No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 101 (เล่ม 58)

ตระกูลอื่น เมื่อเป็นอย่างนี้ญาติทั้งหลายของเราจักมากขึ้น. อำมาตย์
เหล่านั้น ก็รับพระบัญชา. ลำดับนั้น พระราชาจึงรับสั่งให้ประทาน
วังข้างนอกแก่พระภาคิไนย ให้พระธิดาประทับอยู่ภายในพระราช-
นิเวศน์. แต่คนทั้งสองนั้นได้มีจิตปฏิพัทธ์แก่กันและกันอยู่. พระ-
กุมารคิดอยู่ว่า ด้วยอุบายอะไรหนอ จึงจะให้นำพระราชธิดามาไว้
ภายนอกได้ ทรงคิดได้ว่า มีอุบาย จึงให้สินจ้างแก่แม่นม เมื่อแม่-
นมทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า มีกิจอะไร จึงตรัสว่า ข้าแต่แม่ เรา
ทั้งหลายใคร่จะนำพระราชธิดาไว้ภายนอกวัง จะมีช่องทางอย่างไร
หนอ. แม่นมทูลว่า หม่อมฉันจักพูดกับพระราชธิดาแล้วจักรู้ได้.
พระกุมารตรัสว่า ดีละแม่. แม่นมนั้นไปแล้วทูลว่า มาซิแม่หม่อมฉัน
จักจับเหาที่ศีรษะแม่ แล้วให้พระราชธิดานั้นประทับบนตั่งน้อยตัวเตี้ย
ตนเองนั่นบนตั่งน้อยตัวสูง ให้ศีรษะของพระราชธิดานั้นซบอยู่ที่ขา
อ่อนทั้งสองของตน จับเหาอยู่ จึงเอาเล็บของตนจิกศีรษะของพระ-
ราชธิดา. พระราชธิดาทรงทรามว่า แม่นมนี้ย่อมไม่เอาเล็บของตน
จิกเรา แต่เอาเล็บคือความคิดอ่านแห่งพระกุมารผู้เป็นโอรสของพระ-
ปิตุจฉาของเราจิก จึงตรัสถามว่า แม่ได้ไปเฝ้าพระราชกุมาร
หรือจ๊ะแม่. แม่นมทูลว่าจ้ะ แม่ไปมา. พระราชธิดาตรัสว่า พระ-
ราชกุมารบอกข่าวอะไรมาแก่แม่หรือ. แม่นมทูลว่า พระราชกุมาร
ถามถึงอุบายที่พระองค์ได้เสด็จอยู่ภายนอกจ้ะแม่. พระราชธิดาคิดว่า
พระราชกุมารแม้เป็นบัณฑิตมีปัญญาก็จักทรงรู้ จึงตรัสว่า แม่จำ

101
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 102 (เล่ม 58)

แม่จงเรียนเอาคาถานี้ไปบอกพระราชกุมารเถิด แล้วจึงตรัสคาถาที่ ๑
ว่า :-
ถ้าคนใช้ของท่านพึงมีฝ่ามืออ่อน ๑
ช้างของท่านฝึกดีแล้ว ๑ เวลามืด ๑ ฝนตก ๑
จะพึงมีในกาลใด ความปรารถนาของท่านก็
จะสมประสงค์ในกาลนั้นเป็นแน่.
แม่นมนั้นเรียนเอาคาถานั้นแล้วไปเฝ้ากุมาร เมื่อพระ-
กุมารตรัสว่า พระราชธิดาตรัสอะไรจ๊ะแม่. ทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า
พระราชธิดาไม่ได้ตรัสคำอะไร ๆ อื่นเลย ส่งแต่คาถานี้มา เเล้วยก
คาถานั้นขึ้นมา. ฝ่ายพระกุมารทรงทราบเนื้อความของคาถานั้น. จึง
สั่งแม่นมนั้นไปด้วยดำรัสว่า ไปเถอะแม่.
คาถานั้นมีความว่า ถ้าคนใช้คนหนึ่งของพระองค์มีมืออ่อน
เหมือนมือของหม่อมฉัน ถ้าช้างเชือกหนึ่งของพระองค์ฝึกให้ทำเหตุ
แห่งการไม่หวั่นไหวได้อย่างดี ๑ วันนั้นมีความมืดจัดประดุจประกอบ
ด้วยองค์สี่ ๑ และฝนตก ๑ เมื่อเป็นเช่นนั้น ความปรารถนาของ
ท่านก็จะสมประสงค์ในกาลนั้นแน่ อธิบายว่า เพราะอาศัยปัจจัย ๔.
ประการนี้ ความปรารถนาแห่งใจของท่านก็จะถึงที่สุดโดยเด็ดขาดใน
กาลเช่นนั้น.
พระกุมารทรงทราบความนั้นโดยถ่องแท้ จึงทรงทำการตระ-
เตรียมคนใช้คนหนึ่งมีรูปงามมืออ่อน ให้สินจ้างแก่นายหัตถาจารย์ผู้

