No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 91 (เล่ม 58)

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ ขอพระองค์อย่า
ได้ทรงพิโรธแก่ข้าพระองค์เลย. อนึ่ง มาณพ
ทั้งหลาย ย่อมตกอยู่ในอำนาจของท้องใด
ทั้งกลางวันและกลางคืน ข้าพระองค์ก็เป็น
ทูตของท้องนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมทัพ
ขอพระองค์อย่าได้ทรงพิโรธแก่ข้าพระองค์
เลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺสตฺถา ทูรมายนฺติ ความว่า
สัตว์เหล่านี้เป็นผู้อยู่ในอำนาจของตัณหา ย่อมไปแม้ไกล ๆ เพื่อ
ประโยชน์แก่ต้องใด. บทว่า รเถสภ ได้แก่ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็น
จอมทัพรถ.
พระราชาได้ทรงสดับคำของบุรุษนั้นแล้วทรงพระดำริว่า ข้อนี้
จริง สัตว์เหล่านี้เป็นทูตของท้อง เที่ยวไปด้วยอำนาจตัณหา และ
ตัณหาก็ย่อมจัดแจงสัตว์เหล่านี้ บุรุษผู้นี้กล่าวถ้อยคำเป็นที่ชอบใจเรา
ยิ่งนัก จึงทรงโปรดบุรุษผู้นั้น ตรัสพระคาถาที่ ๓ ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้โคสีแดง
พันตัวพร้อมทั้งโคจ่าฝูงแก่ท่าน แม้เราและ
สัตว์ทั้งมวลก็เป็นทูตของท้องทั้งสิ้น เพราะ
เราก็เป็นทูต ไฉนจะไม่ให้สิ่งของแก่ท่าน
ผู้เป็นทูตเล่า.

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 92 (เล่ม 58)

บทว่า พราหมณ นี้ในคาถานั้น เป็นเพียงคำร้องเรียก.
บทว่า โรหิณีนํ แปลว่า มีสีแดง. บทว่า สห ปุงฺคเวน ได้แก่
พร้อมกับโคผู้ซึ่งเป็นปริณายกจ่าฝูงผู้จะป้องกันอันตรายให้. บทว่า
มยมฺปิ ความว่า เราและสัตว์ทั้งปวงที่เหลือ ย่อมเป็นทูตของท้องนั้น
เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราเป็นทูตของต้องเสมอกันเพราะเหตุไร
จึงจะไม่ให้แก่ท่านผู้เป็นทูตของท้องเล่า.
ก็แหละครั้นตรัสอย่างนี้แล้วทรงมีพระทัยยินดีว่า บุรุษผู้เช่น
ท่านนี้แลให้เราได้ฟังเหตุที่ไม่เคยฟัง จึงได้ประทานยศใหญ่แก่บุรุษ
ผู้นั้น.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ
สัจจะประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้โลเลดำรงอยู่ในอนาคามิ-
ผล. ชนเป็นอันมากได้เป็นพระโสดาบันเป็นต้น. บุรุษผู้โลเลใน
กาลนั้น ได้เป็นภิกษุผู้เหลาะแหละในบัดนี้ ส่วนพระเจ้าโภชนสุทธิก-
ราช ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาทูตชาดกที่ ๑๐

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 93 (เล่ม 58)

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. สังกัปปราคชาดก ๒. ติลมุฏฐิชาดก ๓. มณิกัณฐชาดก
๔. กุณฑกกุจฉิสินธวชาดก ๕. สุกชาดก ๖. ชรูทปานชาดก
๗. คามณิจันทชาดก ๘. มันธาตุราชชาดก ๙. ติรีติวัจฉชาดก
๑๐. ทูตชาดก.
จบ สังกัปปวรรคที่ ๑

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 94 (เล่ม 58)

