No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 121 (เล่ม 58)

บทว่า ธชาลุ แปลว่า พร้อมด้วยธง. บทว่า หริตามโย
ได้แก่ ขลิบด้วยแก้วมณีเขียว. ส่วนในอรรถกถาปาฐะว่า สหาลู
หริตามโย ดังนี้ก็มี. อธิบายความปาฐะนั้นว่า ประกอบด้วยบาน
ประตูและหน้าต่าง อันล้วนแล้วด้วยแก้วมณีเขียว. ได้ยินว่า บทว่า
สห เป็นชื่อของบานประตูและหน้าต่าง. บทว่า คนฺธพฺพา ได้แก่
นางฟ้อนรำ. บทว่า ฉ สหสฺสานิ สตฺตธา ความว่า นางฟ้อนรำ
๖ พันคน เบ่งเป็น ๗ พวก ฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้ง ๗ แห่งของปราสาท
นั้น เพื่อต้องการเพิ่มพูนความยินดีแก่พระราชา. นักฟ้อนรำเหล่านั้น
แม้จะฟ้อนรำและขับร้องอยู่อย่างนี้ ก็ไม่อาจให้พระราชาร่าเริงพระทัย.
ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงส่งการฟ้อนรำของเทพให้ไปแสดงการ
เล่นมหรสพ. คราวนั้น พระเจ้ามหาปนาททรงร่าเริง. บทว่า ยถา
ภาสสิ ภทฺทชิ ความว่า ก็เมื่อพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ
ปราสาทที่เธออยู่ครอบครองในคราวเป็นพระเจ้ามหาปนาท อยู่ที่ใน
พระภัททชิเถระกราบทูลว่า จมอยู่ตรงที่นี้ พระเจ้าข้า ได้เป็นอัน
กล่าวความที่ปราสาทนั้นบังเกิดแล้วเพื่อประโยชน์แก่ตน และความ
ที่ตนเป็นพระเจ้ามหาปนาทในครั้งนั้น. พระศาสดาทรงถือเอาคำกล่าว
นั้นจึงตรัสว่า ดูก่อนภัททชิ เธอกล่าวโดยประการใด ดังนี้. ด้วย
บทว่า เอวเมตํ ตทา อาสิ นี้ พระศาสดาตรัสว่า ข้อที่กล่าว
อย่างนั้นได้มีแล้วโดยประการนั้นนั่นแหละ ในครั้งนั้น เราได้เป็น
ท้าวสักกะ จอมเทวดาผู้รับใช้การงานของเธอในกาลนั้น ขณะนั้นภิกษุ
ปุถุชนทั้งหลาย ได้เป็นผู้หมดความเคลือบแคลงสงสัย.

121
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 122 (เล่ม 58)

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประ-
ชุมชาดกว่า พระเจ้ามหาปนาท ในครั้งนั้น ได้เป็นพระภัททชิใน
บัดนี้ ส่วนท้าวสักกะ คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาปนาทชาดกที่ ๔

122
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 123 (เล่ม 58)

๕. ขุรัปปชาดก
ถึงความล้างเท้า
[๓๙๔] เมื่อท่านเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม
ถือดาบอันคมกล้าซึ่งขัดแล้วด้วยน้ำมัน เมื่อ
มรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้วเหตุไฉนหนอ
ท่านจึงไม่มีความครั่นคร้าม.
[๓๙๕] เมื่อเราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม
ถือครอบอันคมกล้าซึ่งขัดแล้วด้วยน้ำมัน เมื่อ
มรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เรากลับได้
ความยินดีและโสมนัสมากยิ่ง.
[๓๖๐] เรานั้นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้ว
ก็ครอบงำศัตรูทั้งหลายเสียได้ เพราะว่าชีวิต
ของเรา ๆ ไดและมาแต่ก่อนแล้ว เมื่อทำ
ความอาลัยในชีวิต เพราะว่าพึงกระทำกิจ
ของคนกล้าหาญในกาลบางคราวหาได้ไม่.
จบ ขุรัปปชาดกที่ ๕
อรรถกถาขุรัปปชาดกที่ ๕
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้และความเพียรรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทิสฺวา

123
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 124 (เล่ม 58)