102
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 103 (เล่ม 58)

รักษามงคลหัตถี ให้ฝึกช้างกระทำอาการไม่หวั่นไหวแล้วทรงรอคอย
เวลาอยู่. ครั้นในวันอุโบสถข้างแรมวันหนึ่ง เมฆฝนดำทมึนตกลงมา
ในระหว่างมัชฌิมยาม. พระกุมารนั้น ทรงกำหนดว่า วันนี้ เป็น
วันที่พระราชธิดากำหนดไว้ จึงเสด็จขึ้นช้าง ให้คนใช้มืออ่อนนั้นนั่ง
บนหลังช้าง เสด็จไปประทับ ณ ที่ตรงกับเนินช่องว่างของพระราช-
นิเวศน์ ให้ช้างเบียดติดกับฝาใหญ่ ได้ประทับเปียกชุ่มอยู่ ณ ที่ใกล้
พระแกล. ฝ่ายพระราชาเมื่อจะรักษาพระธิดา จึงมิให้บรรทมที่อื่นให้
บรรทมอยู่บนที่บรรทมน้อยใกล้กับพระองค์. ฝ่ายพระธิดารู้ว่า วันนี้
พระกุมารจะเสด็จมาก็บรรทมไม่หลับเลย ทูลว่า ข้าแต่พระบิดา
หม่อมฉันจะอาบน้ำ. พระราชาตรัสว่า มาเถิดแม่ แล้วจับพระหัตถ์
พระธิดาพาไปใกล้พระแกล ตรัสว่า อาบเถิดแม่ แล้วยกขึ้นให้ยืน
ที่ชานด้านนอกพระแกล ประทับยืนจับพระหัตถ์ข้างหนึ่ง. พระธิดา
นั้น แม้กำลังอาบน้ำ ก็เหยียดพระหัตถ์ให้แก่พระกุมาร ๆ เปลื้อง
เครื่องอาภรณ์จากพระหัตถ์ของพระธิดานั้นแล้วประดับที่มือของคนใช้
นั้น แม้ยกคนใช้นั้นขึ้นได้ยินที่ชานเกาะพระธิดา. พระธิดานั้น
จับมือของคนใช้นั้นวางที่พระหัตถ์ของพระบิดา. พระราชานั้นทรงจับ
มือข้างหนึ่งของคนใช้นั้น แล้วปล่อยมือข้างหนึ่งของพระธิดา พระ-
ธิดานั้นเปลื้องเครื่องอาภรณ์จากมืออีกข้างหนึ่ง เอาประดับมือที่สอง
ของตนใช้นั้นแล้ววางที่พระหัตถ์ของพระบิดา ตนเองได้ไปกับพระ-
กุมาร. พระราชาทรงสำคัญว่า ธิดาของพระองค์ จึงให้ทารกนั้นนอน

103
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 104 (เล่ม 58)