๒. ปทุมวรรค
๑. ปทุมชาดก
ไม่ควรพูดให้เกิดความจริง
[๓๘๒] ผมและหนวดที่โกนแล้วตัดแล้ว ย่อม
งอกขึ้นใหม่ได้ ฉันใด จมูกของท่านจงงอก
ขึ้นใหม่ ฉันนั้น ข้าพเจ้าขอดอกปทุม
ขอท่านจงให้แก่ข้าพเจ้าเกิด.
[๓๘๓] พืชที่เก็บไว้ในสารทกาล เอาหว่านลง
ในนา ย่อมงอกขึ้น ฉันใด จมูกของท่าน
จงงอกขึ้นใหม่ ฉันนั้น ข้าพเจ้าขอดอกปทุม
ขอท่านจงให้แก่ข้าพเจ้าเถิด.
[๓๘๔] แม้คนทั้งสองนั้นคิดว่า ท่านจักให้
ดอกปทุมแก่ตน จึงได้พูดพล่ามไป คน
ทั้งสองนั้น พึงกล่าวหรือไม่กล่าวก็ตาม
จมูกย่อมงอกขึ้นไม่ได้ ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้า
ขอดอกปทุม ขอท่านจงให้แก่ข้าพเจ้าเถิด.
จบ ปทุมชาดกที่ ๑

94
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 95 (เล่ม 58)

อรรถกถาปทุมวรรคที่ ๒
อรรถกถาปทุมชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุทั้งหลายผู้กระทำการบูชาด้วยดอกไม้ที่ต้นอานันทโพธิ์ จึงตรัส
เรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ยถา เกสา จ มสฺสุ จ ดังนี้ เรื่องนี้จักมี
แจ้งในกาลิงคโพธิชาดก.
ก็ต้นโพธิ์นั้น ชื่อว่าอานันทโพธิ์ เพราะเป็นต้นต้นโพธิ์ที่พระ-
อานันทเถระปลูกไว้. จริงอยู่ความที่พระเถระปลูกต้นโพ ไว้ที่ซุ้ม
ประตูพระเชตวันวิหาร ได้แพร่พัดไปตลอดทั่วชมพูทวีป. ครั้งนั้น
ภิกษุชาวชนบทบางพวกพากันคิดว่า จักกระทำการบูชาด้วยระเบียบ
ดอกไม้ที่ต้นอานันทโพธิ์ จึงไปยังพระเชตวันวิหารถวายบังคมพระ-
ศาสดา วันรุ่งขึ้น เข้าไปในเมืองสาวัตถี ไปยังถนนที่มีดอกอุบลขาย
ไม่ได้ดอกไม้ จึงมาบอกแก่พระอานันทเถระว่า ท่านผู้มีอายุ พวก
กระผมคิดกันว่า จักกระทำบูชาด้วยดอกไม้ที่ต้นโพธิ์ จึงไปยังถนนที่มี
ดอกอุบลขาย ก็ไม่ได้แม้แต่ดอกเดียว. พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ผมจักนำมาถวายท่าน แล้วเดินไปยังถนนที่มีดอกอุบลขาย
เหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้นถือดอกอุบลเขียวเหล่านั้นไปบูชาที่ต้นโพธิ์.
ภิกษุทั้งหลายรู้เรื่องราวอันนั้น จึงนั่งสนทนาถึงคุณของพระเถระใน

95
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 96 (เล่ม 58)

โรงธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุชาวชนบทมีบุญน้อย ไปยัง
ถนนที่มีดอกอุบลขายก็ไม่ได้ดอกไม้ ส่วนพระเถระไปประเดี๋ยวก็ได้
มาแล้ว. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้
พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูล
ให้ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ผู้ฉลาดในการกล่าว ผู้ฉลาด
ในถ้อยคำ ย่อมได้ดอกไม้ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน
ผู้ฉลาดก็ได้แล้วเหมือนกัน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นบุตรเศรษฐี. ก็ในภายใน
พระนคร ในสระแห่งหนึ่งปทุมกำลังออกดอก. บุรุษจมูกแหว่งคนหนึ่ง
รักษาสระนั้น. ครั้นวันหนึ่ง เมื่อเขาป่าวร้องการแสดงมหรสพใน
พระนครพาราณสี บุตรของเศรษฐี ๓ คน มีความประสงค์จะประดับ
ดอกไม้เล่นมหรสพ จึงคิดกันว่า จักพรรณนาคุณของชายจมูกแหว่ง
โดยไม่เป็นจริงแล้วจักได้ดอกไม้ ครั้นคิดกันแล้วในเวลาที่ชายจมูก
แหว่งนั้นเด็ดดอกปทุม จึงเข้าไปใกล้สระได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
บรรดาเศรษฐีบุตรทั้ง ๓ คนนั้น คนหนึ่งเรียกชายจมูกแหว่งนั้น
มาแล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ผมและหนวดที่ตัดแล้ว ๆ ย่อมงอก
ขึ้นได้ ฉันใด จมูกของท่านจงงอกขึ้น

96
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 97 (เล่ม 58)

ฉันนั้น ท่านอันข้าพเจ้าขอแล้ว ขอจงให้
ดอกปทุม.
ชายจมูกแหว่งนั้นโกรธต่อเศรษฐีบุตรนั้น จึงไม่ให้ดอกปทุม.
ลำดับนั้น เศรษฐีบุตรที่ ๒ ได้กล่าวคาถาที่ ๒ ต่อเขาว่า :-
พืชที่เขาเก็บไว้ในสารทกาล คือฤดู
ใบไม้ร่วงหว่านลงในนาย่อมงอกขึ้น ฉันใด
จมูกของท่านจงงอกขึ้น ฉันนั้น ท่านอัน
ข้าพเจ้าขอแล้ว ขอจงให้ดอกปทุม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สารทิกํ ได้แก่ พืชที่สมบูรณ์
ด้วยเนื้อแท้ อันบุคคลถือเอาในสารทกาล แล้วเก็บไว้.
ชายจมูกแหว่งนั้นโกรธต่อเศรษฐีบุตรคนนั้นก็ไม่ให้ดอกปทุม.
ลำดับนั้น เศรษฐีบุตรคนที่ ๓ กล่าวคาถาที่ ๓ ต่อเขาว่า :-
คนแม้ทั้งสองนั้นพูดเพ้อไปด้วย
คิดว่า ท่านจักให้ดอกปทุมบ้าง คนทั้งสองนั้น
จะพูดหรือไม่พูดก็ตาม จมูกของท่านย่อม
ไม่งอกขึ้น ดูก่อนสหาย ท่านจงให้ดอกปทุม
ท่านอันข้าพเจ้าขอแล้วจงให้ดอกปทุมแก่
ข้าพเจ้าเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุโภปิ วิลปนฺเต เต ความว่า
คนแม้ทั้งสองนั้นพูดเท็จ. บทว่า อปิ ปทุมานิ ความว่า คนทั้งสอง

97
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 98 (เล่ม 58)

นั้นคิดว่า ชายจมูกแหว่งจักให้ดอกปทุมแก่พวกเราบ้าง จึงกล่าว
อย่างนั้น. บทว่า วชฺชุํ วา เต น วา วชฺชุํ ความว่า คนเหล่านี้
จะพึงกล่าวหรือจะไม่พึงกล่าวอย่างนี้ว่าจมูกของท่านจงงอกขึ้น ชื่อว่า
คำของตนเหล่านั้น ไม่เป็นประมาณ จมูกย่อมไม่มีการงอกขึ้น
แม้โดยประการทั้งปวง ส่วนเราจะไม่กล่าวพาดพิงถึงจมูกของท่าน
จะขออย่างเดียว ดูก่อนสหาย ท่านอันเราขอแล้วจงให้ดอกปทุมแก่
เรานั้น.
ชายผู้เฝ้าสระปทุมได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า คนทั้งสองนี้กระทำ
มุสาวาท ส่วนท่านกล่าวตามสภาพ ดอกปทุมทั้งหลายสมควรแก่ท่าน
แล้วถือเอาดอกปทุมกำใหญ่มาให้แก่เศรษฐีบุตรคนที่ ๓ นั้น. แล้ว
กลับไปยังสระปทุมของตนตามเดิม.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วทรงประชุม
ชาดกว่า เศรษฐีบุตรคนที่ได้ดอกปทุมในกาลนั้น ได้เป็นเราตถาคต
ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปทุมชาดกที่ ๑