ขุรปฺเป ดังนี้
ความว่า พระศาสดาทรงตรัสกะภิกษุนั้นผู้ถูกนำมาในโรง-
ธรรมสภาว่า ได้ยินว่า เธอสละความเพียรจริงหรือ เมื่อภิกษุนั้น
กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบวชใน
ศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์อย่างนี้ เพราะเหตุไรจึงละความ
เพียรเสีย โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่สละความเพียร แม้ใน
ฐานะไม่เป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมา
สาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลผู้รักษา แห่งหนึ่ง พอ
เจริญวัยมีบุรุษ ๕๐๐ เป็นบริวาร เป็นหัวหน้าคนทั้งปวง ในบรรดา
คนผู้รักษาดง สำเร็จการอยู่ในบ้านแห่งหนึ่งที่ปากดง. ก็หัวหน้าผู้
รักษาดงนั้นรับจ้างพาพวกมนุษย์ให้ข้ามดง. ครั้นวันหนึ่ง บุตรพ่อค้า
ชาวเมืองพาราณสีกับเกวียน ๕๐๐ เล่ม มาถึงบ้านนั้น เรียกหัวหน้า
ผู้รักษาดงนั้นมาพูดว่า ดูก่อนสหาย ท่านจงรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ แล้ว
พาเราให้ข้ามพ้นดง. เขารับคำแล้วถือเอาทรัพย์ ๑,๐๐๐ จากมือของ
บุตรพ่อค้านั้น เมื่อรับค่าจ้างอย่างนี้ จะต้องสละชีวิตเพื่อบุตรพ่อค้า
นั้น. เขาพาบุตรพ่อค้านั้นเข้าดง. พวกโจร ๕๐๐ ซุ้มอยู่กลางดง.
บุรุษที่เหลือพอแลเห็นพวกโจรเท่านั้นพากันนอนราบ. หัวหน้าผู้
อารักขาคนเดียวเท่านั้นเปล่งสีหนาทวิ่งเข้าประหัตประหาร ให้พวกโจร

124
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 125 (เล่ม 58)

๕๐๐ หนีไป. ให้บุตรพ่อค้าข้ามพ้นทางกันดารโดยปลอดภัย. ฝ่าย
บุตรพ่อค้าให้หมู่เกวียนพักอยู่ในที่ห่างไกลทางกันดารแล้ว ให้หัวหน้า
ผู้อารักขาบริโภคโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ส่วนตนเองบริโภคอาหารเช้า
แล้วนั่งสบาย เจรจาอยู่กับหัวหน้าผู้อารักขานั้น เมื่อจะถามว่า ดูก่อน
สหาย ในเวลาที่พวกโจรผู้ร้ายกาจเห็นปานนั้นจับอาวุธกรูเข้ามา
เพราะเหตุไรหนอ แม้ความสดุ้งตกใจกลัวก็ไม่เกิดขึ้น จึงกล่าวคาถา
ที่ ๑ ว่า:-
เมื่อท่านเห็นพวภโจรยิ่งลูกธนูอัน
แหลมคม ถือดาบอันคมกล้าซึ่งขัดด้วยน้ำมัน
เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เหตุไฉน
หนอ ท่านจึงไม่มีความครั่นคร้าม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธนุเวคนุณฺเณ ได้แก่ ยิงไป
ด้วยกำลังลูกธนู. บทว่า ขคฺเค คหิเต ได้แก่ ถือดาบด้ามงาอย่าง
กระชับ. บทว่า มรเณ วิรุฬฺเห ได้แก่ เมื่อความตายปรากฏ.
บทว่า กสฺมา น เต นาหุ ความว่า เพราะเหตุไรหนอ ท่าน
จึงไม่มีความสาดุ้งตกใจ. บทว่า ฉมฺภิตตฺตํ ได้แก่ ตัวสั่น.
หัวหน้าผู้ทำหน้าที่อารักขาได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒
คาถานอกนี้ว่า :-
เมื่อเราเห็นพวกโจรยิ่งลูกธนูอัน
แหลมคม ถือดาบอันคมกล้าซึ่งขัดแล้วด้วย

125
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 126 (เล่ม 58)