ในห้องอันเป็นสิริ ในเวลาเสร็จสิ้นการอาบน้ำ ปิดประตู ลั่นกุญแจ
ให้การอารักขาแล้ว เสด็จไปบรรทมยังที่บรรทมของพระองค์. เมื่อ
ราตรีสว่างแจ้งแล้ว พระราชานั้นทรงเปิดประตูเห็นทารกนั้น จึง
รับสั่งถามว่า นี่อะไรกัน. ทารกนั้นกราบทูลความที่พระธิดานั้นเสด็จ
ไปกับพระกุมาร. พระราชาทรงเดือดร้อนพระทัย ทรงพระดำริว่า
เราแม้จับมือเที่ยวไป ก็ไม่อาจรักษามาตุคามได้ ชื่อว่าหญิงทั้งหลาย
ใคร ๆ รักษาไม่ได้อย่างนี้ จึงได้ตรัสคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :-
หญิงทั้งหลายบุรุษไม่สามารถจะรักษา
ไว้ได้ด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน ยากที่จะให้
เต็มได้ เปรียบเสมอด้วยแม่น้ำ ย่อมจมลง
ในนรก บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว พึงเว้นเสีย
ให้ห่างไกลหญิงเหล่านี้ ย่อมเข้าไปคบหา
บุรุษใด เพราะความรักใคร่ก็ตาม เพราะ
ทรัพย์ก็ตาม เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน
เปรียบเหมือนไฟไหม้ที่ของตนเองฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนลา มุทุสมฺภาสา ความว่า
บุรุษทั้งหลายไม่อาจ คือไม่สามารถที่จะยึดเหนี่ยวไว้ได้ แม้ด้วยถ้อยคำ
อันไพเราะอ่อนหวาน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าไม่อาจรักษาได้ เพราะ
บุรุษทั้งหลายไม่อาจรักษาหญิงเหล่านี้. บทว่า มุทุสมฺภาสา ความว่า
ชื่อว่ามีถ้อยคำอ่อนหวาน เพราะแม้เมื่อหัวใจกระด้าง ก็มีน้ำคำอ่อน-

104
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 105 (เล่ม 58)

โยน. บทว่า ทุปฺปูรา ตา นทีสมา ความว่า ชื่อว่ายากที่จะให้
เต็มได้ เพราะไม่รู้จักพอใจด้วยเมถุนเป็นต้น ที่เสพแล้วเนืองๆ
เหมือนแม่น้ำชื่อว่ายากที่จะให้เต็มได้ เพราะน้ำที่หลั่งไหลมา ๆ ด้วย
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคาม
ไม่อิ่ม ไม่แจ่มแจ้งธรรม ๓ ประการ ย่อมตายไป เสียก่อน ธรรม
๓ ประการเป็นไฉน ? คือความเข้าเสพเมถุนธรรม ๑ ความ
ดิ้นรน ๑ การแต่งตัว ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาตุคามยังไม่ทันจะ
อิ่มไม่ทันจะแจ่มแจ้งธรรม ๓ ประการเหล่านี้แล ก็ตายเสียก่อน
บทว่า สีทนฺติ ความว่า ย่อมจมคือมุดลงมหานรก ๘ และอุสสุทนรก
๑๖. บทว่า นํ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า วิทิตฺวาน แปลว่า รู้ชัด
แล้วอย่างนี้. บทว่า อารกา ปริวชฺชเย นี้ ท่านแสดงว่า บุรุษผู้
เป็นบัณฑิตรู้อย่างนี้ว่า ธรรมดาหญิงเหล่านี้ ไม่อิ่มเมถุนธรรมเป็นต้น
ตายแล้วย่อมจมลงในนรกเหล่านี้ เมื่อตนจมลงอย่างนี้ จักเกิดมีความ
สุขแก่ใครอื่น พึงเว้นหญิงแม้เหล่านี้เสียให้ห่างไกลทีเดียว. บทว่า
ฉนฺทาสา วา ธเนน วา ความว่า หญิงเหล่านี้ย่อมเข้าไปเสวนา
คือคบหาบุรุษใด เพราะความพอใจ คือความชอบใจ ความรักใคร่
ของตน หรือเพราะทรัพย์ที่ได้ด้วยการจ้าง. บทว่า ชาตเวโท แปลว่า
ไฟ. จริงอยู่ไฟนั้น ชื่อว่า ชาตเวโท เพราะพอเกิดเท่านั้นก็เสวย
ได้เป็นสภาพที่เสวยคือปรากฏ. ไฟนั้นย่อมไหม้ ฐานที่คือเหตุได้แก่
ที่ของตนฉันใด แม้หญิงเหล่านั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมส้องเสพ