98
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 99 (เล่ม 58)

๒. มุทุปาณิชาดก
ความปรารถนาสมประสงค์ในเมื่อมีของ ๔ อย่าง
[๓๘๕] ถ้าคนใช้ของท่านพึงมีฝ่ามืออ่อน ๑ ช้าง
ของท่านฝึกดีแล้ว ๑ เวลามืด ๑ ฝนตก ๑
จะพึงมีในกาลใด ความปรารถนาของท่านก็
จะสมประสงค์ในกาลนั้นเป็นแน่.
[๓๘๖] หญิงทั้งหลายบุรุษไม่สามารถจะปกปัก
รักษาไว้ได้ด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวาน ยากที่
จะให้เต็มได้ เสมอด้วยแม่น้ำฉะนั้น ย่อม
จะจมลงในนรก บัณฑิตรู้ชัดอย่างนี้แล้ว
พึงหลีกเว้นเสียให้ห่างไกล.
[๓๘๗] หญิงเหล่านั้นย่อมเข้าไปคบหาบุรุษใด
เพราะความรักใคร่พอใจ หรือเพราะทรัพย์
เขาย่อมเผาบุรุษนั้นเสียฉับพลัน เปรียบ
เหมือนไฟไหม้ที่ของตนเอง ฉันนั้น.
จบ มุทุปาณิชาดกที่ ๒
อรรถกถามุทุปาณิชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ภิกษุผู้กระสันจะสึกรูปหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ปาณิ เจ

99
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ – หน้าที่ 100 (เล่ม 58)

มุทุโก จสฺส ดังนี้
ได้ยินว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นผู้ที่ถูกนำมายังโรงธรรม-
สภาว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ เมื่อ
ภิกษุนั้นทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ขึ้นชื่อว่า
หญิงทั้งหลายนี้ใครๆ ไม่ควรจะรักษา เพราะตามอำนาจของกิเลส
แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ทั้งที่จับมือธิดาของตนรักษาอยู่ก็ไม่อาจ
รักษาไว้ได้ ธิดายืนจับมือบิดาอยู่ ไม่ให้บิดารู้ตัวเลย หนีไปกับบุรุษ
ด้วยอำนาจกิเลส ครั้นตรัสดังนี้แล้วได้ทรงนิ่งเสีย อันภิกษุเหล่านั้น
อ้อนวอนจึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของ
พระเจ้าพรหมทัตนั้น พอทรงเจริญวัยก็เล่าเรียนศิลปศาสตร์ทุกอย่าง
ในเมืองตักกศิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ก็ดำรงอยู่ในราช-
สมบัติทรงครองราชย์โดยธรรม. พระองค์ทรงเลี้ยงดูคนทั้งสอง คือ
พระราชธิดา และพระราชภาคิไนย ไว้ในพระราชนิเวศน์ของพระองค์
วันหนึ่ง ประทับอยู่กับพวกอำมาตย์ ดำรัสว่า เมื่อเราล่วงไป หลาน
ของเราจักได้เป็นพระราชา ฝ่ายธิดาของเราจักได้เป็นอัครมเหสีของ
พระราชานั้น ในกาลต่อมา ในเวลาที่พระธิดาและพระภาคิไนยนั้น
เจริญวัย ประทับอยู่กับพวกอำมาตย์อีกหนหนึ่ง ตรัสว่า เราจักนำ
ธิดาของพระราชาอื่นมาให้หลานเรา และจักให้ธิดาของเราในราช-

100