น้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว
เรากลับได้ความยินดีและความโสมนัสมาก
ยิ่ง. เรานั้นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้ว
ก็ครอบงำศัตรูทั้งหลายเสียได้ เพราะว่าชีวิต
ของเรา เราได้สละมาแต่ก่อนแล้ว ก็บุคคล
ผู้กล้าหาญ เมื่อทำความอาลัยในชีวิตอยู่ จะ
พึงกระทำกิจของตนผู้กล้าหาญในกาลบาง
คราวหาได้ไม่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวทํ อลตฺถํ คือกลับได้ความ
ยินดีและโสมนัส. บทว่า วิปุลํ แปลว่า มาก. บทว่า อุฬารํ
แปลว่า ยิ่ง. บทว่า อุชฺฌภวึ ได้แก่ บริจาคชีวิตครอบงำแล้ว.
บทว่า ปุพฺเพว เม ชีวิตมาสิ จตฺตํ ความว่า เพราะว่าเราเมื่อ
รับค่าจ้างจากมือของท่านในตอนก่อนนั่นแล ได้สละชีวิตแล้ว. บทว่า
น หิ ชีวิเต อาลยํ กุพฺพมาโน ความว่า บุคคลผู้กล้าหาญ เมื่อ
ยังกระทำเสน่หา ความยินดีในชีวิตอยู่ จะพึงทำกิจของผู้กล้าหาญ
แม้ในกาลบางคราว หาได้ไม่.
หัวหน้าผู้ทำหน้าที่อารักขานั้น ทำบุตรของพ่อค้าให้รู้ว่าตนได้
ทำกิจของตนกล้าหาญแล้ว เพราะได้สละความยินดีในชีวิตซึ่งสละให้
ไว้ในอำนาจของคนอื่น ได้ส่งบุตรพ่อค้าไปแล้ว กลับมายังบ้านของ
ตนตามเดิม ทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ไปตามยถากรรมแล้ว.

126
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 127 (เล่ม 58)

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะแล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้สละความเพียร
ดำรงอยู่ในพระอรหัต. ก็หัวหน้าคนทำการอารักขาในกาลนั้น คือ
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาขุรัปปชาดกที่ ๕

127
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 128 (เล่ม 58)

๖. วาตัคคสินธพชาดก
ว่าด้วยมิตรสันถวะเกิดแต่แรกพบ
[๓๙๗] คุณแม่มีโรคผอมเหลือง ไม่ชอบใจ
อาหารเพราะม้าตัวใดเป็นเหตุให้มีจิตปฏิพัทธ์
รักใคร่ม้านั้นก็มาคบหาสมาคมแล้ว เหตุไร
คุณแม่จึงให้ม้าตัวนั้นหนีไปเสียในบัดนี้เล่า.
[๓๙๘] ลูกเอ๋ย ขึ้นชื่อว่ามิตรสันถวะจะเกิดขึ้น
แต่แรกพบปะทีเดียว ยศของสตรีทั้งหลาย
ย่อมเสื่อมไป เพราะฉะนั้น แม่จึงแสร้งทำ
ให้พระยาม้านั้นหนีไปเสีย.
[ ๓๙๙] สตรีคนใด ไม่ปรารถนาบุรุษผู้เกิดใน
ตระกูลมียศศักดิ์ ที่มีคนชักพามาแล้ว สตรี
คนนั้นจะต้องเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนานเหมือน
นางม้าเศร้าโศกถึงพระยาม้าวาตัคคสินธพ
ฉะนั้น.
จบ วาตัคคสินธพชาดกที่ ๖
อรรถกถาวาตัคคสินธพชาดกที่ ๖
พระศาสดาเมื่อประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
กฎุมพีคนหนึ่งในพระนครสาวัตถี จึงตรัสเรื่องนี้ มีค่าเริ่มต้นว่า

128
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 129 (เล่ม 58)

