ภิกษุรู้อยู่
ว่าสมณุทเทสยอมสละทิฏฐินั้นแล้ว ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
สัปปาณกวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๗ จบ

736
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 737 (เล่ม 4)

กัณฑกสิกขาบทที่ ๑๐
ในสิกขาบทที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
[แก้อรรถบางปาฐะในสิกขาบทที่ ๑๐]
สองบทว่า ทิฏฺฐิคตํ อุปฺปนฺนํ คือ สมณุทเทสแม้นี้ เมื่อถลำลง
ไปโดยไม่แยบคาย ก็เกิดความเห็นผิดขึ้นมา เหมือนอริฎฐภิกษุฉะนั้น.
นาสนะที่ตรัสไว้ในคำว่า นาเสตุ นี้ มี ๓ อย่างคือ สังวาสนาสนะ ๑
ลิงคนาสนะ ๑ ทัณฑกรรมนาสนะ ๑. บรรดานาสนะ ๓ อย่างนั้น การยกวัตร
ในเพราะไม่เห็นอาบัติเป็นต้น ชื่อว่า สังวาสนาสนะ. นาสนะนี้ว่า สามเณร
ผู้ประทุษร้าย (นางภิกษุณี) สงฆ์พึงให้นาสนะเสีย, เธอทั้งหลายพึงให้นาสนะ
เมตติยาภิกษุณีเสีย ชื่อว่า ลิงคนาสนะ. นาสนะนี้ว่า แน่ะอาวุโส สมณุทเทส
เธออย่าอ้างพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่า เป็นพระศาสดาของเธอตั้งแต่วันนี้ไป
ชื่อว่า ทัณฑกรรมนาสนะ. ทัณฑกรรมนาสนะนี้ ทรงประสงค์เอาในสิกขาบท
นี้ . เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสว่า เอวญฺจ ภิกฺขเว
นาเสตพฺโพ ฯเปฯ จร ปิเร วินสฺส เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จร แปลว่า เธอจงหลีกไปเสีย.
บทว่า ปิเร แปลว่า แน่ะเจ้าคนอื่น คือเจ้าผู้มีใช่พวกเรา.
บทว่า วินสฺส ความว่า เจ้าจงฉิบหายเสีย คือ จงไปในที่ซึ่งพวก
เราจะไม่เห็นเจ้า.
บทว่า อุปลาปฺเปยฺย แปลว่า พึงสงเคราะห์.

737
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 738 (เล่ม 4)

บทว่า อุปฏฺฐาเปยฺย คือ พึงให้สมณุทเทสนั้นทำการบำรุงตน.
บทที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในอริฏฐ-
สิกขาบทนั้นนั่นแล.
กัณฑกสิกขาบทที่ ๑๐ จบ
สัปปาณวรรคที่ ๗ จบบริบูรณ์
ตามวรรณนานุกรม
หัวข้อประจำเรื่อง
๑. สัญจิจจปาณสิกขาบท ว่าด้วยแกล้งฆ่าสัตว์
๒. สัปปาณกสิกขาบท ว่าด้วยบริโภคน้ำมีตัวสัตว์
๓. อุกโกฏนสิกขาบท ว่าด้วยฟื้นอธิกรณ์
๔. ทุฏฐุลลฺสิกขาบท ว่าด้วยปิดอาบัติชั่วหยาบ
๕. อูนวีสติวัสสสิกขาบท ว่าด้วยอุปสมบทกุลบุตรมีอายุ
หย่อน ๒๐ ปี
๖. เถยยสัตถสิกขาบท ว่าด้วยเดินทางร่วมกับพ่อค้าผู้
เป็นโจร
๗. สํวิธานสิกขาบท ว่าด้วยชักชวนมาตุคามเดินทาง
สายเดียวกัน
๘. อริฏฐสิกขาบท ว่าด้วยพระอริฎฐะ
๙. อุกขิตตสัมโภคสิกขาบท ว่าด้วยการคบหากับภิกษุผู้ถูก
สงฆ์ยกวัตร
๑๐. กัณฑกสิกขาบท ว่าด้วยสมณุทเทสชื่อกันฑกะ

738
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 739 (เล่ม 4)

ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๘
สหธรรมิกวรรค สิกขาบทที่ ๑
เรื่องพระฉันนะ
[๖๘๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิ -
ตาราม เขตพระนครโกสัมพี ครั้งนั้น ท่านพระฉันนะพระพฤติอนาจาร ภิกษุ
ทั้งหลายพากันกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ฉันนะ ท่านอย่าได้ทำการเห็นปานนั้น
การทำอย่างนั้นนั่นไม่ควร.
ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ตลอด
เวลาที่ฉันยังไม่ได้สอบถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย.
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย. .. ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม จึงได้กล่าว
อย่างนี้ว่า อาวุโส ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้สอบถาม
ภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย ดังนี้เล่า. . .แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มี -
พระภาคเจ้า.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูก่อนฉันนะ ข่าว
ว่า เธออันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม ได้กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส
ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ตลอดเวลาที่ฉันยังไม่ได้สอบถามภิกษุอื่น
ผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัยดังนี้ จริงหรือ.
ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

739
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ – หน้าที่ 740 (เล่ม 4)

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ไฉน เธออัน
ภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม จึงได้พูดอย่างนี้ว่า อาวุโส ฉันจักยัง
ไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้สอบถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรง
วินัย ดังนี้เล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. . .
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้
ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๑๒๐. ๑. อนึ่ง ภิกษุใด อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบ
ธรรม กล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเธอ ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้
ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้สอบถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย เป็น
ปาจิตตีย์.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้ศึกษาอยู่ ควรรู้ทั่วถึง ควร
สอบถาม ควรตริตรอง นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น.
เรื่องพระฉันนะจบ
สิกขาบทวิภังค์
[๖๘๑] บทว่า อนึ่ง ...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด...
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า อันภิกษุทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุเหล่าอื่น.

740