105
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 106 (เล่ม 58)

กับบุรุษใด ย่อมไหม้คือเผาทันทีซึ่งบุรุษนั้นแม้ผู้ประกอบด้วยทรัพย์
ยศ ศีล และปัญญา การทำให้สมบัตินั้นไม่ควรเกิดขึ้นอีก โดยทำ
ทรัพย์เป็นต้น เหล่านั้นให้พินาศไป. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ชนผู้ตกอยู่ในอำนาจของมาตุคาม ถึง
มีกำลังก็เป็นผู้หมดกำลัง แม้มีเรี่ยวแรงก็
เสื่อมถอย มีตาก็เป็นคนตาบอด. ชนผู้ตก
อยู่ในอำนาจของมาตุคาม ถึงมีคุณความดีก็
หมดคุณความดี แม้มีปัญญาก็เสื่อมถอย
เป็นผู้ประมาท ติดพันอยู่ในบ่วง มาตุคาม
ย่อมปล้นเอาการศึกษาเล่าเรียน ตบะ ศีล
สัจจะ จาคะ สติ และมติความรู้ของตนผู้
ประมาท เหมือนพวกโจรคอยดักทำร้ายใน
หนทาง. ย่อมทำยศ เกียรติ ฐิติความทรงจำ
ความกล้าหาญ ความเป็นพหูสูต และความ
รู้ของตนผู้ประมาทให้เสื่อมไป เหมือนไฟผู้
ชำระทำของฟืนให้หมดไปฉะนั้น.
พระมหาสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ทรงดำริว่า แม้หลาน
เราก็ต้องเลี้ยงดู ธิดาเราก็ต้องเลี้ยงดู จึงพระราชทานพระธิดา ให้แก่
พระภาคิไนยนั้นนั่นแหละด้วยสักการะอันใหญ่หลวง แล้วทรงตั้ง

106
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 107 (เล่ม 58)

พระภาคิไนยนั้นให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช. เมื่อพระเจ้าลุง
สวรรคต แม้อุปราชนั้นก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานั้นมาแล้ว ทรงประ-
กาศสัจจะแล้วประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึก
ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามุทุปาณิชาดกที่ ๒

107
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 108 (เล่ม 58)

๓. จุลลปโลภนชาดก
ว่าด้วยหญิงทำบุรุษให้งงงวย
[๓๘๘] เมื่อน้ำไม่หวั่นไหว ดาบสนี้มาได้ด้วย
ฤทธิ์เอง ครั้นถึงความระคนกับด้วยหญิง
จมลงในห้วงมหรรณพ.
[๓๘๙] ธรรมดาว่าหญิงเหล่านี้ เป็นผู้ยังบุรุษ
ให้งงงวยมีมายามาก และยังพรหมจรรย์ให้
กำเริบ ย่อมจะจมลงในอบาย บัณฑิตรู้ชัด
อย่างนี้แล้ว พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.
[๓๙๐] หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไปคบทาบุรุษใด
เพราะความรักใคร่พอใจ หรือเพราะทรัพย์
เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบ-
เหมือนไฟไหม้ที่ของตนเอง ฉะนั้น.
จบ จุลลปโลภนชาดกที่ ๓
อรรถกถาจุลลปโลภชนาดกที่ ๓๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึกเหมือนกันรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า
อภิชฺชมาเน วาริสฺมึ ดังนี้.
๑. ในอรรถกถาเป็น จุลลปโลภ ฯ

108
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 109 (เล่ม 58)

ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้น ผู้ถูกนำมาที่โรงธรรม-
สภาว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ เมื่อ
ภิกษุนั้นทูลรับเป็นสัตย์แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ชื่อว่าหญิงเหล่านี้
ย่อมทำสัตว์ผู้บริสุทธ์ให้เศร้าหมอง ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้สัตว์
ผู้บริสุทธิ์อันมีในกาลก่อนก็ทำให้เศร้าหมองเหมือนกัน อันภิกษุ
เหล่านั้นทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้ :-
ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี เป็นผู้ไม่มีพระโอรส จึงตรัสกับนางสนมของพระองค์ว่า
เธอทั้งหลายจะกระทำความปรารถนาเพื่อให้ได้บุตร. นางสนม
เหล่านั้นจึงพากันปรารถนาบุตร. เมื่อกาลล่วงไปด้วยอาการอย่างนี้
พระโพธิสัตว์จึงจุติจากพรหมโลก บังเกิดในพระครรภ์ของพระ-
อัครมเหสี. พระโพธิสัตว์นั้นพอประสูติ พระชนกชนนีให้สรงสนาน
แล้วได้ประทานแก่พระนม เพื่อให้ดื่มถันธารา. พระโพธิสัตว์นั้น
อันแม่นมทั้งหลายให้ดื่มน้ำนมอยู่ก็ทรงกรรแสง. ลำดับนั้น จึงได้
ทรงประทานพระโพธิสัตว์นั้นให้แก่พระนมอื่น. ในมือของมาตุคาม
พระโพธิสัตว์ไม่เป็นผู้นิ่งเฉย. ลำดับนั้น จึงได้ประทานพระโพธิสัตว์
นั้นเเก่บุรุษคนหนึ่งผู้เป็นข้าบาทมูลิกา. พอข้าบาทมูลิกาคนนั้นรับเอา
เท่านั้นพระโพธิสัตว์ก็หยุดนิ่ง. ครั้นในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น
พระชนกชนนีได้ทรงขนานพระนามว่า อนิตถิคันธกุมาร. ตั้งแต่นั้นมา

109
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 110 (เล่ม 58)

บุรุษเท่านั้นจึงจะพาพระกุมารนั้นเที่ยวไป เมื่อจะให้ดื่มน้ำนม จะปิด
และคลุมให้ดื่ม หรือวางถันในพระโอษฐ์ตามช่องพระวิสูตร. เมื่อ
พระกุมารแม้ประพฤติพระองค์ไป ๆ มา ๆ อยู่ ใคร ๆ ไม่อาจแสดง
มาตุคามให้เห็น. ด้วยเหตุนั้น พระราชาจึงให้สร้างสถานที่ประทับนั่ง
เป็นต้นไว้ในที่ว่าง และให้สร้างฌานาคารหอคอย ไว้ภายนอกเธอ
พระกุมารนั้น. ในเวลาพระกุมารนั้นมีพระชันษา ๑๖ พรรษา
พระราชาทรงพระดำริว่า เราไม่มีโอรสองค์อื่นอีก ส่วนกุมารนี้ไม่
บริโภคกาม แม้ราชสมบัติก็ไม่ปรารถนา เราได้พระโอรสยากจริงหนอ
ครั้งนั้น มีหญิงฟ้อนรุ่นสาวผู้หนึ่ง ฉลาดในการฟ้อนการขับร้อง
และการประโคม สามารถที่เล้าโลมบุรุษให้ตกอยู่ในอำนาจของตนได้
เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ทรงพระดำริเรื่องอะไร
พระพุทธเจ้าข้า. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสบอกเหตุนั้น. หญิงฟ้อนกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ เรื่องนั้นโปรดยกไว้ กระหม่อมฉัน
จักประเล้าประโลมพระราชกุมารนั้นให้รู้จักกามรส. พระราชาตรัสว่า
ถ้าเจ้าจักสามารถประเล้าประโลมอนิตถิคันธกุมารผู้โอรสของเราได้
ไซร้ พระกุมารนั้นจักเป็นพระราชา ตัวเจ้าจักเป็นอัครมเหสี. หญิง
ฟ้อนกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์เป็นเจ้า การประเล้าประโลมเป็น
ภาระของกระหม่อมฉัน พระองค์อย่าทรงปริวิตก ดังนี้แล้วเข้าไป
หาคนผู้ทำหน้าที่อารักขาแล้วกล่าวว่า ในเวลาใกล้รุ่งเราจักมายืนที่
หอคอยภายนอกพระวิสูตร ใกล้ที่บรรทมของพระลูกเจ้า แล้วจัก

110