เยนาสิ กีสิยา ปณฺฑุ ดังนี้.
ได้ยินว่า หญิงคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี เห็นกฎุมพีรูปงาม
คนหนึ่ง ได้มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่. ไฟคือกิเลสเกิดขึ้นภายในของนาง
ประดุจเผาร่างกายทั้งสิ้น. นางไม่ได้รับความยินดีเพลิดเพลินทางกาย
และทางใจเลย แม้อาหารนางก็ไม่ชอบใจ นอนเกาะแม่แคร่เตียง
อย่างเดียว. ลำดับนั้น หญิงผู้รับใช้และหญิงสหาย ได้ถามนางว่า
เพราะเหตุไรหนอ เธอจึงมีจิตซัดส่ายนอนเกาะแม่แคร่เตียง เธอไม่มี
ความผาสุกอะไรหรือ ? นางอันพวกเพื่อนหญิงไม่ได้กล่าวครั้ง
เดียว สองครั้ง กล่าวบ่อย ๆ จึงได้บอกเนื้อความนั้น แก่เพื่อนหญิง
เหล่านั้น. ลำดับนั้น เพื่อนหญิงเหล่านั้นจึงปลอบโยนนางให้เบาใจ
แล้วกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธออย่าเสียใจเลย พวกเราจักนำกฎุมพี
มาให้ แล้วไปปรึกษากับกฎุมพี. กฎุมพีนั้นปฏิเสธ เมื่อพวกหญิง
เหล่านั้นพูดจาบ่อยเข้าจึงรับคำ. หญิงเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงมาใน
วันโน้นเวลาโน้น ดังนี้ ให้กฎุมพีรับคำปฏิญญาแล้ว จึงไปบอกให้
หญิงนั้นทราบ. หญิงนั้นเมื่อได้ฟังข่าวจึงจัดแจงห้องนอนของตน
แต่งตัวแล้วนั่งบนที่นอน เมื่อกฎุมพีนั้นมานั่ง ณ ส่วนหนึ่งของ
ที่นอน จึงคิดว่า ถ้าเราไม่ทำให้นักแน่นต่อเขาไว้ ให้โอกาสเสีย
แต่เดี๋ยวนี้ ความเป็นใหญ่ของเราก็จักเสื่อมไป ชื่อว่าการให้โอกาส
ในวันที่เขามาถึงทีเดียว มิใช่เหตุอันควร วันนี้เราทำให้เขาเก้อ ใน
วันอื่น จึงจักให้โอกาส. ลำดับนั้น นางจูงมือเขาผู้ปรารภ จะหยอกล้อ

129
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 130 (เล่ม 58)

เล่นด้วยการจับมือเป็นต้น แล้วฉุดออกมาพร้อมกับพูดว่า หลีกไป
หลีกไป เราไม่ต้องการท่าน. กฎุมพีนั้นจึงหยุดชะงัก ละอายใจลุกขึ้น
ไปบ้านของตนเลยทีเดียว. หญิงนอกนี้รู้ว่า หญิงนั้นกระทำอย่างนั้น
เมื่อกฎุมพีออกไปแล้ว จึงเข้าไปหาหญิงนั้นพากันพูดอย่างนี้ว่า เธอมี
จิตปฏิพัทธ์กฎุมพีนั้น ถึงกับห้ามอาหารนอนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น
พวกเราอ้อนวอนเธอบ่อย ๆ แล้วนำเขามาให้ เพราะเหตุไร จึงไม่ให้
โอกาสแก่เขา. นางจึงบอกความมุ่งหมายอันนั้นให้ทราบ. หญิงเหล่า
นั้นกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจักปรากฏผลในวันหน้า แล้วพากันหลีก
ไปเสีย. กฎุมพีก็ไม่หันกลับมามองดูอีก. หญิงนั้นเมื่อไม่ได้กฎุมพีนั้น
ก็ซูบซีดอดอาหาร ถึงความสิ้นชีวิตไปในที่นั้นเอง. กฎุมพีได้ฟังว่า
หญิงนั้นตายแล้ว จึงถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้เป็นอันมาก
ไปยังพระวิหารเขตวัน บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วน
สุดข้างหนึ่ง และถูกพระศาสดาตรัสถามว่า อุบาสก เพราะเหตุไรหนอ
ท่านจึงหายหน้าไปไม่ปรากฏ จึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบแล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ละอายใจ ตลอดกาล
ประมาณเท่านี้ จึงไม่ได้มาสู่ที่พุทธอุปัฏฐาก. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อน
อุบาสก หญิงนั้นให้เรียกท่านมาด้วยอำนาจของกิเลส ครั้นในเวลา
ท่านมาแล้ว ไม่ให้โอกาส ทำให้ท่านได้อาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น ก็แม้
ในกาลก่อน นางมีจิตปฏิพัทธ์แม้ในบัณฑิตทั้งหลาย ให้เรียกมาแล้ว
ครั้นในเวลามาถึงไม่ให้โอกาส ทำให้ลำบากถ่ายเดียวแล้วส่งไป อัน

130